ที่โรงแรมรามาดาพลาซ่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในพิธีเปิดโรงเรียนการเมืองเขตยานนาวา พร้อมกับบรรยายในหัวข้อ “องค์กรและสถาบันหลักของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย” โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า การต่อสู้ทางการเมืองมีความเข้มข้นมาก เพราะพรรคคู่แข่งไม่เหมือนในอดีต ที่เคยมีความชัดเจนว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประชาชนเลือก ส.ส. ขณะที่ ส.ส.ใช้ระบบรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อตัวแทนปวงชนในสภา ก่อนบริหารราชการแผ่นดิน มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นตัวกำกับ พรรคฝ่ายค้านตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลทั้งตั้งกระทู้ ญัตติ และกิจกรรมการเมือง
“แต่ภัยคุกคามในขณะนี้เกิดขึ้นจากระบบ เพราะมีการอาศัยประชาธิปไตยแต่ไม่มีจิตวิญญาณเคารพประชาธิปไตย โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งพูดชัดเจนว่า อาศัยประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่อุดมการณ์ ความเชื่อในระบอบประชาธิปไตย ที่ยึดหลักเคารพสิทธิความเสมอภาคของประชาชน นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว ยังบอกด้วยว่าการเมืองในอุดมคติ คือมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทั้งที่ไม่มีประเทศไหนที่เป็นประชาธิปไตยแล้วมีการเมืองแค่พรรคเดียว เหล่านี้คือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเพราะมีการนำแนวความคิดที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเอาฉากหน้าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือยึดครองบ้านเมือง แสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายอำนาจเกินกว่าที่รัฐบาลในระบบรัฐสภาพึงจะมี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** ฉุนใช้เสียงข้างมากอ้างทำผิด กม.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า มีความพยายามอธิบายว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง หลักการอยู่ที่ว่า “เสียงข้างมากเป็นใหญ่” อ้างการเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่สนับสนุน เหมือนกับว่าเสียงข้างมากทำอะไรก็ถูกต้อง ทำได้ตามใจชอบไม่มีขอบเขต ไม่มีกติกา ใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เชื่อในระบบเลือกตั้งและเป็นการดูถูกประชาชน ทั้งนี้จุดยืนประชาธิปัตย์เคารพเสียงข้างมากเป็นฝ่ายค้านด้วยความเต็มใจและเห็นคุณค่าในการทำหน้าที่นี้ แต่ที่ต้องทำความเข้าใจกับสังคมคือ การใช้เสียงข้างมากไม่ได้หมายความว่าทำอะไรก็ถูกต้อง ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนถือหลักการเช่นนี้ แต่การบิดเบือนของคนเหล่านี้อ้างอย่างเดียวว่า เสียงข้างมาก เพราะฟังง่ายทำให้คนคล้อยตาม เช่น ในสมัยที่สภาฯเลือกตนเป็นนายกฯ ก็มีการบิดเบือนว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะประชาธิปัตย์ไม่ได้รับเลือกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในสภาฯ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงคนจำนวนมากกว่าทำอะไรก็ได้ แต่ต้องมีหลักประกันประชาชนว่ามีสิทธิที่เสมอภาคกัน รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าอ้างเสียงข้างมากแล้วไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งนายชวน หลีกภัย เคยพูดในสมัยเป็นนายกว่า