xs
xsm
sm
md
lg

ยากจนและเป็นคนโลภ : เหยื่อของนักการเมืองโกง

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ในขณะที่เขียนบทความนี้ การชุมนุมภายใต้การนำของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ยังไม่เกิดขึ้น แต่ในขณะที่ท่านผู้อ่านอ่านบทความนี้ การชุมนุมได้ผ่านพ้นไปแล้ว 2 วัน

ดังนั้น ถ้าทุกอย่างจบลงภายในวันเดียวหรือไม่เกินสองวัน ก็คงรู้ผลแล้วว่ารัฐบาลอยู่หรือไป และด้วยวิธีใด

แต่ไม่ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะอยู่หรือไป หรือรัฐบาลไหนจะมาแทน เรื่องที่นำมาเขียนต่อไปนี้จะยังคงเป็นปัญหาต่อไปอีกนาน ส่วนจะนานแค่ไหนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักดังต่อไปนี้

1. ประชาชนซึ่งเป็นคนยากจน รู้และเข้าใจปัญหาของตัวเองมากน้อยแค่ไหน และมีความจริงใจและจริงจังในการแก้ปัญหาความยากจนของตนเอง โดยเริ่มที่เหตุแห่งปัญหาและลงมือแก้ไขให้ตรงประเด็นควบคู่ไปกับให้ความร่วมมือกับภาครัฐแก้ปัญหาร่วมกัน

ถ้าทุกคนทำได้เยี่ยงนี้ ปัญหาความยากจนก็จะค่อยๆ ลดลง และหมดไปในที่สุด

ในทางกลับกัน ถ้าคนยากจนไม่สนใจ และไม่ใส่ใจในการศึกษา และทำความเข้าใจถึงสาเหตุแห่งการเกิดความยากจน และแก้ไขให้ตรงประเด็น ทั้งรัฐบาลเองก็ไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา แต่มุ่งใช้ความยากจนเป็นเหตุอ้างในการออกนโยบายเพื่อหลอกล่อ และจูงใจให้คนจนตกเป็นเหยื่อทางการเมืองโดยการเลือกตนเอง และรอคอยให้รัฐบาลช่วยเหลือแต่เพียงประการเดียว และครั้นรัฐไม่ช่วยก็ลุกขึ้นเรียกร้องต่อรองในสิ่งที่ตนเองต้องการในลักษณะของม็อบแบมือขอ เมื่อใดเมื่อนั้นก็เข้าล็อกรัฐบาลที่ต้องการใช้ความยากจนเป็นเหยื่อทางการเมืองในทันที โดยการออกนโยบายและกำหนดมาตรการช่วยเหลือโดยการตั้งงบประมาณ เป็นการสร้างโอกาสทางการเมืองไปพร้อมๆ กับการแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

2. ในส่วนของนักการเมือง ทั้งในส่วนของปัจเจกคือตัวนักการเมืองแต่ละคน และในส่วนของพรรคอันเป็นองค์กรทางการเมือง ถ้ามุ่งเน้นแต่จะเอาชนะการเลือกตั้งด้วยหวังเป็นรัฐบาลชนิดที่เรียกว่าเป็นฝ่ายค้านไม่เป็นดังพรรคการเมืองบางพรรคเป็นอยู่ ก็เป็นที่แน่นอนว่าในการเลือกตั้งทุกครั้งจะต้องกำหนดนโยบายมุ่งเน้นเพื่อเอาใจคนยากจนด้วยนโยบายประชานิยมแบบสุดโต่ง โดยไม่คำนึงว่าจะทำได้หรือไม่ และถึงแม้ว่าทำได้จะเกิดผลเสียแก่ประเทศโดยรวมหรือไม่ ดังที่เกิดขึ้นและปรากฏให้เห็นแล้วในนโยบายของพรรคเพื่อไทยอย่างน้อย 2 ประการ คือ

2.1 นโยบายรับจำนำข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท โดยไม่มีการระบุเงื่อนไขให้ชัดเจนว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง เช่น ความชื้น ประเภทพันธุ์ข้าวมีคุณภาพดีหรือไม่ดีต่างกันหรือไม่

