คำว่า “ขี้ข้า” เป็นศัพท์โบราณ ใช้ประณามคนที่มีพฤติกรรมต่ำช้า ประเภทไม่มีสกุลรุนชาติซึ่งปัจจุบันไม่ได้ยินบ่อยนัก และเพิ่งได้ยินล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
ความขัดแย้งในระหว่างการทำหน้าที่ ระหว่างนางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวช่อง 7 สี กับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดคำว่า “ขี้ข้า” ตามมา
และศัพท์คำนี้ก็ถูกขยายผลอย่างกว้างขวาง
การกล่าวหาว่านางสาวสมจิตต์ ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ถือเป็นการสบประมาทซึ่งหน้า หมิ่นศักดิ์ศรีสื่อมวลชน จนทำให้ร.ต.อ.เฉลิมถูกตอบโต้อย่างทันควัน และเป็นการตอบโต้ที่เจ็บแสบ
ปกติแล้วนักข่าวไม่อยากตอแยกับร.ต.อ.เฉลิมมากนัก แม้การตอบคำถามหลายครั้งจะยียวนเล่นสำนวนกวนประสาทก็ตาม เพราะถ้าตอแยจะเจอสีหน้าที่ขึงขังดุดัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนักข่าว
นอกจากการวางก้ามเหมือนรัฐมนตรีนักเลงแล้ว ความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสมากกว่า สังคมไทยก็มักจะให้ความเคารพ ไม่ต่อปากต่อคำมาก
แต่เมื่อผู้ใหญ่ไม่ทำตัวน่าเคารพ เมื่อมีผู้อาวุโสกว่าหยามเกียรติ หมิ่นศักดิ์ศรี เด็กนักข่าวอย่างนางสาวสมจิตต์ จึงเกิดเหลืออด
ร.ต.อ.เฉลิมเป็นใคร จะมาเที่ยวป้ายสีด่าใครตามใจชอบได้อย่างไร จะมีอำนาจแล้วย่ามใจเที่ยวหยามสื่อมวลชนไปทั่วไม่ได้ นางสาวสมจิตต์จึงต้องสั่งสอนบทเรียน ลดความเหิมเกริมของร.ต.อ.เฉลิมลงเสียบ้าง
เมื่อถูกเหมาว่า ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ นางสาวสมจิตต์จึงต้องตอกกลับไปบ้าง ถ้ากล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิมเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” บ้าง จะว่าอย่างไร
ไม่รู้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมว่าอย่างไร ในวันที่ตอบโต้กับนางสาวสมจิตต์ เพราะเห็นเดินหน้าซีด รีบขึ้นรถจากไปเหมือนคนที่เสียศูนย์
แต่สำหรับคนทั่วไปในสังคม มีความรู้สึกคล้ายกัน รู้สึกว่า “สะใจ” ในคำพูดของนางสาวสมจิตต์มาก
เพราะเป็นคำพูดที่ตรงใจ เป็นคำพูดที่ตรงกับพฤติกรรมของร.ต.อ.เฉลิม และร.ต.อ.เฉลิมก็เพิ่งออกมายอมรับเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า
เป็นขี้ข้าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มานานแล้วอีกด้วย
การยอมรับว่าเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” ไม่ว่าจะเป็นการแก้เกี้ยว เฉไฉ หรือกลบเกลื่อนการเสียหน้าก็ตาม แต่คำว่าขี้ข้า “ทักษิณ” จะติดไปกับร.ต.อ.เฉลิมไปอีกนาน และอาจติดอยู่จนชั่วชีวิต
ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะร่ำรวยเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาท จะมีการศึกษาสูงเพียงไร จะมีปริญญาด็อกเตอร์สักกี่ใบ ถ้าประณามว่าเป็น “ขี้ข้า” ถือว่าเสียผู้เสียคน หมดความเป็นมนุษย์มนาเลยทีเดียว
และร.ต.อ.เฉลิมก็ถูกนักข่าวรุ่นลูกตราหน้าไปแล้วว่า เป็นขี้ข้า “ทักษิณ”
ร.ต.อ.เฉลิมจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรในสังคม จะเหลือความภาคภูมิใจอะไรไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งหากเป็นสมัยโบราณคงต้องเอาปี๊บมาคุมหัวแล้ว
ต้องชมเชยคุณสมจิตต์ว่า เลือกใช้คำที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของคน และสถานการณ์ความเป็นไปในสังคม
แต่คำว่า “ขี้ข้า” คงไม่ถูกใช้จำกัดเฉพาะร.ต.อ.เฉลิมเท่านั้น เพราะรัฐมนตรีในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็มีพฤติกรรมไม่ได้แตกต่างจากร.ต.อ.เฉลิม
