อ่านอย่างตั้งใจเถิด เราขอย้ำว่าสภาพการณ์หรือสภาวการณ์ที่แท้จริงทางการเมืองไทยเป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา อันเป็นผลผลิตของขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญโดยคณะราษฎรได้สถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475
ผ่านมายาวนานกว่า 80 ปี ซึ่งลัทธิรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดของคณะผู้ปกครองเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย โดยเข้าใจและยึดเอารูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) และวิธีการเลือกตั้ง ดุจดังเปลือกหอยที่ตายแล้วว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คือการบิดเบือนหรือความโง่ เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ปกครองผิดของคณะผู้ปกครองไทยอันยาวนาน ที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ ทำผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้ประเทศไทยล้าหลัง กระทั่งล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้ว เช่น มาเลเซีย เกาหลี เป็นต้น และกำลังจะล้าหลังกว่าลาว เวียดนาม เขมร ในท้ายที่สุด และเป็นประเทศที่กดขี่ ขูดรีดหนักหน่วงที่สุด
เราจะแสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพลักษณะการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดังนี้
การปฏิวัติ คือ การมีปัญญาที่จะเปลี่ยนแนวทางเผด็จการรัฐธรรมนูญ ไปสู่แนวทางที่ถูกต้องโดยธรรม
เปรียบเทียบกับสัมพันธภาพการปกครองแบบธรรมาธิปไตยหรือประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนี้
ถามย้ำ เสธ.อ้าย และผู้เข้าร่วมชุมนุม ปัญญาชน จะเลือกสัมพันธภาพแบบไหนระหว่างเผด็จการรัฐธรรมนูญกับสัมพันธภาพแบบธรรมาธิปไตย
แต่รัฐบาลทุกรัฐบาล รัฐบาลนางปูนิ่ม ยังคงรักษาการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ และก็ทุกรัฐบาล ทุกพรรคการเมืองหลอกลวงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ปกครองเข้าใจว่าประชาชนยังโง่เขลา รู้ไม่เท่าทันพวกปกครอง แต่ที่หารู้ไม่ว่า พวกผู้ปกครองนั่นแหละบิดเบือนโง่เขลาเบาปัญญาเรื่องการเมืองการปกครอง สักวันพวกเขาจะไม่มีแผ่นดินอยู่
การปกครองแบบเผด็จการทุกชนิดเป็นอันตรายต่อชาติและประชาชน เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว สามารถหลอกได้ละเอียด ยากที่ใครๆ จะจับได้ หรือแม้แต่สถาบันหลักๆ ของชาติก็ยังเข้าใจผิดและยังคงสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการนี้อยู่หรือไม่
ทุกรัฐบาล อภิสิทธิ์ นางปูนิ่ม เป็นรัฐบาล ต่างก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่า ล้วนยังคงรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ไว้อย่างเหนียวแน่นทั้งสิ้น
ผลของการปกครองแบบเผด็จการไม่ต้องดูอื่นไกล ดูได้จากรัฐบาลทักษิณ ดูได้จากรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลนางปูนิ่ม ยิ่งปกครองยิ่งเสื่อม ยิ่งปกครองยิ่งกู้ กู้มีแต่กู้กับกู้ ยิ่งปกครองยิ่งคอร์รัปชัน ยิ่งปกครองยิ่งเสียศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของชาติ ยิ่งปกครองยิ่งแตกแยก
ปัญหาที่ควรจะแก้ไข ก็ไม่คิดจะแก้ไข รัฐบาลนางปูนิ่มมัวแต่ไปแก้ปัญหาปลายเหตุทั้งสิ้น แก้ปัญหาให้พี่ชาย ลองรัฐบาลเสนอนโยบาย เสนอหลักการปกครองโดยธรรม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ปวงชนไทยทุกคน และจะทำให้ทั้งประชาชนและนักการเมืองทุกพรรค ทุกฝ่ายมีความรู้เข้าใจในหลักการเมืองการปกครองเดียวกัน ปัญหาความแตกแยกของชนในชาติก็จะหมดไป
ขอย้ำว่าทุกรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ ทุกรัฐบาลจะบริหารประเทศแบบบริหารเทศบาล ไม่มีสถาบันหลักของชาติสนับสนุนแต่กองทัพแห่งชาติยังได้สนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เช่นนี้อยู่อีก ขอถาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่าเป็นทารกทางการเมือง หน่อยเถอะ
