การชุมนุมของกลุ่มพิทักษ์สยาม โดยพล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ จบลงอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย เหตุผลที่พล.อ.บุญเลิศประกาศยุติชุมนุมก็คือ เกรงว่าจะมีผู้ชุมนุมบาดเจ็บล้มตาย เพราะรัฐบาลส่งสัญญาณว่าจะใช้ความรุนแรงในการสกัดกั้นการชุมนุม นอกเหนือจากอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่เข้าเป้าที่พล.อ.บุญเลิศคาดการณ์เอาไว้
เหตุผลของพล.อ.บุญเลิศเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะเป็นการให้ความสำคัญกับชีวิตและความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ต่างกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บและล้มตายเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่ชัยชนะ
แต่ความรุนแรงที่รัฐบาลชุดนี้กระทำต่อประชาชนเกินกว่าเหตุ โดยการใช้อำนาจรัฐตำรวจทำร้ายประชาชนและขัดขวางการชุมนุมจะเป็นตราบาปที่ติดตัวรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยชุดนี้ตลอดไป
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยครับที่รัฐจะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อจะใช้ไม้แข็งกับประชาชน
แต่รัฐบาลชุดนี้กลับสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองเพื่อป้ายสีผู้ชุมนุมต่างๆนานา
โดยใส่ร้ายผู้ชุมนุมว่า เป็นมวลชนที่ถูกจ้างวานมา มีการใช้เงินถึง 6,000 ล้านบาทในการจัดการชุมนุมเป็นเงินที่มาจากผู้ค้ายาบ้า บ่อนการพนัน และหวย และผู้ชุมนุมมีมาตรการจะใช้ความรุนแรงในการบุกยึดสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงการจับกุมตัวนายกรัฐมนตรี และจะใช้เอ็ม 79 จะมีการใช้แดงเทียม 4 พันคนมาป่วนการชุมนุมเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง
ฝ่ายรัฐบาลเขียนภาพให้ผู้ชุมนุมเป็นผู้ร้ายเพื่อให้ฝ่ายตัวเองมีความชอบธรรมที่จะอ้างกฎหมายเผด็จการมาเป็นเครื่องมือรองรับในการใช้ความรุนแรงกับประชาชน
ใครที่ติดตามการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าจะเห็นว่า รัฐบาลได้เริ่มต้นสกัดกั้นผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมด้วยความรุนแรง ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะผู้ชุมนุมเพียงแต่ต้องการเดินทางเข้าร่วมชุมนุมกับผู้ชุมนุมคนอื่นบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายอื่นๆ หรือสร้างสถานการณ์ใดๆ เลย
มีการกระทำอย่างป่าเถื่อนกวาดต้อนผู้ชุมนุมขึ้นรถจับกุมของตำรวจไปนับร้อยคนไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชนที่ไปทำหน้าที่ และในเวลาต่อมาโฆษกตำรวจได้แถลงเหตุผลที่จับกุมสื่อมวลชนด้วยข้อกล่าวหาที่พิลึกพิลั่นว่า เพราะมีการถ่ายภาพขณะเกิดเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน
นอกจากนั้นตำรวจยังไม่ได้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักการสากลที่ว่าจะต้องเริ่มต้นจากการจัดรูปขบวนตั้งแนวกำลังให้ผู้ชุมนุมเปลี่ยนความคิด จากนั้นใช้โล่ดันหากผู้ชุมนุมบุกรุกเข้ามา ใช้น้ำฉีด ใช้เครื่องกระจายเสียงระดับสูง จึงจะใช้แก๊สน้ำตา และต่อด้วยการใช้กระบอง และใช้กระสุนยาง
แต่เมื่อผู้ชุมนุมตัดลวดหนามเพื่อฝ่าวงล้อมของตำรวจ ตำรวจก็ได้ใช้แก๊สน้ำตาทันที ซ้ำร้ายแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้เป็นแก๊สน้ำตาที่หมดอายุด้วย และใช้เท้ากดหัวผู้ชุมนุมที่ล้มลง
ใบตองแห้ง ประชาไท หรือนายอธึกกิต แสวงสุข ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ของนายพานทองแท้ ชินวัตร เขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เหตุการณ์มันเกิดจากม็อบตัดรั้วลวดหนาม 7 ชั้นเข้าไปลุยตำรวจ ทั้งที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ชุมนุม ลุยเข้าไปใส่แถวตำรวจแบบ “ไอ้เสือเอาวา” แล้วสื่อยังเรียกร้องให้ตำรวจทำตามขั้นตอน อ้อ ต้องรอเรียกรถฉีดน้ำมาก่อน อย่าเพิ่งใช้แก๊สน้ำตา ฯลฯ ทั้งที่มันชุลมุนอยู่ตอนนั้น แล้วอีกพวกหนึ่งก็ไปตัดตอนด่าตำรวจ ตัดภาพตอนรุมตีม็อบ โอเค ผมว่ามันก็แรงไป แต่นั่นคือเหตุต่อเนื่องจากที่ม็อบลุยเข้าใส่ตำรวจก่อน นิสัยตำรวจไม่ว่าม็อบสีไหนบุกเข้าไปก็โดนทั้งนั้นละครับ
ตลกไหมครับใบตองแห้งอ้างว่า ตำรวจมีความชอบธรรมเพราะผู้ชุมนุมบุกเข้ามาเกิดความชุลมุนจะรอให้ตำรวจใช้เครื่องฉีดน้ำได้อย่างไร แทนที่จะถามว่า ทำไมตำรวจไม่เตรียมเครื่องฉีดน้ำให้พร้อมเพื่อสกัดกั้นผู้ชุมนุม กลายเป็นผู้ชุมนุมผิดไม่ใช่ตำรวจผิด
ใบตองแห้งบอกด้วยว่า สรุปว่าต่อให้ตำรวจใช้โล่ป้องกันตัว แล้วโล่ไปโดนคางม็อบก็มีความผิด (แต่ทีม็อบเสื้อแดงถูกทหารยิง แม่-ไม่ยักมีใครโวย)
โดยไม่ได้มองข้อเท็จจริงเลยว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงและองค์การพิทักษ์สยามต่างกันอย่างไร รัฐบาลที่แล้วก็ไม่ได้ขัดขวางการประกาศรวมตัวเพื่อใช้สิทธิชุมนุมของคนเสื้อแดงในตอนต้น แต่เหตุการณ์ความรุนแรงได้เกิดขึ้นหลังจากที่คนชุดแดงได้ใช้กองกำลังติดอาวุธเข้ามาแฝงตัวอยู่และยิงเอ็ม 79 ใส่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน
และไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่า ถ้ารัฐบาลไม่สร้างเรื่องเท็จมาป้ายสีประชาชน จะมีเหตุผลใดที่จะนำพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้เพื่อรุนแรงกับประชาชนที่ใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
ตำรวจมีอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ครับไม่ว่ากับสีเสื้อไหนมีทัศนคติทางการเมืองอย่างไร แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุและผลมีกรอบในการปฏิบัติการมีขั้นมีตอนจากเบาไปหาหนักไม่ใช่เหรอครับ หากเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้ความรุนแรงก็ต้องดูเหตุผลว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงหรือไม่ ถ้าผู้ชุมนุมติดอาวุธจะให้เจ้าหน้าที่รัฐถือโล่กับกระบองไปสลายการชุมนุมมันก็คงเป็นเหตุผลที่ตลกน่าดู
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า รัฐบาลที่เรียกตัวเองว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งจะใช้วิธีการป่าเถื่อนในการสกัดกั้นการใช้สิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากโดยระบุว่ามีตำรวจที่เข้าปฏิบัติการครั้งนี้ถึง 3 หมื่นคน ตั้งด่านสกัดเป็นชั้นๆเพื่อให้การเดินทางเข้าสู่ที่ชุมนุมเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังมีการสกัดกั้นตามเส้นทางการเดินทางเข้ามากรุงเทพมหานครอย่างถี่ยิบ
มีการใช้อำนาจรัฐผ่านกระทรวงมหาดไทยให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้านยับยั้งผู้ที่จะมาร่วมชุมนุมรวมไปถึงการใช้ตำรวจในทุกพื้นที่ทั่วประเทศสกัดกั้นและคุกคามประชาชน ทั้งที่ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพียง 3 เขตในกทม.
