“อภิสิทธิ์” จวก “ทักษิณ” พูดด้านเดียว ชี้หาคนรับผิด 98 ศพ ควรลากคอจอมวางแผนใช้คนเป็นเหยื่อการเมืองมาลงโทษ ซัดเจ้าเก่า “มติชิน-ข่าวปด” บิดเบือนไม่เลิก พร้อมไล่ไปอ่านคำสั่งศาลคดียิงแท็กซี่ใหม่ เหน็บเสื้อแดงยี้รายงาน คอป.เอาแต่ได้ บอก รบ.หากจริงใจปรองดองจับเข่าคุยได้ แต่ต้องยึดรายงาน คอป.เป็นตัวตั้ง
เย็นวันที่ 22 ก.ย. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในเวทีประชาชน “เดินหน้าผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ-ออกฎหมายล้างผิดคนโกง” ที่ลานโดม โรงเรียนพิบูลวิทยาลัย อ.เมือง จ.ลพบุรี ว่าข่าวบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณพูดว่า 98 คนที่เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุม ไม่ใช่ผู้ก่อการร้ายเป็นผู้เสียสละ แล้วก็บอกว่าต้องการที่จะให้เอาคนที่สั่งการฆ่าคนเหล่านี้มาลงโทษ แต่สิ่งที่คุณทักษิณพูด คุณทักษิณไม่พูดให้หมดว่าการเสียชีวิตมันเกิดขึ้นเพราะอะไร ใครเป็นคนวางแผนแนวทางการทำงานทางการเมืองที่ทำให้ไม่ว่าประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องมาเสียชีวิต สังเวยความต้องการของคนบางคนที่จะเอาเหตุการณ์อย่างนี้มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง คนคนนั้นนั่นแหละจะต้องรับผิดชอบ
“ผมยืนยันว่าพวกผมทุกคนยอมรับกระบวนการยุติธรรม ศาลไต่สวน พนักงานสอบสวนไปพิจารณาได้ ใครถูก ใครผิด ผม คุณสุเทพ พร้อมที่จะต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม แต่ผมถามหาคนที่ไม่ยอมกลับมาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมในคดีเหตุการณ์นี้ ซึ่งเป็นข้อหาเรื่องการก่อการร้าย คนคนนั้นชื่อ ทักษิณ ชินวัตร กลับมาด้วยสิครับ กลัวอะไรถึงไม่กลับมา ติดคุกก็สู้คดีได้ ติดคุกก็ใช้สิทธิทางกฎหมายได้ หายไปไหน หนีไปทำไม หรือกลัวความจริง”
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า วันนี้มีขบวนการที่จะสร้างความสับสนกรณีคำสั่งศาลที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ มีประชาชนรายหนึ่งเสียชีวิตบริเวณถนนราชปรารภ ในช่วงการชุมนุมเดือนพฤษภาคม ศาลไต่สวนมีคำสั่งว่า ศาลเชื่อว่าเสียชีวิตจากฝีมือของเจ้าหน้าที่ซึ่งไปปฏิบัติงานตามคำสั่ง ศอฉ. ตรงนี้ก็เลยมีคนบางกลุ่ม หนังสือพิมพ์เจ้าเก่า มติชน ข่าวสด หรือเราห้ามพูดชื่อจริง จะได้เรียก มติชิน กับ ข่าวปด