ครั้นลงมือดำเนินการจริงก็ปรากฏให้เห็นถึงอุปสรรคในการดำเนินการ เช่น เมื่อชาวนานำข้าวไปจำนำที่โรงสีก็เจอปัญหาเรื่องความชื้น และรับจำนำต่ำกว่าราคาที่กำหนดในบางราย และบางท้องที่ ถ้าต้องการเงินสดไปก็จะได้ประมาณ 8,000 บาท

อีกประการหนึ่ง ถ้าจะให้ได้ราคา 15,000 บาทต่อตัน ก็ต้องรอไม่ได้รับเงินทันที แต่เกษตรกรต้องนำเงินไปใช้หนี้ และใช้จ่ายในครัวเรือน ทั้งเกษตรกรที่มีข้าวน้อยประมาณ 3-4 ตันต่อครัวเรือนจะรอได้อย่างไรเมื่อเจ้าหนี้และความต้องการใช้เงินรออยู่ จึงจำเป็นต้องยอมรับการจำนำของโรงสีด้วยราคาต่ำ นี่คือเหตุที่เกิดขึ้นแก่เกษตรกรรายย่อยซึ่งส่วนใหญ่ทำนาปี และอยู่ในภาคอีสาน

ส่วนผู้ที่พอจะได้รับประโยชน์จากนโยบายรับจำนำข้าวราคา 15,000 บาทต่อตัน ได้แก่เกษตรกรผู้ทำนาปรังในที่ลุ่มภาคกลาง และเป็นเกษตรกรรายใหญ่มีผลผลิตมากพอที่จะต่อรองกับโรงสีได้

ดังนั้น ถ้าจะมองว่าใครได้ประโยชน์ก็บอกได้ว่า ทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการที่มีอำนาจจะได้ประโยชน์แต่ไม่ใช่เกษตรกรผู้ยากจนจริงๆ

ยิ่งกว่านี้ โครงการจำนำข้าวยังเป็นเหตุให้ประเทศต้องแบกรับภาระหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นอีกนับแสนล้านบาท เพราะเมื่อรับจำนำข้าวด้วยราคาที่สูงกว่าราคาตลาด เมื่อต้องการขายออกไปในราคาที่สูงกว่าก็ทำไม่ได้ และในขณะเดียวกัน เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวในปีต่อไปก็จะต้องใช้เงินไม่น้อยไปกว่าปีก่อนมารับจำนำรัฐจะนำเงินจากที่ไหน และเมื่อข้าวเก่าขายออกไปไม่หมด จะเอายุ้งฉางที่ไหนรองรับข้าวในฤดูกาลใหม่ ครั้นจะรีบขายออกไปแน่นอนว่าจะต้องขายในราคาต่ำ นั่นหมายถึงการขาดทุน และจะทำอย่างไรกับเม็ดเงินส่วนที่หายไปหรือจะปล่อยให้ ธ.ก.ส.แบกรับไปโดยที่รัฐบาลทำเฉยไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ ธ.ก.ส.ก็จะล้มละลายกลายเป็นแบงก์เน่าและเป็นภาระของประเทศต่อไปในอนาคต

ในเรื่องรับจำนำพืชเกษตรอื่นๆ ก็ทำนองเดียวกัน ดังจะเห็นได้จากหอมแดงที่ปล่อยให้เน่าเสียมาแล้ว และจนบัดนี้หาผู้กระทำผิดได้หรือยัง

ทั้ง 2 ประเด็นที่กล่าวมาข้างต้น ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่าความยากจนกับการแสวงหาอำนาจทางการเมือง จะเกี่ยวข้องกันชนิดแยกไม่ออก ดังนั้น ถ้าเมืองไทยยังคงมีนักการเมือง และพรรคการเมืองที่ใช้นโยบายหลอกล่อประชาชนเพื่อหวังผลทางการเมืองโดยไม่คำนึงถึงความสูญเสียโดยรวมของประเทศอยู่ต่อไป รับรองได้ว่าประเทศไทยคงไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศในยุโรปขณะนี้ จะแก้ไขความยากจน และนักการเมืองโกงโดยอาศัยคนจนเป็นฐานได้อย่างไร