นอกเหนือจากเหตุผลถูกสกัดกั้นแล้ว เราคงต้องยอมรับความจริงด้วยว่า เงื่อนไขในการชุมนุมนั้นยังไม่สุกงอมพอ ผมคิดว่าคนกรุงเทพฯ เข้าร่วมชุมนุมน้อยมาก ซึ่งคงต้องยอมรับว่า ด้านหนึ่งมาจากคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจวาทกรรม “แช่แข็ง” ของเสธ.อ้าย และไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนพอว่า หากเราล้มนักการเมืองชั่วลงไปได้ บ้านเมืองจะเดินไปตามครรลองแบบไหน
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคุณูปการของม็อบเสธ.อ้ายก็คือ ทำให้เรารู้วิธีการและประจานทัศนคติของรัฐบาลประชาธิปไตยต่อผู้ชุมนุมว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นประชาธิปไตยแต่เปลือก แต่จิตใจไม่ต่างจากรัฐบาลเผด็จการ และทำให้เรารู้ว่าต่อไปนี้หากพันธมิตรฯ นัดชุมนุมรัฐบาลก็ใช้วิธีการแบบนี้ในการสกัดกั้นผู้ชุมนุมไม่ให้รวมตัวกันได้ง่ายโดยใช้ทั้งอำนาจรัฐและวิธีการป้ายสีแบบสกปรก
สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้บ่งบอกว่ารัฐบาลชุดนั้นจะมีจิตใจและความสำนึกที่เป็นประชาธิปไตยไปด้วย
เหตุผลของพล.อ.บุญเลิศเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม เพราะเป็นการให้ความสำคัญกับชีวิตและความปลอดภัยของผู้ชุมนุมเหนือกว่าสิ่งอื่นใด ต่างกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ต้องการให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บและล้มตายเพื่อเป็นเงื่อนไขไปสู่ชัยชนะ
แต่ความรุนแรงที่รัฐบาลชุดนี้กระทำต่อประชาชนเกินกว่าเหตุ โดยการใช้อำนาจรัฐตำรวจทำร้ายประชาชนและขัดขวางการชุมนุมจะเป็นตราบาปที่ติดตัวรัฐบาลที่อ้างว่ามาจากประชาธิปไตยชุดนี้ตลอดไป
ไม่มีเหตุผลอะไรเลยครับที่รัฐจะประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อจะใช้ไม้แข็งกับประชาชน
แต่รัฐบาลชุดนี้กลับสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเองเพื่อป้ายสีผู้ชุมนุมต่างๆนานา
โดยใส่ร้ายผู้ชุมนุมว่า เป็นมวลชนที่ถูกจ้างวานมา มีการใช้เงินถึง 6,000 ล้านบาทในการจัดการชุมนุมเป็นเงินที่มาจากผู้ค้ายาบ้า บ่อนการพนัน และหวย และผู้ชุมนุมมีมาตรการจะใช้ความรุนแรงในการบุกยึดสถานที่ต่างๆ รวมไปถึงการจับกุมตัวนายกรัฐมนตรี และจะใช้เอ็ม 79 จะมีการใช้แดงเทียม 4 พันคนมาป่วนการชุมนุมเพื่อสร้างสถานการณ์ความรุนแรง
ฝ่ายรัฐบาลเขียนภาพให้ผู้ชุมนุมเป็นผู้ร้ายเพื่อให้ฝ่ายตัวเองมีความชอบธรรมที่จะอ้างกฎหมายเผด็จการมาเป็นเครื่องมือรองรับในการใช้ความรุนแรงกับประชาชน