ชวนมาดูแนวทางที่ถูกต้องกันดีกว่า คือ พิจารณาสัมพันธภาพที่หนึ่ง หลักการปกครองหรือระบอบ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อประชาชน เมื่อประชาชนเข้าใจถึงหลักการปกครองดีแล้ว ต่อไปก็สร้างสัมพันธภาพที่สอง หลักการปกครองเป็นเหตุปัจจัยต่อรัฐธรรมนูญ หรือหลักการปกครองต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นปัจจัยผลของหลักการปกครอง นี่คือสัมพันธภาพที่ถูกต้อง ดังรูป
พวกเราเหล่าพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลาย พวกเราควรจะจงรักภักดี ด้วยปัญญาหรือ พุทธจริต จงอย่าเป็นผู้จงรักภักดีแบบศรัทธาจริต เพราะนั่นไม่ใช่เป็นการจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
ปัญญาชนและปัญญาอันยิ่งใหญ่สู่การปฏิวัติประเทศ ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาสัมพันธภาพอื่นๆ ดังต่อไปนี้ อันเป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะกฎธรรมชาติ ในลักษณะ 3 มิติ 5 ลักษณะ
- สัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์
- สัมพันธภาพระหว่างนิวเครียสกับโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน
- สัมพันธภาพระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธทั้งมวล
- สัมพันธภาพระหว่างนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์
- สัมพันธภาพระหว่างชาติกับประชาชน - พระรัตนตรัยกับพุทธบริษัท 4
- สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับปวงพสกนิกร- พระมหากษัตริย์กับหลักการปกครอง (ระบอบ)
- สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับประชาชน (ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด) ดังรูป
- สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ)
- สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับองค์กรอำนาจอธิปไตย (นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ)
- สัมพันธภาพระหว่างนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรี
- สัมพันธภาพระหว่างรัฐมนตรีกับข้าราชการในกระทรวง
- สัมพันธภาพระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอ
- สัมพันธภาพระหว่างนายอำเภอกับ กำนัน
- สัมพันธภาพระหว่างกำนันกับผู้ใหญ่บ้าน
- สัมพันธภาพระหว่างผู้ใหญ่บ้าน กับ ลูกบ้าน
- สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่กับบุตร-หลาน
- สัมพันธภาพระหว่างอธิการบดีกับครู-อาจารย์-เจ้าหน้าที่ นักศึกษา
- สัมพันธภาพระหว่างครูใหญ่กับครู-อาจารย์ นักเรียน
- สัมพันธภาพระหว่างบริษัทกับพนักงาน ฯลฯ
ประเทศเอกราชการปฏิวัติ (Revolution) โดยธรรม เป็นพระราชภารกิจอันใหญ่ยิ่งเพื่อการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือ ทรงนำการปฏิวัติทางการเมืองโดยธรรมอย่างสันติยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดิน
ขอย้ำว่าการปฏิวัติ คือ การเปลี่ยนเนื้อหาจากไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม เป็นการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครอง (ระบอบ) ธรรมาธิปไตย 9) ดุจดังสร้างวัดพระแก้ว ก่อนสร้างวิธีการไปวัดพระแก้ว (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) เปลี่ยนการเมืองของคณะบุคคลของนักการเมือง นายทุนเพียงหยิบมือเดียวมาเป็นการเมืองของปวงชนไทย นี่คือสาระสำคัญโดยย่นย่อที่สุดของการปฏิวัติสันติอันเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนอันเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องตามแนวทางสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ดังความตอนหนึ่งอันเป็นพระราชบันทึกความตอนหนึ่งว่า...“ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและได้โต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่าควรถือหลัก “DEMOCRACY” อันแท้จริงจึงจะถูกถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชนซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ “DEMOCRACY” อันแท้มิฉะนั้นก็จะเป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่... “ใครทำได้ก็เป็นรัฐบุรุษธรรมาธิปไตย”
