การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จบลงแบบไม่เหนือความคาดหมาย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจ 308 ต่อ 159 เสียง ส่วนรัฐมนตรีอีก 3 คน ก็ได้รับคะแนนไว้วางใจเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส.ในสภาเช่นกัน ทำให้ยังสามารถปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ แม้จะถูกฝ่ายค้านเปิดโปงความไม่ชอบมาพากลและความไม่เหมาะสมในการเป็นผู้บริหารประเทศต่อไปก็ตาม
คะแนนเสียงไว้วางใจที่ได้มาตามเป้าหมาย แถมมีฝ่ายค้านอย่างพรรคภูมิใจไทยมาลงคะแนนเสียงไว้วางใจนายกฯ ให้ได้วย แต่ก็หาได้สร้างความพึงพอใจให้กับเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไม่
นั่นเพราะตลอด 3 วันของการอภิปราย แม้ว่าจะถูก ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลคอยประท้วงเป็นระยะๆ แต่ฝ่ายค้านก็สามารถเดินหน้าชำแหละพฤติกรรมรัฐมนตรีแต่ละคนได้ตามประเด็นที่ตั้งไว้ ไม่ว่าจะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่เพิกเฉยต่อการถอดยศ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีสถานะเป็นนักโทษหลบหนีคำพิพากษาของศาลที่ให้จำคุก 2 ปีในคดีซื้อขายที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก และคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นแล้วว่าเข้าเกณฑ์ต้องถูกถอดยศ
ส่วน พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมก็ถูกลากไส้กรณีล้วงลูกแต่งตั้งปลัดกระทรวงกลาโหม แถมยังส่อทุจริตการจัดซื้อเรือลาดตระเวนและยุทโธปกรณ์ของกองทัพเรือ ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินและผู้ตรวจการแผ่นดินได้สั่งชะลอโครงการไว้
ด้าน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทยที่ถูกอภิปรายในฐานะอดีต รมช.คมนาคม ก็โดนถล่มหนักกรณีการบริหารบกพร่อง ล้มเหลว ทุจริต ผิดกฎหมายฮั้วและเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่ฯ โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โดยเฉพาะการใช้งบประมาณฟื้นฟูประเทศจากอุทกภัย 1.2 แสนล้านบาท ในส่วนของกรมเจ้าท่า และส่อว่ามีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ป.ป.ช.)
และสุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ถูกฝ่ายค้านขึงพืด กรณีปล่อยปละละเลยให้มีการการทุจริตประพฤติผิดต่อกฎหมาย ขาดวุฒิภาวะความเป็นนายกรัฐมนตรี ปล่อยให้ผู้มีอำนาจเหนือตนหรือเหนือรัฐธรรมนูญเข้ามาล้วงลูกทำเสมือนประเทศไทยเป็นบริษัท และก้าวไม่พ้นผลประโยชน์ของตัวเอง และครอบครัว เรื่องไหนเอื้อประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง รีบกุลีกุจอทำทันที ลืมคำพูดของตัวเองที่เคยบอกว่า “แก้ไขไม่แก้แค้น”
นอกจากนั้น ยังโดนไปเต็มๆ กรณีการวางนโยบายที่ผิดพลาดเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ที่ถลุงงบประมาณปีละหลายแสนล้านบาทไปรับซื้อข้าวมาเก็บไว้เอง จนทำให้ประเทศไทยเสียแชมป์การส่งออกข้าว และส่อเค้าจะมีการทุจริตกรณีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐให้ประเทศจีน
ภายหลังการลงมติเสร็จสิ้นลงในช่วงเช้า วันที่ 28 พ.ย. พรรคเพื่อไทยได้เรียกประชุม ส.ส.พรรคเป็นการด่วนทันทีในช่วงบ่ายวันเดียวกัน เพื่อประเมินสรุปผลการรับมือศึกอภิปรายครั้งนี้ โดยมีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของทักษิณ ชินวัตร,นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรค,พ.อ.อภิวัทน์ วิริยะชัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรค,นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ร่วมเป็นประธานการประชุม
ไฮไลต์ของการประชุม คือการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พูดคุยผ่านระบบ Skype กับสมาชิกพรรค โดยได้ขอบคุณ ส.ส.ที่ร่วมทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านพ้นไปได้ อย่างไรก็ตามได้ตำหนิถึงการทำหน้าที่ของผู้ทำหน้าที่ประธานสภาฯ โดยเฉพาะช่วงที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานวิปฝ่ายค้านกล่าวสรุปปิดอภิปรายฯ ซึ่งออกนอกประเด็นบ่อยครั้ง แต่ ส.ส.กลับไม่ค่อยท้วงติง หลายจังหวะ ประธานฯ ปล่อยให้ฝ่ายค้านด่ารัฐบาลมากเกินไป แต่พอ ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะพูดกลับสั่งเบรก
“ประธานสภาฯ ของเราบางครั้งก็อ่อนแอไปหน่อย ฝั่งโน้นเขาฝัน หากมีใครมานอนกับนายกรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไร แต่ ส.ส.หญิงฝั่งเราไม่เห็นมีใครโต้ตอบไปเลย”