ใครที่ติดตามการชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าจะเห็นว่า รัฐบาลได้เริ่มต้นสกัดกั้นผู้ชุมนุมไม่ให้เข้าร่วมชุมนุมด้วยความรุนแรง ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะผู้ชุมนุมเพียงแต่ต้องการเดินทางเข้าร่วมชุมนุมกับผู้ชุมนุมคนอื่นบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้าเท่านั้นเอง ไม่ได้มีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความวุ่นวายอื่นๆ หรือสร้างสถานการณ์ใดๆ เลย
มีการกระทำอย่างป่าเถื่อนกวาดต้อนผู้ชุมนุมขึ้นรถจับกุมของตำรวจไปนับร้อยคนไม่เว้นแม้แต่สื่อมวลชนที่ไปทำหน้าที่ และในเวลาต่อมาโฆษกตำรวจได้แถลงเหตุผลที่จับกุมสื่อมวลชนด้วยข้อกล่าวหาที่พิลึกพิลั่นว่า เพราะมีการถ่ายภาพขณะเกิดเหตุการณ์รุนแรง ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน
นอกจากนั้นตำรวจยังไม่ได้ใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักตามหลักการสากลที่ว่าจะต้องเริ่มต้นจากการจัดรูปขบวนตั้งแนวกำลังให้ผู้ชุมนุมเปลี่ยนความคิด จากนั้นใช้โล่ดันหากผู้ชุมนุมบุกรุกเข้ามา ใช้น้ำฉีด ใช้เครื่องกระจายเสียงระดับสูง จึงจะใช้แก๊สน้ำตา และต่อด้วยการใช้กระบอง และใช้กระสุนยาง
แต่เมื่อผู้ชุมนุมตัดลวดหนามเพื่อฝ่าวงล้อมของตำรวจ ตำรวจก็ได้ใช้แก๊สน้ำตาทันที ซ้ำร้ายแก๊สน้ำตาที่ตำรวจใช้เป็นแก๊สน้ำตาที่หมดอายุด้วย และใช้เท้ากดหัวผู้ชุมนุมที่ล้มลง
ใบตองแห้ง ประชาไท หรือนายอธึกกิต แสวงสุข ผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ของนายพานทองแท้ ชินวัตร เขียนในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ แต่เหตุการณ์มันเกิดจากม็อบตัดรั้วลวดหนาม 7 ชั้นเข้าไปลุยตำรวจ ทั้งที่ยังไม่มีความจำเป็นต้องขยายพื้นที่ชุมนุม ลุยเข้าไปใส่แถวตำรวจแบบ “ไอ้เสือเอาวา” แล้วสื่อยังเรียกร้องให้ตำรวจทำตามขั้นตอน อ้อ ต้องรอเรียกรถฉีดน้ำมาก่อน อย่าเพิ่งใช้แก๊สน้ำตา ฯลฯ ทั้งที่มันชุลมุนอยู่ตอนนั้น แล้วอีกพวกหนึ่งก็ไปตัดตอนด่าตำรวจ ตัดภาพตอนรุมตีม็อบ โอเค ผมว่ามันก็แรงไป แต่นั่นคือเหตุต่อเนื่องจากที่ม็อบลุยเข้าใส่ตำรวจก่อน นิสัยตำรวจไม่ว่าม็อบสีไหนบุกเข้าไปก็โดนทั้งนั้นละครับ
ตลกไหมครับใบตองแห้งอ้างว่า ตำรวจมีความชอบธรรมเพราะผู้ชุมนุมบุกเข้ามาเกิดความชุลมุนจะรอให้ตำรวจใช้เครื่องฉีดน้ำได้อย่างไร แทนที่จะถามว่า ทำไมตำรวจไม่เตรียมเครื่องฉีดน้ำให้พร้อมเพื่อสกัดกั้นผู้ชุมนุม กลายเป็นผู้ชุมนุมผิดไม่ใช่ตำรวจผิด
ใบตองแห้งบอกด้วยว่า สรุปว่าต่อให้ตำรวจใช้โล่ป้องกันตัว แล้วโล่ไปโดนคางม็อบก็มีความผิด (แต่ทีม็อบเสื้อแดงถูกทหารยิง แม่-ไม่ยักมีใครโวย)
โดยไม่ได้มองข้อเท็จจริงเลยว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงและองค์การพิทักษ์สยามต่างกันอย่างไร รัฐบาลที่แล้วก็ไม่ได้ขัดขวางการประกาศรวมตัวเพื่อใช้สิทธิชุมนุมของคนเสื้อแดงในตอนต้น แต่เหตุการณ์ความรุนแรงได้เกิดขึ้นหลังจากที่คนชุดแดงได้ใช้กองกำลังติดอาวุธเข้ามาแฝงตัวอยู่และยิงเอ็ม 79 ใส่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน
และไม่ได้ตั้งคำถามเลยว่า ถ้ารัฐบาลไม่สร้างเรื่องเท็จมาป้ายสีประชาชน จะมีเหตุผลใดที่จะนำพ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้เพื่อรุนแรงกับประชาชนที่ใช้สิทธิชุมนุมตามรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย
ตำรวจมีอำนาจในการปฏิบัติหน้าที่ครับไม่ว่ากับสีเสื้อไหนมีทัศนคติทางการเมืองอย่างไร แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุและผลมีกรอบในการปฏิบัติการมีขั้นมีตอนจากเบาไปหาหนักไม่ใช่เหรอครับ หากเจ้าหน้าที่รัฐจะใช้ความรุนแรงก็ต้องดูเหตุผลว่าผู้ชุมนุมใช้ความรุนแรงหรือไม่ ถ้าผู้ชุมนุมติดอาวุธจะให้เจ้าหน้าที่รัฐถือโล่กับกระบองไปสลายการชุมนุมมันก็คงเป็นเหตุผลที่ตลกน่าดู
ไม่น่าเชื่อนะครับว่า รัฐบาลที่เรียกตัวเองว่า เป็นรัฐบาลประชาธิปไตยมาจากการเลือกตั้งจะใช้วิธีการป่าเถื่อนในการสกัดกั้นการใช้สิทธิของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังมีการใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากโดยระบุว่ามีตำรวจที่เข้าปฏิบัติการครั้งนี้ถึง 3 หมื่นคน ตั้งด่านสกัดเป็นชั้นๆเพื่อให้การเดินทางเข้าสู่ที่ชุมนุมเป็นไปด้วยความยากลำบาก ยังมีการสกัดกั้นตามเส้นทางการเดินทางเข้ามากรุงเทพมหานครอย่างถี่ยิบ
มีการใช้อำนาจรัฐผ่านกระทรวงมหาดไทยให้ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้านยับยั้งผู้ที่จะมาร่วมชุมนุมรวมไปถึงการใช้ตำรวจในทุกพื้นที่ทั่วประเทศสกัดกั้นและคุกคามประชาชน ทั้งที่ประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพียง 3 เขตในกทม.
นอกเหนือจากเหตุผลถูกสกัดกั้นแล้ว เราคงต้องยอมรับความจริงด้วยว่า เงื่อนไขในการชุมนุมนั้นยังไม่สุกงอมพอ ผมคิดว่าคนกรุงเทพฯ เข้าร่วมชุมนุมน้อยมาก ซึ่งคงต้องยอมรับว่า ด้านหนึ่งมาจากคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจวาทกรรม “แช่แข็ง” ของเสธ.อ้าย และไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนพอว่า หากเราล้มนักการเมืองชั่วลงไปได้ บ้านเมืองจะเดินไปตามครรลองแบบไหน
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคุณูปการของม็อบเสธ.อ้ายก็คือ ทำให้เรารู้วิธีการและประจานทัศนคติของรัฐบาลประชาธิปไตยต่อผู้ชุมนุมว่า รัฐบาลชุดนี้เป็นประชาธิปไตยแต่เปลือก แต่จิตใจไม่ต่างจากรัฐบาลเผด็จการ และทำให้เรารู้ว่าต่อไปนี้หากพันธมิตรฯ นัดชุมนุมรัฐบาลก็ใช้วิธีการแบบนี้ในการสกัดกั้นผู้ชุมนุมไม่ให้รวมตัวกันได้ง่ายโดยใช้ทั้งอำนาจรัฐและวิธีการป้ายสีแบบสกปรก
สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยไม่ได้บ่งบอกว่ารัฐบาลชุดนั้นจะมีจิตใจและความสำนึกที่เป็นประชาธิปไตยไปด้วย