ก่อนอื่นเราขอชื่นชมเสธ.อ้าย และมวลชนคนรักชาติอย่างจริงใจ รัฐบาลปราบเสธ.อ้ายและมวลชนลงได้ ตำรวจบางส่วนเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย อย่าลำพองว่าจะสามารถอยู่ไปได้จนครบเทอม แต่นั้นคือภาพลวงตาสำหรับผู้ที่ไม่เข้าใจ ผู้ที่ไม่เห็นสภาพการณ์ทางการเมืองที่แท้จริง เรามองเห็นชัดว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร(ประธานเสนาบดีมาร) กำลังหลงทาง และยังมองไม่เห็นว่าอะไรคือเหตุวิกฤตชาติ ที่สั่งสมมายาวนานกว่า80 ปี
ความเลวร้ายของชาติ อันเกิดจากการบิดเบือนของคณะผู้ปกครองไทยที่หลอกว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย การจะทำให้เป็นประชาธิปไตย ต้องร่างรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นการพัฒนาให้ประชาธิปไตยดีขึ้น ซึ่งตื้นเขินทางปัญญาที่สุด
ดูได้จากรัฐบาลซึ่งมีแนวคิดตรงกันข้ามกับแนวคิด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ที่ทรงมีแนวคิดสร้างระบอบหรือหลักการปกครองก่อน ยกร่างรัฐธรรมนูญ “ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับไปกรุงเทพฯ แล้ว และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ ได้นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว...ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย”...“ครั้นต่อมาในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน
รัฐบาลนี้ จึงไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่เป็นผลของแนวทางที่ผิดพลาดมาแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลชุดแรก นับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ปู ยิ่งลักษณ์นายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ก็น่าที่จะได้ฉุกคิด ย้อนระลึกดูการเมืองในอดีตที่มีแต่ความล้มเหลว และนายกฯ หญิงคนนี้ก็จะเป็นอีกตัวอย่างแห่งความล้มเหลวซ้ำรอยเดิม เฉกเช่นประธานเสนาบดีมารที่ผ่านๆ มา
ด้วยความห่วงใยในชาติบ้านเมืองและมีความห่วงใยประชาชนด้วยใจจริง เราขอแจกดวงตา ปัญญาสำคัญนี้ให้แก่ทุกแกนนำและมวลชนก้าวหน้า
ดังได้กล่าวมาเป็นลำดับแล้วว่าระบอบปัจจุบันนั้นเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ หรือเป็นระบอบกฎหมาย เป็นระบอบมิจฉาทิฐิ อันเป็นระบอบเผด็จการซ่อนเร้น เมื่อนำมาใช้กับรูปการปกครอง (Form of Government) ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) จึงได้ชื่อว่า ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นี่คือสภาพความเป็นจริง ที่แท้จริงของการเมืองไทย แต่รัฐบาลปูเสฉวน หารู้ไม่รัฐบาลยิ่งบิดเบือนหนักว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เลยทำให้เข้าใจสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แต่ผลมันคือไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ เห็นผิด คิดผิด ปกครองผิด กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคลตกอยู่ในกระแสแห่งความชั่วร้ายหายนะซ้ำซาก