ไม่สามารถทำให้ทุกคนร่ำรวยเท่ากันได้ แต่ต้องทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เรามีสามอำนาจ คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ฝ่ายบริหารใช้กฎหมายที่ออกจากนิติบัญญัติเป็นเครื่องมือบริหารประเทศเมื่อมีปัญหาฝ่ายตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด นี่คือหลักถ่วงดุลของระบบ แต่ตอนนี้เมื่อรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่นจนถูกตรวจสอบ หรือศาลตัดสินว่าผิด ก็คิดที่จะเปลี่ยนแปลงโดยอ้างว่าศาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
**ครวญ “ดีเอสไอ” จ้องเล่นงาน
“ผมอยากย้ำว่า อังกฤษซึ่งใช้ระบบรัฐสภาศาลก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าไขว้เขวว่าใครไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยหรือต้องให้คนมาจากการเลือกตั้งแต่งตั้ง ในวันนั้นความเสมอภาคในบ้านเมืองจะไม่มี เพราะโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารจะทำงานแบบไม่เป็นกลาง เช่น กรณีตำรวจถูกคนมีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามเหมือนที่ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รับหมายศาล ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทุกสัปดาห์ ขณะที่อัยการก็ไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาเมื่อเกี่ยวกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะดีเอสไอกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน วันศุกร์มีแฟกซ์มาถึงผมขอรายชื่อคนบริจาคให้พรรคทุกคนตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งส่งมาแล้วเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกตอบไปว่าอยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หมดแล้ว แต่ดีเอสไอก็ยังส่งหนังสือกลับมาว่าคนละส่วนต้องส่งให้โดยตรงกับดีเอสไอ” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
**จัดหนัก “สื่อแดง” ไร้จรรยาบรรณ
นอกจากนี้ สื่อมวลชนมีความสำคัญมากต้องมีเสรีภาพ ไม่ถูกแทรกแซง แต่บ้านเมืองเราฟรีทีวีแทบไม่นำเสนอข่าวพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่สังคมประชาธิปไตยต้องไม่เป็นแบบนี้ เช่น ที่สหรัฐอเมริกาการให้เวลากับทั้งประธานาธิบดีและคู่แข่งจะให้เวลาอย่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ประเทศไทยในช่วงเลือกตั้งมีการเสนอข่าวด้านลบกับประชาธิปัตย์ เสนอด้านบวกกับพรรคเพื่อไทย จนตรวจสอบพบว่าคนในพรรคเพื่อไทยให้เงินบรรณาธิการบางฉบับ และมีมติว่า มติชน และข่าวสด นำเสนอข่าวและภาพลำเอียง แต่เมื่อถูกสภาการหนังสือพิมพ์ตรวจสอบก็ใช้วิธีลาออกหนีการตรวจสอบ เป็นความบิดเบี้ยวของสื่อที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นปัญหาที่จะทำให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ในขณะที่รัฐบาลปัจจุบันใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือกดดันสื่อมวลชนด้วยการให้โฆษณา หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้การตรวจสอบจากสื่ออย่างตรงไปตรงมาจะไม่มี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีประเทศไทยประเทศเดียวที่นายกฯไม่เข้าประชุมสภาในวาระกระทู้ถามสด นักการเมืองในประเทศอื่นตกใจเมื่อทราบเรื่องนี้เพราะเขาเห็นว่านายกฯต้องตอบกระทู้ถามเพราะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน แต่นายกฯไทยไม่เข้าสภาและสังคมก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกว่าพฤติกรรมอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ตรงกันข้าม มติชน ข่าวสด กลับกล่าวหาว่าฝ่ายค้านถามกระทู้ทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วนายกฯไม่ไปสภา ดังนั้นจึงต้องช่วยกันให้สังคมได้เรียนรู้ในการประชันวิสัยทัศน์ แต่ในช่วงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ถกเถียงว่านโยบายทำได้จริงหรือไม่ ปัจจุบันเหลือไทยพีบีเอสที่ยังจัดเวทีให้สองฝ่ายมีโอกาสได้พูด
“ถ้าคิดล้มล้างเราต้องต่อสู้อย่างเข้มข้น เช่น การรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และการออกกฎหมายล้างผิดคนโกง เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ พรรคจึงเปิดเวทีผ่าความจริงบอกกับประชาชน รัฐบาลต้องมีขอบเขตในการใช้อำนาจ มีจริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อประชาชนทุกคนไม่ใช่เฉพาะกับคนที่สนับสนุนตัวเองเท่านั้น ซึ่งพรรคยืนยันว่าจะรักษาหลักการที่ถูกต้องของบ้านเมืองเอาไว้” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในช่วงท้าย
** “เทือก” เดินงานเปิด “รร.-เวที-ทีวี”
ต่อมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ความคิดตรงข้ามรัฐไทย กรณีระบอบทักษิณกับความคิดเรื่องรัฐไทยใหม่ (ทักษิณ ลัทธิแดง รัฐไทยใหม่)” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ตนได้แยกความใกล้ชิดออกจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปทำกิจกรรม 3 เรื่อง คือ 1.โรงเรียนการเมือง 2.ตั้งเวทีประชาชน 3.มีทีวีฝ่ายข้างเรา ซึ่งคำนี้ตนไม่ได้พูดเอง เพราะอีกฝ่ายเขามีทั้งโรงเรียนแดง หมู่บ้านแดง ทีวีแดง และยังคุมสื่อโทรทัศน์ได้ทุกช่อง อนาคตถ้าปล่อยอย่างนี้จะไม่ไหวแน่ เนื่องจากบ้านเมืองกำลังมีภัยจวนตัว ถ้าเราไม่กระจายกำลัง ประเทศจะมีปัญหาและอาจเป็นความเสียหายของบ้านเมืองได้ เราจึงจำเป็นต้องรู้ต้นเหตุของปัญหา และคิดด้วยว่าจะแก้ไขอย่างไรโดยเป็นหน้าที่ของพวกเรา
“เป้าหมายสำคัญของระบอบทักษิณคือ ยึดอำนาจรัฐให้ได้ ไม่คำนึงถึงวิธีที่ได้มาเพื่อขอให้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จการปกครองอย่างเดียว โกงชาติจนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคสองหน แม้กระทั่งตำรวจยุคทักษิณก็ยังสั่งได้ เห็นตัวอย่างจากยุคนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่บอกว่ามีวันนี้เพราะทักษิณให้ หรือปลัดกระทรวงคมนาคมก็เป็นตำรวจมานั่งตำแหน่ง ซึ่งระบอบทักษิณพยายามสร้างรัฐตำรวจอย่างฮิตเลอร์ มุสโสลินี หลังจากนั้นก็จะควบคุมองค์กรอิสระ ศาล ทำให้เป็นหมัน ไม่ให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้ต่อไป” นายสุเทพ กล่าว
** ชี้เชื้อโรค “ทักษิณ” เล่นงานประเทศ
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ บรรยายในหัวข้อ “หน้าที่ของประชาชนเจ้าของประเทศที่แท้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน” ว่า ภัยคุกคามการเมืองในขณะนี้ไม่ใช่ทหาร เพราะทหารมีวุฒิภาวะไม่ทำปฏิวัติเพื่อช่วงชิงอำนาจเหมือนในอดีต แต่ปัญหาคือมีระบบธุรกิจการเมืองเข้ามา นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง มีการซื้อพรรคการเมืองเข้าควบรวมเพื่อให้ได้เสียงข้างมากซึ่งไม่ได้เป็นไปตามระบบปกติ จึงเปรียบเหมือนกับว่าการเมืองไทยเจอโรคใหม่ เช่นเดียวกับที่สังคมไทยไม่เคยคิดว่าจะมีโรคเอดส์เกิดขึ้น