ผ่านมายาวนานกว่า 80 ปี ซึ่งลัทธิรัฐธรรมนูญนี้ เกิดขึ้นเพราะความเข้าใจผิดของคณะผู้ปกครองเข้าใจว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย โดยเข้าใจและยึดเอารูปการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ) และวิธีการเลือกตั้ง ดุจดังเปลือกหอยที่ตายแล้วว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย นี่คือการบิดเบือนหรือความโง่ เห็นผิด คิดผิด พูดผิด ทำผิด ปกครองผิดของคณะผู้ปกครองไทยอันยาวนาน ที่สืบทอดกันมาอย่างผิดๆ ทำผิดๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้ประเทศไทยล้าหลัง กระทั่งล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไม่น่าเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้ว เช่น มาเลเซีย เกาหลี เป็นต้น และกำลังจะล้าหลังกว่าลาว เวียดนาม เขมร ในท้ายที่สุด และเป็นประเทศที่กดขี่ ขูดรีดหนักหน่วงที่สุด
เราจะแสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพลักษณะการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ดังนี้
การปฏิวัติ คือ การมีปัญญาที่จะเปลี่ยนแนวทางเผด็จการรัฐธรรมนูญ ไปสู่แนวทางที่ถูกต้องโดยธรรม
เปรียบเทียบกับสัมพันธภาพการปกครองแบบธรรมาธิปไตยหรือประชาธิปไตยที่แท้จริง ดังนี้
ถามย้ำ เสธ.อ้าย และผู้เข้าร่วมชุมนุม ปัญญาชน จะเลือกสัมพันธภาพแบบไหนระหว่างเผด็จการรัฐธรรมนูญกับสัมพันธภาพแบบธรรมาธิปไตย
แต่รัฐบาลทุกรัฐบาล รัฐบาลนางปูนิ่ม ยังคงรักษาการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ และก็ทุกรัฐบาล ทุกพรรคการเมืองหลอกลวงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผู้ปกครองเข้าใจว่าประชาชนยังโง่เขลา รู้ไม่เท่าทันพวกปกครอง แต่ที่หารู้ไม่ว่า พวกผู้ปกครองนั่นแหละบิดเบือนโง่เขลาเบาปัญญาเรื่องการเมืองการปกครอง สักวันพวกเขาจะไม่มีแผ่นดินอยู่
การปกครองแบบเผด็จการทุกชนิดเป็นอันตรายต่อชาติและประชาชน เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญด้วยแล้ว สามารถหลอกได้ละเอียด ยากที่ใครๆ จะจับได้ หรือแม้แต่สถาบันหลักๆ ของชาติก็ยังเข้าใจผิดและยังคงสนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการนี้อยู่หรือไม่
ทุกรัฐบาล อภิสิทธิ์ นางปูนิ่ม เป็นรัฐบาล ต่างก็พิสูจน์ให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่า ล้วนยังคงรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญนี้ไว้อย่างเหนียวแน่นทั้งสิ้น
ผลของการปกครองแบบเผด็จการไม่ต้องดูอื่นไกล ดูได้จากรัฐบาลทักษิณ ดูได้จากรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลนางปูนิ่ม ยิ่งปกครองยิ่งเสื่อม ยิ่งปกครองยิ่งกู้ กู้มีแต่กู้กับกู้ ยิ่งปกครองยิ่งคอร์รัปชัน ยิ่งปกครองยิ่งเสียศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของชาติ ยิ่งปกครองยิ่งแตกแยก
ปัญหาที่ควรจะแก้ไข ก็ไม่คิดจะแก้ไข รัฐบาลนางปูนิ่มมัวแต่ไปแก้ปัญหาปลายเหตุทั้งสิ้น แก้ปัญหาให้พี่ชาย ลองรัฐบาลเสนอนโยบาย เสนอหลักการปกครองโดยธรรม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ปวงชนไทยทุกคน และจะทำให้ทั้งประชาชนและนักการเมืองทุกพรรค ทุกฝ่ายมีความรู้เข้าใจในหลักการเมืองการปกครองเดียวกัน ปัญหาความแตกแยกของชนในชาติก็จะหมดไป
ขอย้ำว่าทุกรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ ทุกรัฐบาลจะบริหารประเทศแบบบริหารเทศบาล ไม่มีสถาบันหลักของชาติสนับสนุนแต่กองทัพแห่งชาติยังได้สนับสนุนการปกครองแบบเผด็จการรัฐธรรมนูญ เช่นนี้อยู่อีก ขอถาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่าเป็นทารกทางการเมือง หน่อยเถอะ