บางคนทุ่มเทอุทิศเพื่อชาติอย่างน่าสรรเสริญ แต่กลับล้มเหลว ความดีงาม คุณธรรมจากสถาบันหลักของชาติจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจจะต้านทานความเลวร้ายที่เกิดจากเหตุคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ได้ แต่มันกลับเป็นเหตุแห่งความร่ำรวยของคณะรัฐบาลและพรรคฯ
ในความถูกต้องโดยธรรมรัฐธรรมนูญจะต้องมีองค์ประกอบหลัก 2 ด้านระหว่างฝ่ายเหตุและฝ่ายผล เป็นความสัมพันธ์ระหว่างหลักการปกครอง (Principle of Government) ฝ่ายเหตุกับวิธีการปกครอง (Methods of Government) ฝ่ายผลหรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างจุดหมายของการปกครอง (Aim of Government) กับ มรรควิธีในการปกครอง (Ways or Means of Government) หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างยุทธศาสตร์ของการปกครอง (Strategy of Government) กับยุทธวิธีในการปกครอง (Tactics of Government)
อีกนัยหนึ่ง หลักการปกครองที่แท้จริงจะต้องเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีความมั่นคงดุจดังสภาวะบรมธรรม, นิพพาน, หรือธรรมาธิปไตยดุจดังวัดพระแก้ว
ส่วนวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) หรือมรรควิธีในการปกครอง หรือยุทธวิธีในการปกครองนั้นมีความแตกต่างหลากหลาย (หลายมาตรา) และเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาเพื่อความเหมาะสมตามกาลสมัยดุจดังวิธีการไปวัดพระแก้วหลากหลายวิธี
ดังตัวอย่างเราสมมติ วัดพระแก้ว เป็นหลักการปกครอง หรือเป็นจุดหมายของการปกครอง ส่วนวิธีการปกครอง ได้แก่ การเดิน การวิ่ง ขี่รถจักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน ฯลฯ ใครจะเดินทางด้วยอะไรก็ตามต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือวัดพระแก้ว จะถึงช้าหรือเร็วเท่านั้น
การปกครองปัจจุบัน ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน หรือไม่มีวัดพระแก้ว แต่มีแต่หนทางไป ก็จะกลายเป็นไปคนละทิศคนละทาง ในท้ายที่สุดก็ไปตกเหวทุกครั้งไป หรือดุจดังเดินขึ้นหน้าผา แล้วก็ตกร่วงลงมาอย่างน้อยก็ 18 ครั้งแล้ว
อีกนัยหนึ่ง หลักการปกครองจะมีลักษณะแผ่กระจายโอบอุ้มคุ้มครองปวงชนในประเทศอย่างเสมอหน้ากันทางความเสมอภาคทางโอกาส มีความเป็นธรรมโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ และความเชื่อลัทธิทางศาสนา ก็จะเป็นปัจจัยให้หมดเงื่อนไข เพราะรัฐได้ให้ความเป็นธรรมทางการเมืองต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า กลุ่มชนไหนคิดจะแบ่งแยกดินแดนก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทำไม่ได้
แต่ระบอบการเมืองปัจจุบันกลับตรงกันข้ามไม่เป็นธรรมต่อประชาชนค่อนประเทศ มันจึงเป็นระบอบการเมืองแบบหยาบๆ ดูถูกเหยียดหยามคนไทยด้วยกัน จนทำให้คนไทยทั่วไปโง่งมงาย ส.ส.ลดตัวลงมาเป็นทาสนายเงิน ประชาชนต้องกลายเป็นทาสทางการเมืองให้แก่ผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว
เมื่อระบอบปัจจุบันไม่มีหลักการปกครอง มีแต่วิธีการปกครองได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ เช่นนี้ จึงเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายนำความหายนะมาให้อย่างไม่รู้จบสิ้น เพราะความเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด เรื่อยมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดไตร่ตรองไม่เป็น เชื่อและทำตามกันมาอย่างผิดๆ ของหัวหน้าพรรคมารต่างๆ และผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างมิได้ฉุกคิดกันเลย ลักษณะของการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญอุปมาได้หลายๆ ลักษณะดังนี้
1. ดุจดังดอกไม้ที่วางไว้เรี่ยราดกระจัดกระจาย เมื่อลมพัดมาก็จะปลิวว่อนไปคนละทิศละทาง ซึ่งต่างจากการปกครองแบบธรรมาธิปไตยที่มีความสัมพันธ์อย่างถูกต้องและเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ดุจพวงมาลัยที่ร้อยไว้อย่างสวยงาม เพื่อนำไปถวายสักการะพระพุทธเจ้า ถวายสิ่งที่ควรเคารพบูชา เช่น พระมหากษัตริย์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ เป็นต้น
2. ดุจดังวัวป่า วัวป่าเดินไปอย่างไร้จุดหมายไร้เจ้าของดูแล เดินไปอย่างไร้ขอบเขต ถูกนายพรานจัดการเอาในที่สุด (รัฐประหาร)
3. ดุจดังว่าวขาด ปกติว่าวจะต้องมีคนชักกระตุก เพื่อให้ว่าวกินลมโฉบเฉี่ยวอยู่บนท้องฟ้าได้ตามที่ต้องการ ระบอบการปกครองปัจจุบันอุปมาดังว่าวขาดย่อมหลุดลอยเคว้งคว้าง ควบคุมไม่ได้ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์
4. ดุจดังคลองโคกขาม คลองโคกขามในสมัยพระเจ้าเสือทรงเสด็จประพาสทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่ง มีพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดนายท้ายเรือในสมัยนั้น
ครั้งนั้นพันท้ายนรสิงห์ ไม่สามารถบังคับเรือพระที่นั่งได้เพราะสุดวิสัยชนเอากิ่งไม้หัวเรือพระที่นั่งหัก เนื่องจากคลองโคกขามนั้นคดเคี้ยววกวนมาก ในครั้งนั้นพระเจ้าเสือ ก็ทรงเห็นว่าสุดวิสัยจึงได้ละเว้นการประหารชีวิตแก่พันท้ายนรสิงห์ แต่พันท้ายนรสิงห์ไม่ยินยอม เพื่อให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แม้จะแก้ไขด้วยการประหารหุ่นทำเป็นศาลเพียงตา พันท้ายนรสิงห์ก็ไม่ยินยอม ในที่สุดพระเจ้าเสือก็จำยอมต้องประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์
ระบอบปัจจุบันจึงอุปมาดุจดังคลองโคกขามที่คดเคี้ยววกวนมาก จะเห็นได้ว่าไม่ว่าผู้นำรัฐบาลคนใดๆ หรือผู้นำรัฐนาวาใดๆ จะเป็นใครก็ตาม ล้วนแล้วแต่นำรัฐนาวาไปชนพลิกคว่ำเรื่อยมา ยิ่งนายท้ายเรือโฉเก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คลองมันคด จะให้เรือวิ่งตรงได้อย่างไรกัน
ฉะนั้น ผู้มีอำนาจโดยธรรมและปัญญาอันยิ่ง แกนนำประชาชน จะต้องจัดการระบอบการเมืองให้ถูกต้องโดยธรรม ดุจดังคลองชลประทาน ท่านตรองดูเถิด คลองมันคด จะให้น้ำไหลให้ตรงได้อย่างไรกัน