นายชวนยืนยันว่า การบริหารประเทศต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณมีการใช้อำนาจนอกกฎหมายจนบ้านเมืองหายนะ และยังมีปรากฏการณ์โกงทั้งโคตร จนเกิดการรัฐประหารตามมา และมีขบวนการจาบจ้วงเบื้องสูง ทั้งนี้ เห็นว่าความคิดที่จะเปลี่ยนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ประชาชนต้องช่วยกันปกป้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น โดยเฉพาะความคิดใส่ร้ายป้ายสีสถาบันซึ่งทำกันอย่างเป็นขบวนการ พร้อมยกตัวอย่าง นายสุรชัย แซ่ด่าน ใส่ร้ายตนเองจนถูกฟ้อง แต่นายสุรชัยยอมรับว่าสิ่งที่พูดไม่เป็นความจริงแต่ทำตามที่มีการกำหนดบทให้พูด และเมื่อมีการตรวจสอบพบว่านายสุรชัยมีเงินเข้าบัญชีทุกเดือนๆละ 3 หมื่นบาท
** “ชวน” หวัง ขรก.ขัดใบสั่งการเมือง
“คนไทยทุกคนมีหน้าที่รักษาความถูกต้องชอบธรรม ข้าราชการต้องไม่เปลี่ยนตามรัฐบาล แต่ต้องรักษาเกียรติภูมิของตัวเอง อย่ายอมให้การเมืองควบคุม ยกตัวอย่างอดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตเลขาฯ ก.พ. แต่งตั้งข้าราชการผิดกฎหมายตามใบสั่งการเมืองทั้งๆที่ในสายของตนคนเหล่านี้ก็เป็นคนดี แต่ถูกการเมืองแทรกแซงกลัวว่าจะไม่เจริญก้าวหน้า สุดท้ายต้องรับโทษถูกให้ออกจากราชการโดยที่ฝ่ายการเมืองไม่ต้องมารับผิดชอบด้วย” นายชวน กล่าว
นายชวนกล่าวด้วยว่า คนเสียภาษีเจ็บปวดที่รัฐบาลนำเงินไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย เช่น นโยบายรถยนตร์คันแรกที่ทำให้รัฐเสียรายได้ 3 หมื่นล้านบาท แต่คนได้ประโยชน์ไม่ใช่คนจน การใช้เงินของรัฐบาลอย่างไม่ถูกต้องจะกระทบต่อประชาชนโดยตรง แต่รัฐบาลชุดนี้เลือกปฏิบัติ เช่น กรณียกเลิกศูนย์ประชุมภูเก็ต ทั้งที่จังหวัดดังกล่าวเสียภาษีให้รัฐเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ ทั้งๆที่รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นหลักและจุดยืนในการบริหารประเทศของพรรคมาโดยตลอด เพราะรัฐบาลจะรังแกประชาชนไม่ได้ ทั้งนี้พรรคมีจุดยืนชัดเจนเคารพกติกา ไม่มีการเผาบ้านเผาเมือง จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีไปภาคใต้ไม่มีใครขัดขวาง ซึ่งหากในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเคารพกติกา ไม่ตามขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ปั่นป่วนบ้านเมืองจนประเทศเสียหาย ตนเชื่อว่าในวันนี้นายอภิสิทธิ์จะยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่
“แต่ภัยคุกคามในขณะนี้เกิดขึ้นจากระบบ เพราะมีการอาศัยประชาธิปไตยแต่ไม่มีจิตวิญญาณเคารพประชาธิปไตย โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งพูดชัดเจนว่า อาศัยประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่อุดมการณ์ ความเชื่อในระบอบประชาธิปไตย ที่ยึดหลักเคารพสิทธิความเสมอภาคของประชาชน นอกจากนี้อดีตนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าว ยังบอกด้วยว่าการเมืองในอุดมคติ คือมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทั้งที่ไม่มีประเทศไหนที่เป็นประชาธิปไตยแล้วมีการเมืองแค่พรรคเดียว เหล่านี้คือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเพราะมีการนำแนวความคิดที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเอาฉากหน้าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือยึดครองบ้านเมือง แสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายอำนาจเกินกว่าที่รัฐบาลในระบบรัฐสภาพึงจะมี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
** ฉุนใช้เสียงข้างมากอ้างทำผิด กม.
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า มีความพยายามอธิบายว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง หลักการอยู่ที่ว่า “เสียงข้างมากเป็นใหญ่” อ้างการเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่สนับสนุน เหมือนกับว่าเสียงข้างมากทำอะไรก็ถูกต้อง ทำได้ตามใจชอบไม่มีขอบเขต ไม่มีกติกา ใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เชื่อในระบบเลือกตั้งและเป็นการดูถูกประชาชน ทั้งนี้จุดยืนประชาธิปัตย์เคารพเสียงข้างมากเป็นฝ่ายค้านด้วยความเต็มใจและเห็นคุณค่าในการทำหน้าที่นี้ แต่ที่ต้องทำความเข้าใจกับสังคมคือ การใช้เสียงข้างมากไม่ได้หมายความว่าทำอะไรก็ถูกต้อง ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนถือหลักการเช่นนี้ แต่การบิดเบือนของคนเหล่านี้อ้างอย่างเดียวว่า เสียงข้างมาก เพราะฟังง่ายทำให้คนคล้อยตาม เช่น ในสมัยที่สภาฯเลือกตนเป็นนายกฯ ก็มีการบิดเบือนว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะประชาธิปัตย์ไม่ได้รับเลือกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในสภาฯ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงคนจำนวนมากกว่าทำอะไรก็ได้ แต่ต้องมีหลักประกันประชาชนว่ามีสิทธิที่เสมอภาคกัน รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าอ้างเสียงข้างมากแล้วไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งนายชวน หลีกภัย เคยพูดในสมัยเป็นนายกว่า ไม่สามารถทำให้ทุกคนร่ำรวยเท่ากันได้ แต่ต้องทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เรามีสามอำนาจ คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ฝ่ายบริหารใช้กฎหมายที่ออกจากนิติบัญญัติเป็นเครื่องมือบริหารประเทศเมื่อมีปัญหาฝ่ายตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด นี่คือหลักถ่วงดุลของระบบ แต่ตอนนี้เมื่อรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่นจนถูกตรวจสอบ หรือศาลตัดสินว่าผิด ก็คิดที่จะเปลี่ยนแปลงโดยอ้างว่าศาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
**ครวญ “ดีเอสไอ” จ้องเล่นงาน
“ผมอยากย้ำว่า อังกฤษซึ่งใช้ระบบรัฐสภาศาลก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าไขว้เขวว่าใครไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยหรือต้องให้คนมาจากการเลือกตั้งแต่งตั้ง ในวันนั้นความเสมอภาคในบ้านเมืองจะไม่มี เพราะโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารจะทำงานแบบไม่เป็นกลาง เช่น กรณีตำรวจถูกคนมีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามเหมือนที่ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รับหมายศาล ตำรวจ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทุกสัปดาห์ ขณะที่อัยการก็ไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาเมื่อเกี่ยวกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะดีเอสไอกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน วันศุกร์มีแฟกซ์มาถึงผมขอรายชื่อคนบริจาคให้พรรคทุกคนตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งส่งมาแล้วเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกตอบไปว่าอยู่ที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) หมดแล้ว แต่ดีเอสไอก็ยังส่งหนังสือกลับมาว่าคนละส่วนต้องส่งให้โดยตรงกับดีเอสไอ” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