ชวนมาดูแนวทางที่ถูกต้องกันดีกว่า คือ พิจารณาสัมพันธภาพที่หนึ่ง หลักการปกครองหรือระบอบ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยต่อประชาชน เมื่อประชาชนเข้าใจถึงหลักการปกครองดีแล้ว ต่อไปก็สร้างสัมพันธภาพที่สอง หลักการปกครองเป็นเหตุปัจจัยต่อรัฐธรรมนูญ หรือหลักการปกครองต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญเป็นปัจจัยผลของหลักการปกครอง นี่คือสัมพันธภาพที่ถูกต้อง ดังรูป
พวกเราเหล่าพสกนิกรผู้จงรักภักดีทั้งหลาย พวกเราควรจะจงรักภักดี ด้วยปัญญาหรือ พุทธจริต จงอย่าเป็นผู้จงรักภักดีแบบศรัทธาจริต เพราะนั่นไม่ใช่เป็นการจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง
ปัญญาชนและปัญญาอันยิ่งใหญ่สู่การปฏิวัติประเทศ ขอให้ท่านทั้งหลายพิจารณาสัมพันธภาพอื่นๆ ดังต่อไปนี้ อันเป็นหนึ่งเดียวกันกับสภาวะกฎธรรมชาติ ในลักษณะ 3 มิติ 5 ลักษณะ
- สัมพันธภาพระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์
- สัมพันธภาพระหว่างนิวเครียสกับโปรตอน นิวตรอน อิเล็กตรอน
- สัมพันธภาพระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ชาวพุทธทั้งมวล
- สัมพันธภาพระหว่างนิพพานกับ 84,000 พระธรรมขันธ์
- สัมพันธภาพระหว่างชาติกับประชาชน - พระรัตนตรัยกับพุทธบริษัท 4
- สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับปวงพสกนิกร- พระมหากษัตริย์กับหลักการปกครอง (ระบอบ)
- สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับประชาชน (ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด) ดังรูป
- สัมพันธภาพระหว่างหลักการปกครอง (ระบอบ) กับวิธีการปกครอง (รัฐธรรมนูญ)
- สัมพันธภาพระหว่างพระมหากษัตริย์กับองค์กรอำนาจอธิปไตย (นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ)
- สัมพันธภาพระหว่างนายกรัฐมนตรีกับคณะรัฐมนตรี
- สัมพันธภาพระหว่างรัฐมนตรีกับข้าราชการในกระทรวง
- สัมพันธภาพระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดกับนายอำเภอ
- สัมพันธภาพระหว่างนายอำเภอกับ กำนัน
- สัมพันธภาพระหว่างกำนันกับผู้ใหญ่บ้าน
- สัมพันธภาพระหว่างผู้ใหญ่บ้าน กับ ลูกบ้าน
- สัมพันธภาพระหว่างพ่อแม่กับบุตร-หลาน
- สัมพันธภาพระหว่างอธิการบดีกับครู-อาจารย์-เจ้าหน้าที่ นักศึกษา
- สัมพันธภาพระหว่างครูใหญ่กับครู-อาจารย์ นักเรียน
- สัมพันธภาพระหว่างบริษัทกับพนักงาน ฯลฯ
ประเทศเอกราชการปฏิวัติ (Revolution) โดยธรรม เป็นพระราชภารกิจอันใหญ่ยิ่งเพื่อการแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 คือ ทรงนำการปฏิวัติทางการเมืองโดยธรรมอย่างสันติยิ่งใหญ่ของพระเจ้าแผ่นดิน
ขอย้ำว่าการปฏิวัติ คือ การเปลี่ยนเนื้อหาจากไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม เป็นการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม (หลักการปกครอง (ระบอบ) ธรรมาธิปไตย 9) ดุจดังสร้างวัดพระแก้ว ก่อนสร้างวิธีการไปวัดพระแก้ว (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) เปลี่ยนการเมืองของคณะบุคคลของนักการเมือง นายทุนเพียงหยิบมือเดียวมาเป็นการเมืองของปวงชนไทย นี่คือสาระสำคัญโดยย่นย่อที่สุดของการปฏิวัติสันติอันเป็นพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ร่วมมือเป็นหนึ่งเดียวกับประชาชนอันเป็นจุดเริ่มต้นที่ถูกต้องตามแนวทางสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ดังความตอนหนึ่งอันเป็นพระราชบันทึกความตอนหนึ่งว่า...“ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและได้โต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่าควรถือหลัก “DEMOCRACY” อันแท้จริงจึงจะถูกถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชนซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ “DEMOCRACY” อันแท้มิฉะนั้นก็จะเป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่... “ใครทำได้ก็เป็นรัฐบุรุษธรรมาธิปไตย”