5. ดุจดังคลอง คูน้ำเน่าใน กทม. อุปมา ชนใดผู้มีโชค ได้หลุดพ้นจากคลองน้ำเน่า (กิเลส) ได้แล้ว เมื่อมองย้อนกลับมองลงไป ก็จะเห็นความเหม็นเน่า หมาเน่า อุจาระ ที่กลุ่มมิจฉาทิฐิชนกำลังเสพ อาบ ดื่ม กิน และต่างก็สาดใส่เข้าหากันอย่างน่าสังเวชใจยิ่งนัก แต่ชนสัมมาทิฐิ หาเกี่ยวข้องไม่ อย่างดีก็จะเมตตา เมตตา เมตตา ช่วยบอกแก่ชนที่พอจะมีอุปนิสัยได้ดวงตาเห็นธรรม เพื่อจะได้ร่วมมือแก้ไขน้ำเน่าต่อไป
6. ดุจดังคูถ ส่วนนักการเมืองดุจดังหนอน “หนอนย่อมไม่รู้จักคูถที่ดูดกิน”
7. ดุจดังรังปลวก ส่วนนักการเมืองดุจดังปลวก (กินบ้านกินเมือง กว่าจะรู้ตัวอาจจะสายเกินแก้) หากไม่แก้ไขเหตุแห่งความเลวร้าย ก็แก้ปัญหาไม่ได้
8. ดุจดังท่อประปาสนิมเกรอะกรัง น้ำรั่วไหลซึมไปมากมาย ดุจนักการเมืองฉ้อราษฎร์บังหลวงเอาไปหมด ส่วนประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนดุจน้ำที่ไหลหยดติ๋งๆ
9. ดุจดังจอมมาร นายกรัฐมนตรีคือ ประธานเสนาบดีมาร จะจัดการกับเสนามารก็ยากอยู่แล้ว และการไม่กำจัดจอมมารพญามารหัวหน้านักการเมืองเข้ามาแล้วก็จะกลายเป็นประธานมหาเสนาบดีมารคนต่อไป เห็นกันชัดๆ นายกรัฐมนตรีไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ต่างก็เดินซ้ำรอยแห่งแห่งความพินาศ มันเป็นกระบวนการเหตุแห่งหายนะของชาติจริงๆ เห็นกันหรือยังละแกนนำทั้งหลาย
เราหวังว่าพี่น้องผู้นำ แกนนำมวลชนคนรุ่นใหม่ รุ่นต่อๆ ไป จะได้ดวงตาเป็นธรรม มีปัญญา โจมตีให้ตรงเป้า อย่าฆ่าแต่ ประธานมหาเสนาบดีมาร ซึ่งเป็นปลายเหตุ ต้องฆ่าจอมมาร (ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ) มันคือเหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงของชาติและประชาชนไทยมากว่า 80 ปี “วงจร อัปรีย์ไป จัญไรมา ก็จะจบสิ้นลง) คือชัยชนะของปวงชนนั่นเอง นำไปพูดต่อได้เลยครับท่าน (ท่านผู้อ่าน ผู้สนใจที่รักทั้งหลายเปิดหา ศึกษาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ในบทความก่อนหน้านี้ได้ครับท่าน)
ความเลวร้ายของชาติ อันเกิดจากการบิดเบือนของคณะผู้ปกครองไทยที่หลอกว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย การจะทำให้เป็นประชาธิปไตย ต้องร่างรัฐธรรมนูญ หรือไม่ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเป็นการพัฒนาให้ประชาธิปไตยดีขึ้น ซึ่งตื้นเขินทางปัญญาที่สุด
ดูได้จากรัฐบาลซึ่งมีแนวคิดตรงกันข้ามกับแนวคิด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ที่ทรงมีแนวคิดสร้างระบอบหรือหลักการปกครองก่อน ยกร่างรัฐธรรมนูญ “ครั้นเมื่อข้าพเจ้ากลับไปกรุงเทพฯ แล้ว และได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ ได้นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า หลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้านั้นไม่พ้องกันเสียแล้ว...ทั้งนี้ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย”...“ครั้นต่อมาในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาฐานะของบ้านเมืองเราอยู่ในขีดคับขันและยากจน
