“อภิสิทธิ์” เปิดโรงเรียนการเมือง อ้างอดีตนายกฯ พูดชัดอาศัยประชาธิปไตยเข้าสู่อำนาจไม่ใช่ทำเพื่ออุดมการณ์ ชี้เป็นภัยคุกคามประเทศ ยันเสียงข้างมากไม่ได้หมายความว่าทำอะไรก็ถูก ไม่ใช่ใบอนุญาตโกง โอดตำรวจถูกใช้กลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม จวกอัยการเมินฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ สับดีเอสไอเครื่องมือชัด โวยฟรีทีวีไม่เสนอข่าว ซัดมติชนลาออกสภาการหรือถูกสอบ แฉรัฐใช้รัฐวิสาหกิจบีบสื่อ รับชาติอื่นตกใจ “ปู” หนีกระทู้สด วอนประชาชนลุกสู้ปกป้อง
วันนี้ (28 ต.ค.) ที่ รร.ราดามาพลาซ่า แม่น้ำริเวอร์ไซด์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในพิธีเปิดโรงเรียนการเมืองเขตยานนาวา พร้อมกับบรรยายในหัวข้อ “องค์กรและสถาบันหลักของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของไทย” โดยกล่าวในตอนหนึ่งว่า การต่อสู้ทางการเมืองมีความเข้มข้นมาก เพราะพรรคคู่แข่งไม่เหมือนในอดีต ที่เคยมีความชัดเจนว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ประชาชนเลือก ส.ส. ขณะที่ ส.ส.ใช้ระบบรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อตัวแทนปวงชนในสภา ก่อนบริหารราชการแผ่นดิน มีรัฐธรรมนูญและกฎหมายเป็นตัวกำกับ พรรคฝ่ายค้านตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลทั้งตั้งกระทู้ ญัตติ และกิจกรรมการเมือง แต่ภัยคุกคามในขณะนี้เกิดขึ้นจากระบบ เพราะมีการอาศัยประชาธิปไตยแต่ไม่มีจิตวิญญาณเคารพประชาธิปไตย โดยมีอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งพูดชัดเจนว่า อาศัยประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือเข้าสู่อำนาจ ไม่ใช่อุดมการณ์ ความเชื่อในระบอบประชาธิปไคย ที่ยึดหลักเคารพสิทธิความเสมอภาคของประชาชน
นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีคนดังกล่าวยังบอกด้วยว่า การเมืองในอุดมคดีคือมีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียว ทั้งที่ไม่มีประเทศไหนที่เป็นประชาธิปไตยแล้วมีการเมืองแค่พรรคเดียว เหล่านี้คือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเพราะมีการนำแนวความคิดที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยเอาฉากหน้าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือยึดครองบ้านเมือง แสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจ สร้างเครือข่ายอำนาจเกินกว่าที้รัฐบาลในระบบรัฐสภาพึงจะมี
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีความพยายามอธิบายว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริง หลักการอยู่ที่ว่า “เสียงข้างมากเป็นใหญ่” อ้างการเลือกตั้ง คนส่วนใหญ่สนับสนุน เหมือนกับว่าเสียงข้างมากทำอะไรก็ถูกต้อง ทำได้ตามใจชอบไม่มีขอบเขต ไม่มีกติกา ใครไม่เห็นด้วยก็จะถูกกล่าวหาว่าไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่เชื่อในระบบเลือกตั้งและเป็นการดูถูกประชาชน ทั้งนี้จุดยืนประชาธิปัตย์เคารพเสียงข้างมากเป็นฝ่ายค้านด้วยความเต็มใจและเห็นคุณค่าในการทำหน้าที่นี้ แต่ที่ต้องทำความเข้าใจกับสังคมคือ การใช้เสียงข้างมากไม่ได้หมายความว่าทำอะไรก็ถูกต้อง ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะไม่มีระบอบประชาธิปไตยที่ไหนถือหลักการเช่นนี้ แต่การบิดเบือนของคนเหล่านี้อ้างอย่างเดียวว่า เสียงข้างมาก เพราะฟังง่ายทำให้คนคล้อยตาม เช่น ในสมัยที่สภาเลือกตนเป็นนายกฯ ก็มีการบิดเบือนว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะประชาธิปัตย์ไม่ได้รับเลือกเป็นพรรคอันดับหนึ่งในสภา
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวด้วยว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ได้หมายถึงคนจำนวนมากกว่าทำอะไรก็ได้ แต่ต้องมีหลักประกันให้ประชาชนว่ามีสิทธิที่เสมอภาคกัน รัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าอ้างเสียงข้างมากแล้วไม่อยู่ภายใต้กฎหมายไม่ใช่ประชาธิปไตย ซึ่งนายชวน หลีกภัย เคยพูดในสมัยเป็นนายกฯ ว่า ไม่สามารถทำให้ทุกคนร่ำรวยเท่ากันได้ แต่ต้องทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รัฐบาลจากระบอบประชาธิปไตยต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย เรามีสามอำนาจ คือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ฝ่ายบริหารใช้กฎหมายที่ออกจากนิติบัญญํติเป็นเครื่องมือบริหารประเทศเมื่อมีปัญหาฝ่ายตุลาการเป็นผู้ชี้ขาด นี่คือหลักถ่วงดุลของระบบ แต่ตอนนี้เมื่อรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชั่นจนถูกตรวจสอบ หรือศาลตัดสินว่าผิด ก็คิดที่จะเปลี่ยนแปลงโดยอ้างว่าศาลไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