**จัดหนัก “สื่อแดง” ไร้จรรยาบรรณ
นอกจากนี้ สื่อมวลชนมีความสำคัญมากต้องมีเสรีภาพ ไม่ถูกแทรกแซง แต่บ้านเมืองเราฟรีทีวีแทบไม่นำเสนอข่าวพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่สังคมประชาธิปไตยต้องไม่เป็นแบบนี้ เช่น ที่สหรัฐอเมริกาการให้เวลากับทั้งประธานาธิบดีและคู่แข่งจะให้เวลาอย่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ประเทศไทยในช่วงเลือกตั้งมีการเสนอข่าวด้านลบกับประชาธิปัตย์ เสนอด้านบวกกับพรรคเพื่อไทย จนตรวจสอบพบว่าคนในพรรคเพื่อไทยให้เงินบรรณาธิการบางฉบับ และมีมติว่า มติชน และข่าวสด นำเสนอข่าวและภาพลำเอียง แต่เมื่อถูกสภาการหนังสือพิมพ์ตรวจสอบก็ใช้วิธีลาออกหนีการตรวจสอบ เป็นความบิดเบี้ยวของสื่อที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นปัญหาที่จะทำให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ในขณะที่รัฐบาลปัจจุบันใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือกดดันสื่อมวลชนด้วยการให้โฆษณา หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้การตรวจสอบจากสื่ออย่างตรงไปตรงมาจะไม่มี
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีประเทศไทยประเทศเดียวที่นายกฯไม่เข้าประชุมสภาในวาระกระทู้ถามสด นักการเมืองในประเทศอื่นตกใจเมื่อทราบเรื่องนี้เพราะเขาเห็นว่านายกฯต้องตอบกระทู้ถามเพราะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน แต่นายกฯไทยไม่เข้าสภาและสังคมก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกว่าพฤติกรรมอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ตรงกันข้าม มติชน ข่าวสด กลับกล่าวหาว่าฝ่ายค้านถามกระทู้ทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วนายกฯไม่ไปสภา ดังนั้นจึงต้องช่วยกันให้สังคมได้เรียนรู้ในการประชันวิสัยทัศน์ แต่ในช่วงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ถกเถียงว่านโยบายทำได้จริงหรือไม่ ปัจจุบันเหลือไทยพีบีเอสที่ยังจัดเวทีให้สองฝ่ายมีโอกาสได้พูด
“ถ้าคิดล้มล้างเราต้องต่อสู้อย่างเข้มข้น เช่น การรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และการออกกฎหมายล้างผิดคนโกง เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ พรรคจึงเปิดเวทีผ่าความจริงบอกกับประชาชน รัฐบาลต้องมีขอบเขตในการใช้อำนาจ มีจริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อประชาชนทุกคนไม่ใช่เฉพาะกับคนที่สนับสนุนตัวเองเท่านั้น ซึ่งพรรคยืนยันว่าจะรักษาหลักการที่ถูกต้องของบ้านเมืองเอาไว้” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในช่วงท้าย
** “เทือก” เดินงานเปิด “รร.-เวที-ทีวี”
ต่อมา นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวบรรยายในหัวข้อ “ความคิดตรงข้ามรัฐไทย กรณีระบอบทักษิณกับความคิดเรื่องรัฐไทยใหม่ (ทักษิณ ลัทธิแดง รัฐไทยใหม่)” โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ขณะนี้ตนได้แยกความใกล้ชิดออกจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อไปทำกิจกรรม 3 เรื่อง คือ 1.โรงเรียนการเมือง 2.ตั้งเวทีประชาชน 3.มีทีวีฝ่ายข้างเรา ซึ่งคำนี้ตนไม่ได้พูดเอง เพราะอีกฝ่ายเขามีทั้งโรงเรียนแดง หมู่บ้านแดง ทีวีแดง และยังคุมสื่อโทรทัศน์ได้ทุกช่อง อนาคตถ้าปล่อยอย่างนี้จะไม่ไหวแน่ เนื่องจากบ้านเมืองกำลังมีภัยจวนตัว ถ้าเราไม่กระจายกำลัง ประเทศจะมีปัญหาและอาจเป็นความเสียหายของบ้านเมืองได้ เราจึงจำเป็นต้องรู้ต้นเหตุของปัญหา และคิดด้วยว่าจะแก้ไขอย่างไรโดยเป็นหน้าที่ของพวกเรา