รัฐบาลนี้ จึงไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง แต่เป็นผลของแนวทางที่ผิดพลาดมาแล้วนับตั้งแต่รัฐบาลชุดแรก นับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ปู ยิ่งลักษณ์นายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ก็น่าที่จะได้ฉุกคิด ย้อนระลึกดูการเมืองในอดีตที่มีแต่ความล้มเหลว และนายกฯ หญิงคนนี้ก็จะเป็นอีกตัวอย่างแห่งความล้มเหลวซ้ำรอยเดิม เฉกเช่นประธานเสนาบดีมารที่ผ่านๆ มา
ด้วยความห่วงใยในชาติบ้านเมืองและมีความห่วงใยประชาชนด้วยใจจริง เราขอแจกดวงตา ปัญญาสำคัญนี้ให้แก่ทุกแกนนำและมวลชนก้าวหน้า
ดังได้กล่าวมาเป็นลำดับแล้วว่าระบอบปัจจุบันนั้นเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ หรือเป็นระบอบกฎหมาย เป็นระบอบมิจฉาทิฐิ อันเป็นระบอบเผด็จการซ่อนเร้น เมื่อนำมาใช้กับรูปการปกครอง (Form of Government) ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) จึงได้ชื่อว่า ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นี่คือสภาพความเป็นจริง ที่แท้จริงของการเมืองไทย แต่รัฐบาลปูเสฉวน หารู้ไม่รัฐบาลยิ่งบิดเบือนหนักว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เลยทำให้เข้าใจสิ่งที่ผิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว แต่ผลมันคือไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ เห็นผิด คิดผิด ปกครองผิด กระทรวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว บุคคลตกอยู่ในกระแสแห่งความชั่วร้ายหายนะซ้ำซาก
บางคนทุ่มเทอุทิศเพื่อชาติอย่างน่าสรรเสริญ แต่กลับล้มเหลว ความดีงาม คุณธรรมจากสถาบันหลักของชาติจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ไม่อาจจะต้านทานความเลวร้ายที่เกิดจากเหตุคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ได้ แต่มันกลับเป็นเหตุแห่งความร่ำรวยของคณะรัฐบาลและพรรคฯ
ในความถูกต้องโดยธรรมรัฐธรรมนูญจะต้องมีองค์ประกอบหลัก 2 ด้านระหว่างฝ่ายเหตุและฝ่ายผล เป็นความสัมพันธ์ระหว่างหลักการปกครอง (Principle of Government) ฝ่ายเหตุกับวิธีการปกครอง (Methods of Government) ฝ่ายผลหรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างจุดหมายของการปกครอง (Aim of Government) กับ มรรควิธีในการปกครอง (Ways or Means of Government) หรือเป็นความสัมพันธ์ระหว่างยุทธศาสตร์ของการปกครอง (Strategy of Government) กับยุทธวิธีในการปกครอง (Tactics of Government)
อีกนัยหนึ่ง หลักการปกครองที่แท้จริงจะต้องเป็นธรรม เป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีความมั่นคงดุจดังสภาวะบรมธรรม, นิพพาน, หรือธรรมาธิปไตยดุจดังวัดพระแก้ว
ส่วนวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) หรือมรรควิธีในการปกครอง หรือยุทธวิธีในการปกครองนั้นมีความแตกต่างหลากหลาย (หลายมาตรา) และเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาเพื่อความเหมาะสมตามกาลสมัยดุจดังวิธีการไปวัดพระแก้วหลากหลายวิธี
