ประเทศไทยกำลังอยู่ในสภาพตกต่ำทุกด้าน การเมือง เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ชีวิตความเป็นอยู่ ประชาชนมีหนี้สินพอกพูน รวยกระจุกอยู่ในกลุ่มข้าราชการ นักการเมืองกังฉินกินคำโต พ่อค้าในระบบทุนนิยมสามานย์ ความยากจนกระจายไปสู่ทุกหย่อมหญ้า ทั้งป่าธรรมชาติและป่าคอ-นก-รีต
เมื่อรัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าในกระดองที่ 3 มีจุดยืนมั่นคง แรงกล้าในนโยบาย “กู้เพื่อโกง” ยกระดับหนี้สินแผ่นดินยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงว่าไทยใกล้ล้มละลาย จะต้องจำยอมขายทรัพย์สินเหมือนอาร์เจนตินา สเปน และกรีซ
ตัวเลขดัชนีต่างๆ ชี้ให้เห็นความเสื่อมโทรมในมาตรฐานการศึกษา ปัญหาอาชญากรรม หนี้สิน ค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต คนมีจิตสำนึกต่ำ ขาดความสำนึกของความเป็นชาติ มีแต่ความฟุ้งเฟ้อ เป็นสังคมไร้ราก
ยุคก่อน ประชาชนมองรัฐบาลว่า ถ้ามีการโกง อัตราหัวคิวเปอร์เซ็นต์มีเพียงใต้โต๊ะ ตามน้ำ ไม่สูงถึง 30-50 หักดิบ โกงกินเป็นระบบกว้างในเครือข่ายเหมือนในปัจจุบัน! รู้ทั้งรู้ว่าถูกประณามว่าเป็นหน้าขี้โกง พวกเจ๊ยังหน้าด้าน
“ชั้นจะโกงซะอย่าง พวกเอ็งมีปัญญาทำอะไรได้” นั่นเป็นคำท้าทายของเจ๊ตัวแม่ในระบบ “โกงทั้งโคตร” มีความจุไม่จำกัด จะโกงจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย! สะสมทรัพย์สินที่ดิน เงินสดระดับหมื่นๆ ล้านบาท ก็ยังไม่รู้จักพอ
กะว่าจะระดมโคตรเหง้าเหล่าบรรดาตระกูลเครือญาติโกงกินให้สิ้นชาติ! ชดเชยความยากลำบากถูกสังคมหมิ่นก่อนหน้านี้ เมื่อคนในตระกูลยังดิ้นรนหนัก จนกระทั่งได้สัมปทานขูดรีดผู้บริโภคจนร่ำรวยแบบก้าวกระโดด
จากนั้นใช้เงินตอบสนองความทะเยอทะยาน ตัณหาด้านทรัพย์สินเงินทอง ใช้เงินซื้ออำนาจการเมือง ได้แล้วก็ใช้อำนาจโกงต่อเนื่องสร้างวงจรอุบาทว์ หลอกล่อชาวบ้านบ้องตื้น ยากจนให้ติดอยู่ในกับดักนโยบายประชานิยม
ประเทศไทยกำลังถูกมองจากทั่วโลกด้วยสายตาของความสมเพช ว่าทนอยู่ได้อย่างไรยาวนานกับการมีผู้นำรัฐบาลแอ๊บแบ๊ว ไม่รู้สึกรู้สากับความเอ๋อ จิตไม่เต็ม สร้างความอับอายขายหน้าระดับชาติและระดับสากลนับครั้งไม่ถ้วน
แม่นางโพยชอบเหลือเกินในการแสดงตัวพร้อมแฟชั่น เครื่องแต่งกายเฉิดฉาย เหมือนเป็นนางแบบ พริตตี้ ฉาบทาด้วยความสวย ความรู้สติปัญญา ความสามารถเป็นเรื่องรอง ให้ความสำคัญกับการเดินสายอวดโฉมเมืองนอก
น่าจะได้ฉายาว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีต่างประเทศ” คนแรกของไทย! มีรัฐมนตรีต่างประเทศพูดภาษาอังกฤษได้งูๆ ปลาๆ เจรจาความเมืองกับใครก็ได้แต่นั่งอ้าปากหวอ ยุคนี้ไปได้สวย ห่วยแตกบักโกรกระหว่าง “ปึ้ง” กับปูโพรก