“ผมอยากย้ำว่าอังกฤษซึ่งใช้ระบบรัฐสภา ศาล ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าไขว้เขวว่าใครไม่ได้มาจากการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตยหรือต้องให้คนมาจากการเลือกตั้งแต่งตั้ง ในวันนั้นความเสมอภาคในบ้านเมืองจะไม่มี เพราะโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารจะทำงานแบบไม่เป็นกลาง เช่น กรณีตำรวจถูกคนมีอำนาจใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้ามเหมือนที่ตนและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รับหมายศาล ตำรวจ ดีเอสไอทุกสัปดาห์ ขณะที่อัยการก็ไม่ฟ้อง ไม่อุทธรณ์ ไม่ฎีกาเมื่อเกี่ยวกับผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจ โดยเฉพาะดีเอสไอกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างชัดเจน วันศุกร์มีแฟกซ์มาถึงผมขอรายชื่อคนบริจาคให้พรรคทุกคนตั้งแต่ปี 2550 ซึ่งส่งมาแล้วเป็นครั้งที่สอง ครั้งแรกตอบไปว่าอยู่ที่ กกต.หมดแล้ว แต่ดีเอสไอก็ยังส่งหนังสือกลับมาว่าคนละส่วนต้องส่งให้โดยตรงกับดีเอสไอ”
นายอภิสิทธิ์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สื่อมวลชนมีความสำคัญมากต้องมีเสรีภาพ ไม่ถูกแทรกแซง แต่บ้านเมืองเราฟรีทีวีแทบไม่นำเสนอข่าวพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งที่สังคมประชาธิปไตยต้องไม่เป็นแบบนี้ เช่น ที่สหรัฐอเมริกาการให้เวลากับทั้งประธานาธิบดีและคู่แข่งจะให้เวลาอย่างเท่าเทียมกัน ในขณะที่ประเทศไทยในช่วงเลือกตั้งมีการเสนอข่าวด้านลบกับประชาธิปัตย์ เสนอด้านบวกกับพรรคเพื่อไทย จนตรวจสอบพบว่าคนในพรรคเพื่อไทยให้เงินบรรณาธิการบางฉบับ และมีมติว่า มติชน และข่าวสด นำเสนอข่าวและภาพลำเอียง แต่เมื่อถูกสภาการหนังสือพิมพ์ตรวจสอบก็ใช้วิธีลาออกหนีการตรวจสอบ เป็นความบิดเบี้ยวของสื่อที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง เป็นปัญหาที่จะทำให้บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย ในขณะที่รัฐบาลปัจจุบันใช้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือกดดันสื่อมวลชนด้วยการให้โฆษณา หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้การตรวจสอบจากสื่ออย่างตรงไปตรงมาจะไม่มี
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มีประเทศไทยประเทศเดียวที่นายกฯ ไม่เข้าประชุมสภาในวาระกระทู้ถามสด นักการเมืองในประเทศอื่นตกใจเมื่อทราบเรื่องนี้เพราะเขาเห็นว่านายกฯ ต้องตอบกระทู้ถามเพราะเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อประชาชน แต่นายกฯ ไทยไม่เข้าสภาและสังคมก็ไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกว่าพฤติกรรมอย่างนี้ใช้ไม่ได้ ตรงกันข้าม มติชน ข่าวสด กลับกล่าวหาว่าฝ่ายค้านถามกระทู้ทำไมในเมื่อรู้อยู่แล้วนายกฯ ไม่ไปสภา ดังนั้นจึงต้องช่วยกันให้สังคมได้เรียนรู้ในการประชันวิสัยทัศน์ แต่ในช่วงเลือกตั้งพรรคเพื่อไทยใช้การโฆษณาชวนเชื่อเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมเปิดโอกาสให้ถกเถียงว่านโยบายทำได้จริงหรือไม่ ปัจจุบันเหลือไทยพีบีเอสที่ยังจัดเวทีให้สองฝ่ายมีโอกาสได้พูด
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวด้วยว่า การชุมนุมสาธารณะของประเทศอังกฤษกติกาห้ามค้างคืน ถ้าจะสร้างความเดือดร้นให้คนอื่นต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ ไม่มีที่ไหนอนุญาตให้การชุมนุมมีผู้ติดอาวุธ คนไทยต้องช่วยกันรักษาประชาธิปไตยและบ้านเมืองอย่างมีหลัก อย่ามองว่าเสียงข้างมากใช้ไม่ได้เพราะเป็นความชอบธรรมที่ประชาชนเลือก แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้วต้องรับผิดชอบต่อนโยบายของตัวเอง และการมีเสียงข้างมากไม่ใช่ใบอนุญาตให้ทำผิดกฎหมาย ทุจริต คอร์รัปชัน หรือทำลายองค์กรอิสระ หน้าที่ของประชาชนต้องช่วยกันปกป้องระบบตรวจสอบ ถ้าคิดล้มล้างเราต้องต่อสู้อย่างเข้มข้น เช่น การรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ และการออกกฎหมายล้างผิดคนโกง เป็นสิ่งที่ยอมไม่ได้ พรรคจึงเปิดเวทีผ่าความจริงบอกกับประชาชน รัฐบาลต้องมีขอบเขตในการใช้อำนาจ มีจริยธรรม มีความรับผิดชอบต่อประชาชนทุกคนไม่ใช่เฉพาะกับคนที่สนับสนุนตัวเองเท่านั้น ซึ่งพรรคยืนยันว่าจะรักษาหลักการที่ถูกต้องของบ้านเมืองเอาไว้