เขาบอกว่านี่ไงตกลงไม่มีชุดดำ เป็นเรื่องการสั่งการไปฆ่าประชาชน ตนอยากให้กลับไปอ่านคำสั่งศาลใหม่ ในคำสั่งของศาลในการสืบพยานซึ่งเป็นการไต่สวนฝ่ายเดียวศาลบรรยายว่า ศอฉ.ขณะนั้นกำลังปิดล้อมพื้นที่ไปตั้งด่าน ช่วงค่ำของวันที่เกิดเหตุ มีการยิงระเบิดเอ็ม 79 ไป ในทิศทางของด่านด้านนั้น คือประมาณดินแดง ต่อเนื่องมาทางราชปรารภ ประตูน้ำ เพราะฉะนั้น ข้อแรกไม่มีใครอื่นยิงเอ็ม 79 โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐ ไม่เคยใช้เอ็ม 79 แต่เป็นที่ทราบกันดีว่าคนชุดดำใช้เอ็ม 79 ตลอดเวลา แล้วถามว่าเอ็ม 79 นั้นฝ่ายไหนใช้ ตนก็เคยชี้ให้เห็นแล้วว่าวันที่พันธมิตรฯ ชุมนุม เอ็ม 79 จะถูกยิงเข้าใส่ผู้ชุมนุม แต่วันที่เสื้อแดงชุมนุม เอ็ม 79 มันจะยิงออกมาจากฝ่ายผู้ชุมนุม พอเกิดการยิงขึ้น มีการข่าวรายงานว่าจะมีรถตู้ขนคนมีอาวุธเข้ามาสู่พื้นที่บริเวณการชุมนุม ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานมีรถตู้คันหนึ่งปรากฏแล้วก็มุ่งหน้าเข้ามา ตอนแรกไปจอดพักอยู่อาจจะประมาณ 10 กว่านาที แล้วก็ถูกเตือนว่าพื้นที่ตรงนี้กำลังถูกปิดล้อมป้องกันไม่ให้มีการเข้าไปสมทบในการชุมนุม อย่าได้เข้ามาในพื้นที่นี้ แต่ในที่สุดรถตู้ไม่ฟัง หรืออ้างว่าไม่ได้ยินคำเตือน ทั้งๆ ที่มีพยานบอกว่ามีการกระจายเสียง สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะวิ่ง พูดง่ายๆ คือจะฝ่าด่านทหารเข้ามา ก็เกิดการยิงขึ้น ไม่ได้มีใครยืนยันบอกได้ว่าใครคนไหนเป็นคนยิง แต่บุคคลที่เสียชีวิตเขาอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเขามาจอดแท็กซี่ไว้ เขาไปอยู่ในสำนักงานของคอนโดฯ หนึ่ง พอมีเสียงยิงกันเขาวิ่งออกมาดูเหตุการณ์แล้วก็เสียชีวิต นี่คือสิ่งที่ศาลบอกว่าศาลเชื่อว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และศาลก็บอกว่าที่เชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่เพราะฟังจากพยานโดยเฉพาะตำรวจที่ไปบอกว่าบริเวณนั้นมีแต่เจ้าหน้าที่ทหาร
“วันนี้หนังสือพิมพ์ 2 ฉบับนั้นพยายามที่จะให้คนเข้าใจว่าศาลบอกว่า ศอฉ.สั่งเจ้าหน้าที่ให้ไปยิงแท็กซี่ ไม่ใช่แล้วครับ ไม่มีตรงไหนเลยครับ ถ้าอ่านจากคำสั่งของศาลที่บอกว่า ศอฉ. หรือใคร สั่งให้ไปยิงแท็กซี่ มีแต่คำสั่ง ศอฉ. ในเชิงนโยบายว่า กำลังปิดล้อมพื้นที่ ตั้งด่าน ไม่ให้คนเข้าไป และในการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุก็ต้องไต่สวนว่ากันไป สอบสวนกันไปว่าอะไรเกิดขึ้น ผมถามว่าพี่น้องนั่งอยู่ตรงนี้ใช้สามัญสำนึก ผมถามว่าจากเหตุการณ์ที่เล่ามา ตรงไหนครับที่บอกว่ามีการเจตนาฆ่า ตรงไหนครับ ไม่มี เพราะฉะนั้นเวลานี้ที่พูดกันไปเรื่อยนี่ ผมก็ฟัง ดีเอสไอ พูดบ้าง รองฯ เฉลิม พูดบ้าง ก็พยายามจะชี้นำไปให้สังคมไขว้เขว