มีคณะรัฐมนตรีแต่ละชุด ภายใต้การสั่งงานของบักเหลี่ยมร้ายเร่ร่อน ชาวบ้านรู้สึกเพียงว่า จะโกงกินมากหรือน้อย มูมมามไร้หน้าด้านแค่ไหน แต่คนส่วนใหญ่ไม่คิดโวยวาย คิดแต่ว่าธุระไม่ใช่ บ้านเมืองไม่ใช่ของกูคนเดียว
ทัศนคติแบบไม่เอาอ่าว ไม่เอาทะเลแบบนี้แหละ ทำให้โคตรเหง้าเหล่าตระกูลกังฉินชอบมาก โกงได้แล้วก็โยนเศษเนื้อข้างเขียงให้พวกชาวบ้านบ้องตื้นมักง่าย ทำให้เป็นเครือข่ายปกป้องพวกโคตรโกงให้ยืนยงสถาพรตลอดไป
ปรับคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้งเป็นการผลัดเปลี่ยนตัวเสือหิวให้เข้ามาเขมือบผลประโยชน์ทรัพย์สินแผ่นดิน เมื่อกินถึงระดับหนึ่งก็ต้องให้กลุ่มอื่นเข้ามา เป็นทั้งการตอบแทนบุญคุณเก่า สร้างบุญคุณใหม่ ขยายเครือข่ายกังฉิน
ช่วงนี้มีแต่องค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายออกมาต่อต้าน ระดมคนขับไล่รัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน จะสำเร็จหรือไม่ หัวขบวนนำโดย “เสธ.อ้าย” ดันสร้างเงื่อนไขผูกมัดตัวเอง เหมือนเปิดช่องสำหรับทางถอย
“ถ้าตัวเลขคนเข้าร่วมชุมนุมไม่ถึงล้าน ก็จะเลิก” เมื่อมีข้อผูกมัดขาตัวเอง ชาวบ้านมองได้ว่าโอกาสจะมีคนถึง 1 ล้านนั้นยากยิ่งกว่าหาบันไดไต่ขึ้นสวรรค์ เพราะในประวัติศาสตร์การชุมนุมทางการเมืองของประเทศไทยยังไม่เคยมีคนรวมตัวมากมายถึงล้านคน! ในยุค 14 ตุลาฯ 2516 ก็ได้เพียงไม่กี่แสนคนเท่านั้น
ยุคนั้นมีขบวนการนิสิต นักศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นการระดมคนได้ง่ายกว่า! ยุคนี้มีคนต่างจิตต่างใจ เหลือแต่พวกคนทนไม่ได้จริงๆ ที่ออกมาชุมนุม! เงื่อนไขยากเย็นแสนเข็ญของ “เสธ.อ้าย” ทำให้เครือข่ายบักเหลี่ยมร้ายเบาใจ
เว้นแต่ว่าเงื่อนไขตัวเลขของ “เสธ.อ้าย” จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง และแสดงให้เห็นว่าความรักชาติแท้จริงย่อมไม่สร้างเงื่อนไขเกินความจริงจนทำให้ไม่บรรลุผล! จะถูกสงสัยว่าเป็นการตีเมืองขึ้นเพื่อหวังรวย
จากนี้ไปอีกหลายวัน บักเหลี่ยมร้ายเร่ร่อนจะโฉบมาใกล้ชายแดนไทย เคลื่อนไหวสร้างข่าวจากกิจกรรมท้าทายกลไกรัฐไทย เจ้าหน้าที่กฎหมายเพิกเฉยหมายจับของศาล ส.ส. นักการเมือง ข้าราชการ ชาวบ้านจะแห่ไปพบ
เป็นคนหนีคุกผู้ยิ่งใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญ ตำรวจ ทหาร อัยการ ข้าราชการ ยอมสยบ มีเครือข่ายมวลชน กองกำลังติดอาวุธพร้อมรับใช้จัดการฝ่ายตรงกันข้าม! อ้างว่ามีขบวนการจ้องลอบสังหาร
“เสธ.อ้าย” และเครือข่ายจะยอมแพ้ขบวนการคนชั่วอย่างง่ายๆ หรือ?