ส.ส.หลายคนได้ชี้แจงว่า มติวิปรัฐบาลได้สั่งไว้ว่าห้ามประท้วงมาก ซึ่งถือว่าเดินเกมรัดกุมเกินไป จึงทำให้ ส.ส.ไม่กล้าออกมาประท้วง พ.ต.ท.ทักษิณจึงสรุปว่าครั้งนี้ผ่านไปแล้วก็ลืมไปก่อน แล้วเริ่มต้นใหม่ ยอมรับเราหลายคนยังใหม่ แต่อยากให้ช่วยนายกฯ มากกว่านี้
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณพูดจบ นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภาฯ ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมสภาฯ หลายช่วง กล่าวว่า ยอมรับอาจทำหน้าที่ผิดพลาดไปบ้าง แต่เนื่องจากกรอบระยะเวลาที่บีบเข้ามา ต้องเร่งดำเนินการปิดประชุมไม่ให้เกินกรอบเวลาที่กำหนด แต่ก็ยอมรับว่าฝ่ายประชาธิปัตย์เล่นนอกกติกา
ส่วน นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ ส.ส.เพื่อไทย หลายคน ที่ยังติดใจต่อการทำหน้าที่ของนายวิสุทธิ์และนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาฯ ได้ผลัดกันโจมตีอย่างต่อเนื่อง และพูดไปในทำนองเดียวกันว่า การอภิปรายสรุปของฝ่ายค้านไม่ได้นำเรื่องที่อภิปราย 3 วันมาสรุป แต่กลับเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา โดยเฉพาะเรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ และกล่าวพาดพิงไปถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลายครั้ง แต่ประธานทำหน้าที่ตอนนั้นก็ปล่อยให้นายจุรินทร์พูดต่อไป โดยไม่เปิดให้ฝ่ายเราได้ลุกขึ้นชี้แจง ประธานสภาฯไม่จำเป็นต้องเข้าข้างเรา แต่ก็ไม่ควรต้องเกรงใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากเกินไป อย่าคิดว่ายังไงเป็นคนในพรรคเดียวกันคงไม่เป็นอะไร
ขณะที่ ส.ส.หญิงเพื่อไทยบางคน ก็ได้ลุกขึ้นแสดงความเห็นที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มองว่าไม่ค่อยช่วยกันปกป้องนายกรัฐมนตรีว่า เนื่องจาก ส.ส.หญิงพวกเราไม่ค่อยได้พูดคุยกันในกลุ่ม และนายกฯ ก็มีงานมาก ก็อยากให้ท่านมาพูดคุยกับ ส.ส.หญิงพรรคเราบ้าง เพื่อจะได้ทำงาน วางแนวทางการทำงานต่อไป ถ้าเป็นไปได้อยากให้เข้ามาร่วมกลุ่มหรือมาเสวนากันบ้าง
วันต่อมา น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ตนไม่ได้อยู่ในห้องประชุม และยังไม่ได้มีการพูดคุยกับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงเรื่องนี้ และยืนยันว่า ส.ส.หญิงของพรรคทุกคนได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และทุกคนทราบดีว่านายกฯ มีภารกิจมาก และนายกฯ ก็ได้พยายามที่จะหาโอกาสเชื่อมความสัมพันธ์กับบรรดา ส.ส.หญิงในโอกาสต่างๆ อยู่แล้ว
ส่วนนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ให้สัมภาษณ์ว่า ตนเข้าร่วมประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 28 พ.ย. แต่ไม่ได้ยินว่า พ.ต.ท.ทักษิณตำหนิการทำหน้าที่ของประธานในที่ประชุม และ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่เคยโทรศัพท์มาสั่งการอะไรตน แต่ยอมรับว่าถูก ส.ส.วิจารณ์การทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ต้องทำใจยอมรับว่าต้องโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง จะให้ถูกใจทั้งสองฝ่ายไม่ได้ แต่ ส.ส.บางคนก็สุดโต่งเกินไป ยืนยันว่าทำหน้าที่ตรงไปมา ยึดข้อบังคับการประชุมเป็นหลัก ทำดีที่สุดแล้ว ประชาชนที่ชมการถ่ายทอดจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าเป็นกลางหรือไม่
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณตำหนิประธานในที่ประชุมว่าปล่อยให้ฝ่ายค้านพาดพิงนั้น นายวิสุทธิ์กล่าวว่า หากเป็นการอภิปรายเชื่อมโยงให้เห็นความเกี่ยวพันกันก็สามารถทำได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็ต้องรับผิดชอบความเสียหายจากการถูกฟ้องร้องเอง เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณคงไม่ได้ติดใจเรื่องนี้เพราะถูกอภิปรายพาดพิงมาทุกครั้งน่าจะชินแล้ว
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยหลังจากศึกอภิปรายครั้งนี้ ได้สะท้อนธาตุแท้ความเป็นเผด็จการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาอีกครั้งหนึ่ง
พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าใจแม้กระทั่งหลักการพื้นฐานที่ว่า คนที่เป็นประธานการประชุมสภาฯ นั้น ต้องทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง โดยไม่เห็นแก่พรรคที่ตนเองสังกัด และจะยอมให้ใครมาสั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เอาแต่ได้เหมือนเดิม ที่อ้างมาตลอดว่าตนเองและคนเสื้อแดงต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น เป็นแค่วาทกรรมหลอกลวงมวลชนให้ต่อสู้เพื่อตนเองเท่านั้น