“เป้าหมายสำคัญของระบอบทักษิณคือ ยึดอำนาจรัฐให้ได้ ไม่คำนึงถึงวิธีที่ได้มาเพื่อขอให้ได้อำนาจเบ็ดเสร็จการปกครองอย่างเดียว โกงชาติจนศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคสองหน แม้กระทั่งตำรวจยุคทักษิณก็ยังสั่งได้ เห็นตัวอย่างจากยุคนี้ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่บอกว่ามีวันนี้เพราะทักษิณให้ หรือปลัดกระทรวงคมนาคมก็เป็นตำรวจมานั่งตำแหน่ง ซึ่งระบอบทักษิณพยายามสร้างรัฐตำรวจอย่างฮิตเลอร์ มุสโสลินี หลังจากนั้นก็จะควบคุมองค์กรอิสระ ศาล ทำให้เป็นหมัน ไม่ให้สามารถตรวจสอบตัวเองได้ต่อไป” นายสุเทพ กล่าว
** ชี้เชื้อโรค “ทักษิณ” เล่นงานประเทศ
ขณะที่นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ บรรยายในหัวข้อ “หน้าที่ของประชาชนเจ้าของประเทศที่แท้จริงในสถานการณ์ปัจจุบัน” ว่า ภัยคุกคามการเมืองในขณะนี้ไม่ใช่ทหาร เพราะทหารมีวุฒิภาวะไม่ทำปฏิวัติเพื่อช่วงชิงอำนาจเหมือนในอดีต แต่ปัญหาคือมีระบบธุรกิจการเมืองเข้ามา นับตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ก้าวเข้าสู่เส้นทางการเมือง มีการซื้อพรรคการเมืองเข้าควบรวมเพื่อให้ได้เสียงข้างมากซึ่งไม่ได้เป็นไปตามระบบปกติ จึงเปรียบเหมือนกับว่าการเมืองไทยเจอโรคใหม่ เช่นเดียวกับที่สังคมไทยไม่เคยคิดว่าจะมีโรคเอดส์เกิดขึ้น
นายชวนยืนยันว่า การบริหารประเทศต้องยึดหลักนิติรัฐ นิติธรรม แต่ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณมีการใช้อำนาจนอกกฎหมายจนบ้านเมืองหายนะ และยังมีปรากฏการณ์โกงทั้งโคตร จนเกิดการรัฐประหารตามมา และมีขบวนการจาบจ้วงเบื้องสูง ทั้งนี้ เห็นว่าความคิดที่จะเปลี่ยนการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้น ประชาชนต้องช่วยกันปกป้องไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้น โดยเฉพาะความคิดใส่ร้ายป้ายสีสถาบันซึ่งทำกันอย่างเป็นขบวนการ พร้อมยกตัวอย่าง นายสุรชัย แซ่ด่าน ใส่ร้ายตนเองจนถูกฟ้อง แต่นายสุรชัยยอมรับว่าสิ่งที่พูดไม่เป็นความจริงแต่ทำตามที่มีการกำหนดบทให้พูด และเมื่อมีการตรวจสอบพบว่านายสุรชัยมีเงินเข้าบัญชีทุกเดือนๆละ 3 หมื่นบาท
** “ชวน” หวัง ขรก.ขัดใบสั่งการเมือง
“คนไทยทุกคนมีหน้าที่รักษาความถูกต้องชอบธรรม ข้าราชการต้องไม่เปลี่ยนตามรัฐบาล แต่ต้องรักษาเกียรติภูมิของตัวเอง อย่ายอมให้การเมืองควบคุม ยกตัวอย่างอดีตปลัดกระทรวงการคลัง และอดีตเลขาฯ ก.พ. แต่งตั้งข้าราชการผิดกฎหมายตามใบสั่งการเมืองทั้งๆที่ในสายของตนคนเหล่านี้ก็เป็นคนดี แต่ถูกการเมืองแทรกแซงกลัวว่าจะไม่เจริญก้าวหน้า สุดท้ายต้องรับโทษถูกให้ออกจากราชการโดยที่ฝ่ายการเมืองไม่ต้องมารับผิดชอบด้วย” นายชวน กล่าว
นายชวนกล่าวด้วยว่า คนเสียภาษีเจ็บปวดที่รัฐบาลนำเงินไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย เช่น นโยบายรถยนตร์คันแรกที่ทำให้รัฐเสียรายได้ 3 หมื่นล้านบาท แต่คนได้ประโยชน์ไม่ใช่คนจน การใช้เงินของรัฐบาลอย่างไม่ถูกต้องจะกระทบต่อประชาชนโดยตรง แต่รัฐบาลชุดนี้เลือกปฏิบัติ เช่น กรณียกเลิกศูนย์ประชุมภูเก็ต ทั้งที่จังหวัดดังกล่าวเสียภาษีให้รัฐเป็นอันดับสองรองจากกรุงเทพฯ ทั้งๆที่รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลประชาชนอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นหลักและจุดยืนในการบริหารประเทศของพรรคมาโดยตลอด เพราะรัฐบาลจะรังแกประชาชนไม่ได้ ทั้งนี้พรรคมีจุดยืนชัดเจนเคารพกติกา ไม่มีการเผาบ้านเผาเมือง จะเห็นได้ว่านายกรัฐมนตรีไปภาคใต้ไม่มีใครขัดขวาง ซึ่งหากในช่วงที่นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี มีการเคารพกติกา ไม่ตามขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ปั่นป่วนบ้านเมืองจนประเทศเสียหาย ตนเชื่อว่าในวันนี้นายอภิสิทธิ์จะยังเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่