เมื่อรัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าในกระดองที่ 3 มีจุดยืนมั่นคง แรงกล้าในนโยบาย “กู้เพื่อโกง” ยกระดับหนี้สินแผ่นดินยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงว่าไทยใกล้ล้มละลาย จะต้องจำยอมขายทรัพย์สินเหมือนอาร์เจนตินา สเปน และกรีซ
ตัวเลขดัชนีต่างๆ ชี้ให้เห็นความเสื่อมโทรมในมาตรฐานการศึกษา ปัญหาอาชญากรรม หนี้สิน ค่าครองชีพ คุณภาพชีวิต คนมีจิตสำนึกต่ำ ขาดความสำนึกของความเป็นชาติ มีแต่ความฟุ้งเฟ้อ เป็นสังคมไร้ราก
ยุคก่อน ประชาชนมองรัฐบาลว่า ถ้ามีการโกง อัตราหัวคิวเปอร์เซ็นต์มีเพียงใต้โต๊ะ ตามน้ำ ไม่สูงถึง 30-50 หักดิบ โกงกินเป็นระบบกว้างในเครือข่ายเหมือนในปัจจุบัน! รู้ทั้งรู้ว่าถูกประณามว่าเป็นหน้าขี้โกง พวกเจ๊ยังหน้าด้าน
“ชั้นจะโกงซะอย่าง พวกเอ็งมีปัญญาทำอะไรได้” นั่นเป็นคำท้าทายของเจ๊ตัวแม่ในระบบ “โกงทั้งโคตร” มีความจุไม่จำกัด จะโกงจนลมหายใจเฮือกสุดท้าย! สะสมทรัพย์สินที่ดิน เงินสดระดับหมื่นๆ ล้านบาท ก็ยังไม่รู้จักพอ
กะว่าจะระดมโคตรเหง้าเหล่าบรรดาตระกูลเครือญาติโกงกินให้สิ้นชาติ! ชดเชยความยากลำบากถูกสังคมหมิ่นก่อนหน้านี้ เมื่อคนในตระกูลยังดิ้นรนหนัก จนกระทั่งได้สัมปทานขูดรีดผู้บริโภคจนร่ำรวยแบบก้าวกระโดด
จากนั้นใช้เงินตอบสนองความทะเยอทะยาน ตัณหาด้านทรัพย์สินเงินทอง ใช้เงินซื้ออำนาจการเมือง ได้แล้วก็ใช้อำนาจโกงต่อเนื่องสร้างวงจรอุบาทว์ หลอกล่อชาวบ้านบ้องตื้น ยากจนให้ติดอยู่ในกับดักนโยบายประชานิยม
ประเทศไทยกำลังถูกมองจากทั่วโลกด้วยสายตาของความสมเพช ว่าทนอยู่ได้อย่างไรยาวนานกับการมีผู้นำรัฐบาลแอ๊บแบ๊ว ไม่รู้สึกรู้สากับความเอ๋อ จิตไม่เต็ม สร้างความอับอายขายหน้าระดับชาติและระดับสากลนับครั้งไม่ถ้วน
แม่นางโพยชอบเหลือเกินในการแสดงตัวพร้อมแฟชั่น เครื่องแต่งกายเฉิดฉาย เหมือนเป็นนางแบบ พริตตี้ ฉาบทาด้วยความสวย ความรู้สติปัญญา ความสามารถเป็นเรื่องรอง ให้ความสำคัญกับการเดินสายอวดโฉมเมืองนอก
น่าจะได้ฉายาว่าเป็น “นายกรัฐมนตรีต่างประเทศ” คนแรกของไทย! มีรัฐมนตรีต่างประเทศพูดภาษาอังกฤษได้งูๆ ปลาๆ เจรจาความเมืองกับใครก็ได้แต่นั่งอ้าปากหวอ ยุคนี้ไปได้สวย ห่วยแตกบักโกรกระหว่าง “ปึ้ง” กับปูโพรก