เพื่อให้มองเห็นประเด็นอันเป็นรากเหง้าของความยากจน และวิธีการที่นักการเมืองโกงโดยใช้ความยากจนเป็นเหยื่อได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ผู้เขียนใคร่ขอให้ท่านผู้อ่านลองย้อนไปดูความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมของเกษตรกรก็จะพบว่ามีความแตกต่างออกไปจากปัจจุบัน ซึ่งอนุมานได้จากปัจจัยในเชิงตรรกะดังต่อไปนี้

ในอดีต เกษตรกรโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวนาส่วนใหญ่จะมีที่นาเป็นของตนเอง และใช้แรงงานคนในครอบครัวเป็นหลัก ควบคู่ไปกับใช้แรงงานสัตว์เลี้ยง ทั้งวัตถุประสงค์ในการทำนาก็เพื่อกินและเหลือขาย มิได้ทำเพื่อขายแล้วซื้อข้าวกิน

ดังนั้น ข้าวเปลือกที่เก็บเกี่ยวได้ในแต่ละปีจะมียุ้งฉางเก็บไว้ จนกระทั่งฤดูกาลเก็บเกี่ยวในปีต่อไปมาถึงก็จะขายข้าวเก่าและเก็บข้าวใหม่แทน วนเวียนกันไปเช่นนี้

เมื่อการผลิตใช้แรงงานคนในครอบครัว และสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก หรือถ้าจำเป็นต้องใช้แรงงานมากในคราวเดียวกัน ก็ใช้วิธีลงแขกคือช่วยกันทำเป็นครั้งคราว เช่น ลงแขกเกี่ยวข้าว และทำนา เป็นต้น

ดังนั้น ต้นทุนที่เป็นตัวเงินจึงไม่มีปรากฏให้เห็น และเป็นภาระในการจัดหามาเช่นปัจจุบันนี้

เมื่อไม่มีต้นทุนเป็นตัวเงิน ชาวนาก็ไม่ต้องเป็นหนี้จากการลงทุน เมื่อไม่มีหนี้การขายข้าวก็ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ รอไปจนกว่าถึงฤดูกาลเก็บของใหม่แล้วค่อยขายของเก่าออกไป จึงทำให้มีเงินออมทุกครัวเรือนมากบ้างน้อยบ้าง

แต่ในปัจจุบันจะขายทันทีที่เก็บเกี่ยวเพราะต้องรีบใช้หนี้เงินทุนที่กู้ยืมมาลงทุนทำนา ประกอบกับในปัจจุบันมีเครื่องมือกลไกการเก็บเกี่ยวสะดวกต่อการขาย จึงทำให้ชาวนาไม่มียุ้งฉางเป็นของตัวเอง และนี่คือการทำเพื่อขายแล้วซื้อข้าวกิน ก่อให้เกิดความเดือดร้อนทั่วหน้า และจะเดือดร้อนยิ่งขึ้นเมื่อชาวนาต้องขายที่นาเพื่อใช้หนี้ และเช่านานายทุนทำ ในบางรายต้องเช่านาของตนเองที่นายทุนยึดไปเพราะไม่มีเงินใช้หนี้ก็มีอยู่

เมื่อชาวนาเป็นอย่างที่เขียนมาก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองโกง โดยอาศัยนโยบายประชานิยมหลอกล่อให้หลงคารมนั่งรอความช่วยเหลือ และนี่เองคือจุดเริ่มต้นของการซื้อเสียงในทางอ้อม นอกจากนี้ ในการเลือกตั้งยังมีการจ่ายเงินโดยตรงให้แก่ผู้มาลงคะแนนควบคู่หรือเพิ่มเติมจากที่ขายฝันให้นั่งรอ เมื่อเป็นเช่นนี้เลือกกี่ครั้งก็มีโอกาสชนะตราบเท่าที่คนยากจนยังมีความโลภ และอยากสบายโดยไม่ต้องทำงาน แต่รอรัฐบาลแจกหรือช่วยโดยอาศัยเงินภาษีมาดำเนินการ อย่างนี้ไม่เรียกว่านักการเมืองทุนสามานย์จะเรียกว่าอะไรดี
กำลังโหลดความคิดเห็น