ดังนั้น คำว่า “ขี้ข้า” จึงต้องขยายผล ต้องพูดกันบ่อยๆ ต้องใช้กันบ่อยๆ
“ขี้ข้า” สื่อถึงคนชั้นต่ำที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้เจ้านาย ขี้ข้า “ทักษิณ” จึงหมายถึงคนชั้นต่ำที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากร.ต.อ.เฉลิมแล้ว รัฐบาลชุดนี้ใครเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” อีกบ้าง หรือเป็นขี้ข้ากันทั้งรัฐบาล
และนอกจากนักการเมืองแล้ว ยังมีคนกลุ่มไหนอีกที่เป็นขี้ข้า “ทักษิณ” ตำรวจเป็นไหม ข้าราชการอื่นเป็นไหม นักธุรกิจคนใดบ้างที่เป็น
สมัยก่อนใครถูกประณามว่า เป็นขี้ข้าจะเลือดขึ้นหน้า ยอมไม่ได้ เพราะถือว่าหยามศักดิ์ศรี เสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล หมดเกียรติภูมิสำหรับลูกหลาน
แต่สมัยนี้คนสิ้นศักดิ์ศรีไร้ยางอาย หมดเกียรติภูมิยอมเป็น “ขี้ข้า” กันหน้าสลอน
ขี้ข้า “ทักษิณ” จึงเต็มบ้านเต็มเมือง
ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ เป็นทหาร ไม่ว่าจะอาวุโสขนาดไหน จะร่ำรวยนับหมื่นนับแสนล้านบาท จะมีการศึกษาสูงขนาดไหน จะเป็นด็อกเตอร์หรือเป็นอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขี้ข้า ก็ไม่ต้องเป็นผู้เป็นคนไปเลย
ควรจะต้องมุดหัวอยู่ในรู เพราะสร้างความเสื่อมเสียยันบรรพบุรุษ เสื่อมเสียไปยันรุ่นลูกรุ่นหลาน
คนส่วนใหญ่ที่รักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คนส่วนใหญ่ที่มีความทระนงในความเป็นคน ไม่เห็นเหตุผลใดที่จะยอมเป็นขี้ข้า “ทักษิณ”
มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ยอมเป็นขี้ข้า “ทักษิณ”
การเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” อาจทำให้มีตำแหน่งทางการเมือง ได้เป็นรัฐมนตรีคนกลุ่มนี้เป็นรัฐบาล หรือเป็นอะไรต่างๆ อีกมากมาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ก็ถูกตีค่าไว้เพียง ไอ้พวกขี้ข้าเท่านั้น
ความขัดแย้งในระหว่างการทำหน้าที่ ระหว่างนางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร นักข่าวช่อง 7 สี กับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ทำให้เกิดคำว่า “ขี้ข้า” ตามมา
และศัพท์คำนี้ก็ถูกขยายผลอย่างกว้างขวาง
การกล่าวหาว่านางสาวสมจิตต์ ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ระหว่างการให้สัมภาษณ์ ถือเป็นการสบประมาทซึ่งหน้า หมิ่นศักดิ์ศรีสื่อมวลชน จนทำให้ร.ต.อ.เฉลิมถูกตอบโต้อย่างทันควัน และเป็นการตอบโต้ที่เจ็บแสบ
ปกติแล้วนักข่าวไม่อยากตอแยกับร.ต.อ.เฉลิมมากนัก แม้การตอบคำถามหลายครั้งจะยียวนเล่นสำนวนกวนประสาทก็ตาม เพราะถ้าตอแยจะเจอสีหน้าที่ขึงขังดุดัน เหมือนจะกินเลือดกินเนื้อนักข่าว
นอกจากการวางก้ามเหมือนรัฐมนตรีนักเลงแล้ว ความเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสมากกว่า สังคมไทยก็มักจะให้ความเคารพ ไม่ต่อปากต่อคำมาก
แต่เมื่อผู้ใหญ่ไม่ทำตัวน่าเคารพ เมื่อมีผู้อาวุโสกว่าหยามเกียรติ หมิ่นศักดิ์ศรี เด็กนักข่าวอย่างนางสาวสมจิตต์ จึงเกิดเหลืออด
ร.ต.อ.เฉลิมเป็นใคร จะมาเที่ยวป้ายสีด่าใครตามใจชอบได้อย่างไร จะมีอำนาจแล้วย่ามใจเที่ยวหยามสื่อมวลชนไปทั่วไม่ได้ นางสาวสมจิตต์จึงต้องสั่งสอนบทเรียน ลดความเหิมเกริมของร.ต.อ.เฉลิมลงเสียบ้าง
เมื่อถูกเหมาว่า ฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ นางสาวสมจิตต์จึงต้องตอกกลับไปบ้าง ถ้ากล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิมเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” บ้าง จะว่าอย่างไร
ไม่รู้ว่า ร.ต.อ.เฉลิมว่าอย่างไร ในวันที่ตอบโต้กับนางสาวสมจิตต์ เพราะเห็นเดินหน้าซีด รีบขึ้นรถจากไปเหมือนคนที่เสียศูนย์