มีคณะรัฐมนตรีแต่ละชุด ภายใต้การสั่งงานของบักเหลี่ยมร้ายเร่ร่อน ชาวบ้านรู้สึกเพียงว่า จะโกงกินมากหรือน้อย มูมมามไร้หน้าด้านแค่ไหน แต่คนส่วนใหญ่ไม่คิดโวยวาย คิดแต่ว่าธุระไม่ใช่ บ้านเมืองไม่ใช่ของกูคนเดียว
ทัศนคติแบบไม่เอาอ่าว ไม่เอาทะเลแบบนี้แหละ ทำให้โคตรเหง้าเหล่าตระกูลกังฉินชอบมาก โกงได้แล้วก็โยนเศษเนื้อข้างเขียงให้พวกชาวบ้านบ้องตื้นมักง่าย ทำให้เป็นเครือข่ายปกป้องพวกโคตรโกงให้ยืนยงสถาพรตลอดไป
ปรับคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้งเป็นการผลัดเปลี่ยนตัวเสือหิวให้เข้ามาเขมือบผลประโยชน์ทรัพย์สินแผ่นดิน เมื่อกินถึงระดับหนึ่งก็ต้องให้กลุ่มอื่นเข้ามา เป็นทั้งการตอบแทนบุญคุณเก่า สร้างบุญคุณใหม่ ขยายเครือข่ายกังฉิน
ช่วงนี้มีแต่องค์การพิทักษ์สยามและเครือข่ายออกมาต่อต้าน ระดมคนขับไล่รัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน จะสำเร็จหรือไม่ หัวขบวนนำโดย “เสธ.อ้าย” ดันสร้างเงื่อนไขผูกมัดตัวเอง เหมือนเปิดช่องสำหรับทางถอย
“ถ้าตัวเลขคนเข้าร่วมชุมนุมไม่ถึงล้าน ก็จะเลิก” เมื่อมีข้อผูกมัดขาตัวเอง ชาวบ้านมองได้ว่าโอกาสจะมีคนถึง 1 ล้านนั้นยากยิ่งกว่าหาบันไดไต่ขึ้นสวรรค์ เพราะในประวัติศาสตร์การชุมนุมทางการเมืองของประเทศไทยยังไม่เคยมีคนรวมตัวมากมายถึงล้านคน! ในยุค 14 ตุลาฯ 2516 ก็ได้เพียงไม่กี่แสนคนเท่านั้น
ยุคนั้นมีขบวนการนิสิต นักศึกษา ซึ่งถือว่าเป็นการระดมคนได้ง่ายกว่า! ยุคนี้มีคนต่างจิตต่างใจ เหลือแต่พวกคนทนไม่ได้จริงๆ ที่ออกมาชุมนุม! เงื่อนไขยากเย็นแสนเข็ญของ “เสธ.อ้าย” ทำให้เครือข่ายบักเหลี่ยมร้ายเบาใจ
เว้นแต่ว่าเงื่อนไขตัวเลขของ “เสธ.อ้าย” จะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพความเป็นจริง และแสดงให้เห็นว่าความรักชาติแท้จริงย่อมไม่สร้างเงื่อนไขเกินความจริงจนทำให้ไม่บรรลุผล! จะถูกสงสัยว่าเป็นการตีเมืองขึ้นเพื่อหวังรวย
จากนี้ไปอีกหลายวัน บักเหลี่ยมร้ายเร่ร่อนจะโฉบมาใกล้ชายแดนไทย เคลื่อนไหวสร้างข่าวจากกิจกรรมท้าทายกลไกรัฐไทย เจ้าหน้าที่กฎหมายเพิกเฉยหมายจับของศาล ส.ส. นักการเมือง ข้าราชการ ชาวบ้านจะแห่ไปพบ
เป็นคนหนีคุกผู้ยิ่งใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญ ตำรวจ ทหาร อัยการ ข้าราชการ ยอมสยบ มีเครือข่ายมวลชน กองกำลังติดอาวุธพร้อมรับใช้จัดการฝ่ายตรงกันข้าม! อ้างว่ามีขบวนการจ้องลอบสังหาร
“เสธ.อ้าย” และเครือข่ายจะยอมแพ้ขบวนการคนชั่วอย่างง่ายๆ หรือ?