ดังตัวอย่างเราสมมติ วัดพระแก้ว เป็นหลักการปกครอง หรือเป็นจุดหมายของการปกครอง ส่วนวิธีการปกครอง ได้แก่ การเดิน การวิ่ง ขี่รถจักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถไฟ เรือ เครื่องบิน ฯลฯ ใครจะเดินทางด้วยอะไรก็ตามต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือวัดพระแก้ว จะถึงช้าหรือเร็วเท่านั้น
การปกครองปัจจุบัน ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม หรือไม่มีจุดหมายร่วมของปวงชน หรือไม่มีวัดพระแก้ว แต่มีแต่หนทางไป ก็จะกลายเป็นไปคนละทิศคนละทาง ในท้ายที่สุดก็ไปตกเหวทุกครั้งไป หรือดุจดังเดินขึ้นหน้าผา แล้วก็ตกร่วงลงมาอย่างน้อยก็ 18 ครั้งแล้ว
อีกนัยหนึ่ง หลักการปกครองจะมีลักษณะแผ่กระจายโอบอุ้มคุ้มครองปวงชนในประเทศอย่างเสมอหน้ากันทางความเสมอภาคทางโอกาส มีความเป็นธรรมโดยไม่เลือกชนชั้นวรรณะ และความเชื่อลัทธิทางศาสนา ก็จะเป็นปัจจัยให้หมดเงื่อนไข เพราะรัฐได้ให้ความเป็นธรรมทางการเมืองต่อประชาชนทุกหมู่เหล่า กลุ่มชนไหนคิดจะแบ่งแยกดินแดนก็เกิดขึ้นไม่ได้ ทำไม่ได้
แต่ระบอบการเมืองปัจจุบันกลับตรงกันข้ามไม่เป็นธรรมต่อประชาชนค่อนประเทศ มันจึงเป็นระบอบการเมืองแบบหยาบๆ ดูถูกเหยียดหยามคนไทยด้วยกัน จนทำให้คนไทยทั่วไปโง่งมงาย ส.ส.ลดตัวลงมาเป็นทาสนายเงิน ประชาชนต้องกลายเป็นทาสทางการเมืองให้แก่ผู้ปกครองเพียงหยิบมือเดียว
เมื่อระบอบปัจจุบันไม่มีหลักการปกครอง มีแต่วิธีการปกครองได้แก่หมวดและมาตราต่างๆ เช่นนี้ จึงเป็นเหตุแห่งความเลวร้ายนำความหายนะมาให้อย่างไม่รู้จบสิ้น เพราะความเห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด เรื่อยมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดไตร่ตรองไม่เป็น เชื่อและทำตามกันมาอย่างผิดๆ ของหัวหน้าพรรคมารต่างๆ และผู้ปกครองรุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างมิได้ฉุกคิดกันเลย ลักษณะของการปกครองเผด็จการรัฐธรรมนูญอุปมาได้หลายๆ ลักษณะดังนี้
1. ดุจดังดอกไม้ที่วางไว้เรี่ยราดกระจัดกระจาย เมื่อลมพัดมาก็จะปลิวว่อนไปคนละทิศละทาง ซึ่งต่างจากการปกครองแบบธรรมาธิปไตยที่มีความสัมพันธ์อย่างถูกต้องและเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ ดุจพวงมาลัยที่ร้อยไว้อย่างสวยงาม เพื่อนำไปถวายสักการะพระพุทธเจ้า ถวายสิ่งที่ควรเคารพบูชา เช่น พระมหากษัตริย์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ เป็นต้น
2. ดุจดังวัวป่า วัวป่าเดินไปอย่างไร้จุดหมายไร้เจ้าของดูแล เดินไปอย่างไร้ขอบเขต ถูกนายพรานจัดการเอาในที่สุด (รัฐประหาร)
3. ดุจดังว่าวขาด ปกติว่าวจะต้องมีคนชักกระตุก เพื่อให้ว่าวกินลมโฉบเฉี่ยวอยู่บนท้องฟ้าได้ตามที่ต้องการ ระบอบการปกครองปัจจุบันอุปมาดังว่าวขาดย่อมหลุดลอยเคว้งคว้าง ควบคุมไม่ได้ ประชาชนไม่ได้ประโยชน์
4. ดุจดังคลองโคกขาม คลองโคกขามในสมัยพระเจ้าเสือทรงเสด็จประพาสทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่ง มีพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดนายท้ายเรือในสมัยนั้น
ครั้งนั้นพันท้ายนรสิงห์ ไม่สามารถบังคับเรือพระที่นั่งได้เพราะสุดวิสัยชนเอากิ่งไม้หัวเรือพระที่นั่งหัก เนื่องจากคลองโคกขามนั้นคดเคี้ยววกวนมาก ในครั้งนั้นพระเจ้าเสือ ก็ทรงเห็นว่าสุดวิสัยจึงได้ละเว้นการประหารชีวิตแก่พันท้ายนรสิงห์ แต่พันท้ายนรสิงห์ไม่ยินยอม เพื่อให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล แม้จะแก้ไขด้วยการประหารหุ่นทำเป็นศาลเพียงตา พันท้ายนรสิงห์ก็ไม่ยินยอม ในที่สุดพระเจ้าเสือก็จำยอมต้องประหารชีวิตพันท้ายนรสิงห์
ระบอบปัจจุบันจึงอุปมาดุจดังคลองโคกขามที่คดเคี้ยววกวนมาก จะเห็นได้ว่าไม่ว่าผู้นำรัฐบาลคนใดๆ หรือผู้นำรัฐนาวาใดๆ จะเป็นใครก็ตาม ล้วนแล้วแต่นำรัฐนาวาไปชนพลิกคว่ำเรื่อยมา ยิ่งนายท้ายเรือโฉเก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คลองมันคด จะให้เรือวิ่งตรงได้อย่างไรกัน
ฉะนั้น ผู้มีอำนาจโดยธรรมและปัญญาอันยิ่ง แกนนำประชาชน จะต้องจัดการระบอบการเมืองให้ถูกต้องโดยธรรม ดุจดังคลองชลประทาน ท่านตรองดูเถิด คลองมันคด จะให้น้ำไหลให้ตรงได้อย่างไรกัน
5. ดุจดังคลอง คูน้ำเน่าใน กทม. อุปมา ชนใดผู้มีโชค ได้หลุดพ้นจากคลองน้ำเน่า (กิเลส) ได้แล้ว เมื่อมองย้อนกลับมองลงไป ก็จะเห็นความเหม็นเน่า หมาเน่า อุจาระ ที่กลุ่มมิจฉาทิฐิชนกำลังเสพ อาบ ดื่ม กิน และต่างก็สาดใส่เข้าหากันอย่างน่าสังเวชใจยิ่งนัก แต่ชนสัมมาทิฐิ หาเกี่ยวข้องไม่ อย่างดีก็จะเมตตา เมตตา เมตตา ช่วยบอกแก่ชนที่พอจะมีอุปนิสัยได้ดวงตาเห็นธรรม เพื่อจะได้ร่วมมือแก้ไขน้ำเน่าต่อไป
6. ดุจดังคูถ ส่วนนักการเมืองดุจดังหนอน “หนอนย่อมไม่รู้จักคูถที่ดูดกิน”
7. ดุจดังรังปลวก ส่วนนักการเมืองดุจดังปลวก (กินบ้านกินเมือง กว่าจะรู้ตัวอาจจะสายเกินแก้) หากไม่แก้ไขเหตุแห่งความเลวร้าย ก็แก้ปัญหาไม่ได้
8. ดุจดังท่อประปาสนิมเกรอะกรัง น้ำรั่วไหลซึมไปมากมาย ดุจนักการเมืองฉ้อราษฎร์บังหลวงเอาไปหมด ส่วนประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนดุจน้ำที่ไหลหยดติ๋งๆ
9. ดุจดังจอมมาร นายกรัฐมนตรีคือ ประธานเสนาบดีมาร จะจัดการกับเสนามารก็ยากอยู่แล้ว และการไม่กำจัดจอมมารพญามารหัวหน้านักการเมืองเข้ามาแล้วก็จะกลายเป็นประธานมหาเสนาบดีมารคนต่อไป เห็นกันชัดๆ นายกรัฐมนตรีไม่รู้กี่คนต่อกี่คน ต่างก็เดินซ้ำรอยแห่งแห่งความพินาศ มันเป็นกระบวนการเหตุแห่งหายนะของชาติจริงๆ เห็นกันหรือยังละแกนนำทั้งหลาย
เราหวังว่าพี่น้องผู้นำ แกนนำมวลชนคนรุ่นใหม่ รุ่นต่อๆ ไป จะได้ดวงตาเป็นธรรม มีปัญญา โจมตีให้ตรงเป้า อย่าฆ่าแต่ ประธานมหาเสนาบดีมาร ซึ่งเป็นปลายเหตุ ต้องฆ่าจอมมาร (ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ) มันคือเหตุแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงของชาติและประชาชนไทยมากว่า 80 ปี “วงจร อัปรีย์ไป จัญไรมา ก็จะจบสิ้นลง) คือชัยชนะของปวงชนนั่นเอง นำไปพูดต่อได้เลยครับท่าน (ท่านผู้อ่าน ผู้สนใจที่รักทั้งหลายเปิดหา ศึกษาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 ในบทความก่อนหน้านี้ได้ครับท่าน)