โดยเฉพาะดีเอสไอนั้น ผมก็เป็นห่วง เป็นห่วงอธิบดีธาริต ทำไมถึงห่วง ทำไมถึงห่วง เพราะถ้าอธิบดีธาริตบอก ศอฉ. สั่งให้คนไปยิงแท็กซี่ ผมจะบอกให้พี่น้องทราบว่า ผมไม่ได้เป็นกรรมการ ศอฉ. แต่นายธาริตเป็นกรรมการ ศอฉ. ประชุมอยู่ด้วย ก็เลยเป็นห่วงครับ ก็อยากจะบอกว่า นี่แหละครับ ที่เราต้องเอาความจริงมาพูด แต่ถ้าอยากถามว่า ไอ้กรณีประเภทสั่งไปฆ่านั้น กรณีไหนอย่างไรบ้าง บังเอิญก็วันอังคารที่ผ่านมา ผมมีโอกาสไปที่ทำเนียบ นายกฯ ยิ่งลักษณ์เชิญไปเพื่อไปให้ข้อมูลเรื่องภาคใต้ ผมก็ไปให้ข้อมูลชัดเจน เสนอแนะเยอะแยะ แล้วก็พูดตรงไปตรงมาครับ ไม่ต้องมีอะไรปิดบัง ที่ภาคใต้ ไฟใต้ลุกขึ้นมาใหม่ เป็นเพราะนโยบายกำปั้นเหล็กของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งทักษิณ ชินวัตร ก็สารภาพแล้วว่า ผิดพลาดกับนโยบายกำปั้นเหล็ก
ความจริงเรื่องกรือเซะ ตากใบนั้น ถ้าไม่อยากให้เป็นเงื่อนไขในการถูกหยิบยกขึ้นมาโจมตีอีก ผมก็แนะไปเหมือนกันบอก ถ้าอย่างนั้นรองนายกฯ เฉลิม ลองไปเอาคนสั่งการกรณี กรือเซะ ตากใบ มาขึ้นศาลลงโทษบ้างจะดีไหม เพราะกรณีนั้นมีหลักฐานว่ามีคนพูดว่าฝ่ายนโยบายเห็นด้วยกับการที่เข้าไปยิงในมัสยิด นี่แหละครับคือความจริงที่ต้องพูดกัน ไม่ให้พี่น้องประชาชนเกิดความไขว้เขว
คอป.รายงานผลเมื่อวันจันทร์ วันอังคารเสื้อแดง พรรคเพื่อไทยออกแถลงข่าวด่า คอป.เสียๆ หายๆ ไปด่าเขาว่าเขียนด้วยเท้าบ้าง ถึงขั้นฉีกรายงานของ คอป.ขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ ออกทีวี จากเดิมตอนที่เขาบอกเยียวยาเสื้อแดงได้บอก คอป. ดี ให้ประกันเสื้อแดงได้บอก คอป.ดี แยกขังผู้ต้องหาเสื้อแดงได้ บอก คอป. ดี แต่ทำไมพอมาถึงวันอังคารบอก คอป.เลว เพราะ คอป.ชี้ชัด 1 เรื่องที่เป็นการผ่าความจริง จับโกหกคนหลายคน คือ คอป. พูดชัดเจนว่าชุดดำมีจริง เท่านั้นแหละออกอาการกันยกใหญ่ แกนนำเสื้อแดงบางคนตอนนี้ถึงขั้นไปยื่นหนังสือถึงรัฐบาล บอกห้ามแปลรายงาน คอป. เดี๋ยวชาวโลกจะรู้ว่ามีชุดดำ
ความจริงแล้วงาน คอป.นั้น ที่เสื้อแดงบอกห้ามเผยแพร่ไปยังชาวโลกนั้น ปรากฏว่า องค์กรระหว่างประเทศ องค์กรของสหประชาชาติ องค์กรของสิทธิมนุษยชนระดับโลก เขาได้เห็นบทสรุปรายงานแล้ว และเขายังบอกด้วยว่าควรที่จะผลักดันตามข้อเสนอแนะของ คอป. เพราะในช่วงที่ คอป.ทำงานเขาเชิญบุคคลระดับโลกอย่างอดีตเลขาฯ สหประชาชาติ นายโคฟี อันนัน เขาเชิญผู้เชี่ยวชาญจากหลายประเทศมาเป็นที่ปรึกษา มาช่วยทำงานด้วย ตนก็ไม่ได้เห็นด้วยกับ คอป.ทั้งหมดห แต่ถ้ารัฐบาลจริงใจในการปรองดองต้องยอมรับเอารายงานฉบับนี้เป็นตัวตั้งแล้วมาคุยกันว่าจะเดินหน้าสู่ความปรองดองในประเทศนี้ได้อย่างไร
“ผมกับคุณสุเทพยืนยันกับพี่น้องอีกครั้งครับว่าจะโทษติดคุก หรือโทษประหาร ถ้าพวกผมผิดจริงผมยอมรับที่จะรับโทษนั้น ถ้าพวกผมผิดจริงเอาพวกผมไปลงโทษ จะอย่างไรก็ไม่ต้องมาต่อรองเรื่องนิรโทษกรรม เพราะคนผิดต้องรับผิด บ้านเมืองถึงจะอยู่ได้ เราถึงจะเดินไปข้างหน้ากันได้ และความปรองดองจึงจะเกิดขึ้น”