แต่สำหรับคนทั่วไปในสังคม มีความรู้สึกคล้ายกัน รู้สึกว่า “สะใจ” ในคำพูดของนางสาวสมจิตต์มาก
เพราะเป็นคำพูดที่ตรงใจ เป็นคำพูดที่ตรงกับพฤติกรรมของร.ต.อ.เฉลิม และร.ต.อ.เฉลิมก็เพิ่งออกมายอมรับเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า
เป็นขี้ข้าของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มานานแล้วอีกด้วย
การยอมรับว่าเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” ไม่ว่าจะเป็นการแก้เกี้ยว เฉไฉ หรือกลบเกลื่อนการเสียหน้าก็ตาม แต่คำว่าขี้ข้า “ทักษิณ” จะติดไปกับร.ต.อ.เฉลิมไปอีกนาน และอาจติดอยู่จนชั่วชีวิต
ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะร่ำรวยเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาท จะมีการศึกษาสูงเพียงไร จะมีปริญญาด็อกเตอร์สักกี่ใบ ถ้าประณามว่าเป็น “ขี้ข้า” ถือว่าเสียผู้เสียคน หมดความเป็นมนุษย์มนาเลยทีเดียว
และร.ต.อ.เฉลิมก็ถูกนักข่าวรุ่นลูกตราหน้าไปแล้วว่า เป็นขี้ข้า “ทักษิณ”
ร.ต.อ.เฉลิมจะเหลือศักดิ์ศรีอะไรในสังคม จะเหลือความภาคภูมิใจอะไรไว้ให้ลูกหลาน ซึ่งหากเป็นสมัยโบราณคงต้องเอาปี๊บมาคุมหัวแล้ว
ต้องชมเชยคุณสมจิตต์ว่า เลือกใช้คำที่เหมาะสมกับพฤติกรรมของคน และสถานการณ์ความเป็นไปในสังคม
แต่คำว่า “ขี้ข้า” คงไม่ถูกใช้จำกัดเฉพาะร.ต.อ.เฉลิมเท่านั้น เพราะรัฐมนตรีในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ก็มีพฤติกรรมไม่ได้แตกต่างจากร.ต.อ.เฉลิม
ดังนั้น คำว่า “ขี้ข้า” จึงต้องขยายผล ต้องพูดกันบ่อยๆ ต้องใช้กันบ่อยๆ
“ขี้ข้า” สื่อถึงคนชั้นต่ำที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้เจ้านาย ขี้ข้า “ทักษิณ” จึงหมายถึงคนชั้นต่ำที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อรับใช้พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากร.ต.อ.เฉลิมแล้ว รัฐบาลชุดนี้ใครเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” อีกบ้าง หรือเป็นขี้ข้ากันทั้งรัฐบาล
และนอกจากนักการเมืองแล้ว ยังมีคนกลุ่มไหนอีกที่เป็นขี้ข้า “ทักษิณ” ตำรวจเป็นไหม ข้าราชการอื่นเป็นไหม นักธุรกิจคนใดบ้างที่เป็น
สมัยก่อนใครถูกประณามว่า เป็นขี้ข้าจะเลือดขึ้นหน้า ยอมไม่ได้ เพราะถือว่าหยามศักดิ์ศรี เสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล หมดเกียรติภูมิสำหรับลูกหลาน
แต่สมัยนี้คนสิ้นศักดิ์ศรีไร้ยางอาย หมดเกียรติภูมิยอมเป็น “ขี้ข้า” กันหน้าสลอน
ขี้ข้า “ทักษิณ” จึงเต็มบ้านเต็มเมือง
ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรี ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ เป็นทหาร ไม่ว่าจะอาวุโสขนาดไหน จะร่ำรวยนับหมื่นนับแสนล้านบาท จะมีการศึกษาสูงขนาดไหน จะเป็นด็อกเตอร์หรือเป็นอาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย เมื่อถูกตราหน้าว่าเป็นขี้ข้า ก็ไม่ต้องเป็นผู้เป็นคนไปเลย
ควรจะต้องมุดหัวอยู่ในรู เพราะสร้างความเสื่อมเสียยันบรรพบุรุษ เสื่อมเสียไปยันรุ่นลูกรุ่นหลาน
คนส่วนใหญ่ที่รักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ คนส่วนใหญ่ที่มีความทระนงในความเป็นคน ไม่เห็นเหตุผลใดที่จะยอมเป็นขี้ข้า “ทักษิณ”
มีเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นที่ยอมเป็นขี้ข้า “ทักษิณ”
การเป็นขี้ข้า “ทักษิณ” อาจทำให้มีตำแหน่งทางการเมือง ได้เป็นรัฐมนตรีคนกลุ่มนี้เป็นรัฐบาล หรือเป็นอะไรต่างๆ อีกมากมาย
แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ก็ถูกตีค่าไว้เพียง ไอ้พวกขี้ข้าเท่านั้น