ASTVผู้จัดการรายวัน - “จินตนา” ชงยุทธศาสตร์บุกตลาดอาเซียน สยายปีกปั้นแบรนด์ชุดชั้นใน 3 ปี ก้าวสู่ริจินัลแบรนด์ วางขาย 10 ประเทศ กวาดรายได้ 1,000 ล้านบาท ลั่นปีหน้าปูพรมส่งออก 56 ประเทศ ล่าสุดเซ็นสัญญาบริษัทแดนปลาดิบ รับผลิตชุดชั้นใน 5 ปี ทุ่มงบ 20 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิต
นางสาวสาวิตรี ธนาลงกรณ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท จินตนา อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในจินตนา เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนขยายตลาดอาเซียนภายใต้แบรนด์ชุดชั้นใน “จินตนา” มากขึ้น เพื่อรองรับการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 58 โดยวางเป้าหมายอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นริจินัลแบรนด์
หลังจากได้ทดลองนำชุดชั้นในไปจำหน่ายรูปแบบเอาท์เลทและห้างสรรพสินค้าผ่านดิสทริบิวเตอร์ในพม่า โดยปีนี้เป็นปีแรกมียอดขาย 20 ล้านบาท ซึ่งถือว่าได้ตอบรับดีมาก ดังนั้นในปีหน้านี้บริษัทวางแผนขยายอีก 5ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนอีก 2 ประเทศกำลังพิจารณา และวางเป้าหมายปี 2558 จะขยายครอบคลุม 10 ประเทศในอาเซียน ด้วยการมีรายได้ 1,000 ล้านบาท
สำหรับแผนขยายตลาดในพม่า ปีหน้าบริษัทจะขยายเพิ่มสาขาจาก 13สาขา เพิ่มเป็น 20-25 สาขา ตั้งเป้ารายได้ 300 ล้านบาท โดยเป็นพม่า 50 ล้านบาท สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 100 ล้านบาท และมาเลเซีย อินเดีย และอื่นๆ 150ล้านบาท ที่ผ่านมาการทำตลาดต่างประเทศเป็นการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์อื่นๆ 100% โดยปีที่ผ่านมามีรายได้ 850 ล้านบาทซึ่งรายได้หลักมาจากอเมริกา 50% ยุโรป 30% แต่จากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ส่งผลให้รายได้ลดลงเหลือ 15% ขณะที่รายได้จากเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 35% โดยได้รับออเดอร์เพิ่มจากประเทศญี่ปุ่น
นางสาวสาวิตรี กล่าวว่า สำหรับการทำธุรกิจรับจ้างผลิต บริษัทยังให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญากับบริษัท ซูมิคิน บุสสัน ผู้ผลิตและส่งออกชุดชั้นในในญี่ปุ่น เพื่อรับจ้างผลิตชุดชั้นในให้กับบริษัทดังกล่าว จำนวนกว่า 2 ล้านชิ้นต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือมีมูลค่า 220 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.56 โดยบริษัทได้ทุ่มงบ 20 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันมีอยู่ 3 แสนชิ้นต่อเดือน และเพิ่มบุคคลากร 400 คน จากเดิมมีอยู่แล้ว 2,000 คน ที่ 2 โรงงาน คือ จ.นครราชสีมาและจ.นครปฐม ดังนั้นคาดว่าปีหน้านี้ รายได้การรับจ้างผลิตจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท และรายได้ในประเทศ 980 ล้านบาท
สำหรับสภาพตลาดชุดชั้นในมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ในปีนี้ตลาดไม่ค่อยเติบโตมากนัก จากสภาพตลาดที่อิ่มตัวและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แม้ว่าตลาดจะมีการแข่งขันด้านราคารุนแรง ส่งผลให้การซื้อชุดชั้นในเพิ่มขึ้นจาก 4-5 ครั้งต่อปี เพิ่มเป็น 6-7 ครั้งต่อปี อย่างไรก็ตามตลาดชุดชั้นใน แบ่งเป็น ชุดชั้นในระดับกลาง-บน สัดส่วน 50% และชุดชั้นในระดับกลาง-ล่าง 50% โดยจินตนาเป็นผู้นำตลาดชุดชั้นในตลาดกลาง-ล่าง ครองส่วนแบ่ง 20% ซึ่งฐานลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มอายุ 35 ปี และตลาดต่างจังหวัดวัยรุ่นอายุ 20 ปีขึ้นไป สำหรับปีหน้านี้บริษัทใช้งบการตลาด 40 ล้านบาท โดยโฟกัสตลาดชุดชั้นเบสิกมากกว่าชุดชั้นในแฟชั่น
ด้านนายซูนคิ อิกุชิ ประธานบริษัท ซูมิคิน บุสสัน จากประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า บริษัทผลิตชุดชั้นในให้กับแบรนด์ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด 4 แบรนด์ เช่น อเมริกากัน อีเกิ้ล ฯลฯ โดยบริษัทมีแผนลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ จึงลดการผลิตชุดชั้นในจากโรงงานในประเทศจีนจาก 95% เหลือ 70% ในปีหน้านี้ เนื่องจากค่าแรงที่ประเทศจีนเริ่มปรับเพิ่มมากขึ้น
และหันมาผลิตประเทศในภูมิภาคอาเซียน 25% และอีก 5% เป็นประเทศญี่ปุ่น นำร่องที่ประเทศไทย โดยจับมือร่วมกับบริษัทจินตนา และวางแผนจ้างบริษัทอื่นๆ ผลิตชุดชั้นในเพิ่มในอนาคต เนื่องจากเป้าหมายของบริษัทต้องการขยายตลาดในอาเซียน เพราะตลาดชุดชั้นในประเทศญี่ปุ่นไม่เติบโต เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ
นางสาวสาวิตรี ธนาลงกรณ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท จินตนา อินเตอร์เทรด จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายชุดชั้นในจินตนา เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนขยายตลาดอาเซียนภายใต้แบรนด์ชุดชั้นใน “จินตนา” มากขึ้น เพื่อรองรับการประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 58 โดยวางเป้าหมายอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นริจินัลแบรนด์
หลังจากได้ทดลองนำชุดชั้นในไปจำหน่ายรูปแบบเอาท์เลทและห้างสรรพสินค้าผ่านดิสทริบิวเตอร์ในพม่า โดยปีนี้เป็นปีแรกมียอดขาย 20 ล้านบาท ซึ่งถือว่าได้ตอบรับดีมาก ดังนั้นในปีหน้านี้บริษัทวางแผนขยายอีก 5ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ส่วนอีก 2 ประเทศกำลังพิจารณา และวางเป้าหมายปี 2558 จะขยายครอบคลุม 10 ประเทศในอาเซียน ด้วยการมีรายได้ 1,000 ล้านบาท
สำหรับแผนขยายตลาดในพม่า ปีหน้าบริษัทจะขยายเพิ่มสาขาจาก 13สาขา เพิ่มเป็น 20-25 สาขา ตั้งเป้ารายได้ 300 ล้านบาท โดยเป็นพม่า 50 ล้านบาท สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 100 ล้านบาท และมาเลเซีย อินเดีย และอื่นๆ 150ล้านบาท ที่ผ่านมาการทำตลาดต่างประเทศเป็นการรับจ้างผลิตสินค้าให้กับแบรนด์อื่นๆ 100% โดยปีที่ผ่านมามีรายได้ 850 ล้านบาทซึ่งรายได้หลักมาจากอเมริกา 50% ยุโรป 30% แต่จากการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจยุโรป ส่งผลให้รายได้ลดลงเหลือ 15% ขณะที่รายได้จากเอเชียเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 35% โดยได้รับออเดอร์เพิ่มจากประเทศญี่ปุ่น
นางสาวสาวิตรี กล่าวว่า สำหรับการทำธุรกิจรับจ้างผลิต บริษัทยังให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้เซ็นสัญญากับบริษัท ซูมิคิน บุสสัน ผู้ผลิตและส่งออกชุดชั้นในในญี่ปุ่น เพื่อรับจ้างผลิตชุดชั้นในให้กับบริษัทดังกล่าว จำนวนกว่า 2 ล้านชิ้นต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือมีมูลค่า 220 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.56 โดยบริษัทได้ทุ่มงบ 20 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มกำลังการผลิตจากปัจจุบันมีอยู่ 3 แสนชิ้นต่อเดือน และเพิ่มบุคคลากร 400 คน จากเดิมมีอยู่แล้ว 2,000 คน ที่ 2 โรงงาน คือ จ.นครราชสีมาและจ.นครปฐม ดังนั้นคาดว่าปีหน้านี้ รายได้การรับจ้างผลิตจากต่างประเทศเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท และรายได้ในประเทศ 980 ล้านบาท
สำหรับสภาพตลาดชุดชั้นในมูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท ในปีนี้ตลาดไม่ค่อยเติบโตมากนัก จากสภาพตลาดที่อิ่มตัวและได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แม้ว่าตลาดจะมีการแข่งขันด้านราคารุนแรง ส่งผลให้การซื้อชุดชั้นในเพิ่มขึ้นจาก 4-5 ครั้งต่อปี เพิ่มเป็น 6-7 ครั้งต่อปี อย่างไรก็ตามตลาดชุดชั้นใน แบ่งเป็น ชุดชั้นในระดับกลาง-บน สัดส่วน 50% และชุดชั้นในระดับกลาง-ล่าง 50% โดยจินตนาเป็นผู้นำตลาดชุดชั้นในตลาดกลาง-ล่าง ครองส่วนแบ่ง 20% ซึ่งฐานลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มอายุ 35 ปี และตลาดต่างจังหวัดวัยรุ่นอายุ 20 ปีขึ้นไป สำหรับปีหน้านี้บริษัทใช้งบการตลาด 40 ล้านบาท โดยโฟกัสตลาดชุดชั้นเบสิกมากกว่าชุดชั้นในแฟชั่น
ด้านนายซูนคิ อิกุชิ ประธานบริษัท ซูมิคิน บุสสัน จากประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า บริษัทผลิตชุดชั้นในให้กับแบรนด์ในประเทศญี่ปุ่น ทั้งหมด 4 แบรนด์ เช่น อเมริกากัน อีเกิ้ล ฯลฯ โดยบริษัทมีแผนลดความเสี่ยงการดำเนินธุรกิจ จึงลดการผลิตชุดชั้นในจากโรงงานในประเทศจีนจาก 95% เหลือ 70% ในปีหน้านี้ เนื่องจากค่าแรงที่ประเทศจีนเริ่มปรับเพิ่มมากขึ้น
และหันมาผลิตประเทศในภูมิภาคอาเซียน 25% และอีก 5% เป็นประเทศญี่ปุ่น นำร่องที่ประเทศไทย โดยจับมือร่วมกับบริษัทจินตนา และวางแผนจ้างบริษัทอื่นๆ ผลิตชุดชั้นในเพิ่มในอนาคต เนื่องจากเป้าหมายของบริษัทต้องการขยายตลาดในอาเซียน เพราะตลาดชุดชั้นในประเทศญี่ปุ่นไม่เติบโต เพราะประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ
