xs
xsm
sm
md
lg

ระหว่างอเมริกากับจีนมันคือสงครามอะไรกันหรือ?

เผยแพร่:   โดย: สุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์


วันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 คือกำหนดวันเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก เงินเหรียญสหรัฐก็มีส่วนแบ่งสูงสุดในตลาดโลก ความเป็นไปของประเทศสหรัฐอเมริกา จึงส่งผลถึงความเป็นไปของคนทั้งโลก

คนส่วนใหญ่ของประเทศต่างๆ ไม่ต่างกัน ต่างมีจุดอ่อนพอๆ กัน และยากที่จะตามทันเล่ห์นักการเมือง นักการเมืองจะเชี่ยวชาญในกระแสสังคม นักการเมืองไทย เอาวลีจะทำให้ “มั่งคั่ง” มากล่าวอ้าง ก็จะทำให้ได้คะแนนเสียง แม้การบริหารประเทศจะต่างไปจากการหาเสียงและการให้สัมภาษณ์ เกิดหนี้ท่วมประเทศ สินค้าและบริการจะราคาแพง ยกเขตแดนให้ต่างชาติ ปล้นสมบัติชาติ ขายสมบัติชาติให้ต่างชาติ ก็ยังหลงไหลนักการเมืองอยู่นั่นเอง นักการเมืองอเมริกันจะเอาวลีถึงการแสดงถึง “ศักดิ์ศรี” ผู้นำเวทีโลกมากล่าว ก็จะทำให้ได้คะแนนเสียงเช่นกัน ดังนั้นภาพที่เห็นในบางครั้งว่าคนอเมริกันไม่ต้องการสงคราม คงเป็นเสียงของคนส่วนน้อยเท่านั้น การที่จะลดฐานทัพหรือลดกำลังพลที่มี 700 แห่งใน 130 ประเทศจึงเป็นเรื่องยาก นอกจากจะไม่ลดแล้ว ยังคิดจะเพิ่มฐานทัพเพิ่มกำลังพลอีก สนามบินอู่ตะเภาในประเทศไทยน่าจะเป็นตัวอย่างการกล่าวอ้างถึงในเรื่องนี้ได้ “ความมั่งคั่ง” ของประเทศไทย “ความมีศักดิ์ศรี” ของประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นจริงแค่ไหนอย่างไร

ก็เป็นไปได้ เป็นทั้งกระแสสังคมหรือเป็นการสร้างกระแสให้สังคมหลงใหลให้เดินตาม

การโต้คารมครั้งสุดท้ายในศึกชิงผู้นำสหรัฐฯ ระหว่างนายโอบามาและนายรอมนีย์ เมื่อ 23 ตุลามคม 2555 ออกมาในรูปแบบการทหารและการต่างประเทศมากเป็นพิเศษ เอ่ยถึงเรื่องเศรษฐกิจน้อย

ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายทางด้านการทหารของประเทศสหรัฐอเมริกา ของปี 2010 เมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ค่าใช้จ่ายทางทหารของทั้งโลก ค่าใช้จ่ายทางทหารของประเทศสหรัฐอเมริกาประมาณเกือบเท่ากับครึ่งหนึ่งของทั้งโลก ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายด้านการทหารของประเทศสหรัฐอเมริกามากกว่า 700 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในปี 2003 ที่ยกกองเรือไปทำสงครามอิรัก งบประมาณทางทหารเพิ่มขึ้นสูงมาก แสนยานุภาพทางทหารไม่ว่าบนโลกหรือในอวกาศเหนือกว่าทุกประเทศ ยากที่ประเทศใดจะต่อกรกับประเทศสหรัฐอเมริกาได้

ค่าใช้จ่ายด้านอวกาศไม่ได้เพิ่มสูงอย่างผิดปกติแต่อย่างใด

ลองมาพิจารณาประเทศสหรัฐอเมริกาทางด้านเศรษฐกิจมหภาคบ้าง

การพังทลายของตลาด Nasdaq ในปี 2000 ส่งผลให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เกิดการพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ ตามหลังการพังทลายของตลาดหุ้น Nasdaq ในปี 2000

เงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกา อัตราเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกาพุ่งสูงขึ้นหลังการพังทลายของค่าเงินเหรียญสหรัฐ ที่ส่งผลให้ราคาทองคำและราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น และส่งผลให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นทั่วโลก

เกิดการล้มละลายของเอกชนขาดใหญ่ บริษัทเอกชนและกลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ล้มลงจำนวนมาก เช่น Enron, WorldCom, Subprime, Bear Sterns Bank, Fannie Mae, Freddie Mac (ประธานบริษัทฆ่าตัวตาย), Lehman Brother, Merrill Lynch, AIG รวมทั้งเอกชนขนาดกลางและขนาดเล็กก็ล้มลงทั่วประเทศ

เกิดการว่างงานสูง การล้มลงของเอกชนจำนวนมาก ทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์ระหว่างปี 2009-2010

เกิดภาระหนี้ของประเทศสหรัฐอเมริกาสูงขึ้น การล้มของเอกชนเป็นภาระของอเมริกาที่ต้องเข้าไปอุ้มช่วยเหลือ ออกพันธบัตรกู้เงินมาช่วย แต่ก็ไปไม่รอด ก่อให้เกิดหนี้ท่วมประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปี 2000 หนี้ของประเทศอยู่ที่ระดับ 5.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2012 อยู่ที่ 16.39 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 10.44 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ทำให้มีการพิมพ์เงินออกมาใช้ นอกจากหนี้ของประเทศจะเพิ่มมากแล้ว ยังมีการพิมพ์เงินออกมาใช้ด้วย เรียกว่า Quantitative Easing QE ปี 2008 พิมพ์เงินออกมา 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปี 2010 พิมพ์เงินออกมาอีก 0.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ปลายปี 2012 เริ่มจะมีการพิมพ์เงินออกมาอีกเดือนละ 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ปัญหาเศรษฐกิจประเทศสหรัฐฯ เริ่มขึ้นในปี 2000 หลังการพังทลายของตลาด Nasdaq ทำให้สภาพคล่องขาดแคลนอย่างรวดเร็วและรุนแรง แต่ไม่ดูว่าต้นเหตุของปัญหาเกิดจากอะไร ได้แต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุและแก้ปัญหาแบบขายผ้าเอาหน้ารอด ผลที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่จะสร้างความเดือดร้อนของประเทศอเมริกาและคนอเมริกันเท่านั้น ยังก่อความเดือดร้อนต่อประเทศต่างๆ และคนประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย ถ้าหากอเมริกายังมองปัญหาของประเทศเป็นเช่นนี้อยู่ ความเดือดร้อนและความเสื่อมก็จะเพิ่มขึ้นกับคนอเมริกันและชาวโลกต่อไป

เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่บั่นทอนศักดิ์ศรีของประเทศอเมริการุนแรง และศักดิ์ศรีถูกบั่นทอนรุนแรงมากขึ้น เมื่อพบว่าสหรัฐอเมริกาหาทางออกปัญหาเศรษฐกิจไม่พบ ข้อมูลที่เห็น แสดงว่าประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศยากจนใหม่ไปแล้ว นักวิจารณ์จำนวนหนึ่งบอกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ล้มเหลว (USA : The Failed State)

การพังทลายของตลาด Nasdaq ในปี 2000 คือปัญหาของอเมริกาและของโลก การพังทลายของตลาด Nasdaq ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐพังทลายตามมา ส่งผลให้นักลงทุนไม่ถือเงินเหรียญสหรัฐ ทำให้เงินไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้เอกชนของอเมริกาล้มลงทั่วประเทศ ทำให้เกิดหนี้เสีย ทำให้คนตกงานมาก การที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เป็นตัวชี้บอกว่าเงินเฟ้อของอเมริกาและของโลกสูงขึ้น

ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายหลังปี 2000 หรือหลังการพังทลายของตลาด Nasdaq ในปี 2000 ภาพนี้แสดงให้เห็นว่าค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย เมื่อเทียบกับเงินยูโร (Euro/USD) มีค่าลดลงรุนแรงต่ำสุด ติดลบ 48 เปอร์เซ็นต์ ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหายเมื่อเทียบกับเงินทุกสกุล ไม่ว่าเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทของไทย หรือเงินหยวนของจีน

อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น การพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทุกชนิดรวมทั้งราคาน้ำมันล้วนสูงขึ้น เป็นตัวแสดงว่าเงินเฟ้อของประเทศสหรัฐอเมริกาและโลกสูงขึ้น เป็นที่มาของความเดือดร้อนของคนอเมริกันและคนทั่วโลก มีการเดินขบวนและประท้วงการที่ราคาน้ำมันสูงขึ้นในหลายประเทศ

ตลาดหุ้นทั่วโลกสูงขึ้นแรง ภาพแสดงให้เห็นว่าเงินที่ไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ไปซื้อทุกสิ่งทุกอย่างนอกอเมริกา ราคาหุ้นทั่วโลก (G92-index) เริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ปี 2001-2002 หรือการพังทลายของตลาด Nasdaq และค่าเงินเหรียญสหรัฐ

Hedge Fund สวมรอยดันให้ขึ้นแรงไปจนถึงปลายปี 2007 แล้วจึงทุบให้พังทลายลงในปี 2008 ที่รู้กันในชื่อ Hamburger crisis

การสูงขึ้นของเงินหยวนของจีน เงินหยวนของจีนได้ผูกค่าไว้กับค่าเงินเหรียญสหรัฐมาก่อนปี 2000 เงินเหรียญสหรัฐอ่อนตามความเป็นจริง (เนื่องจากตลาด Nasdaq พังทลาย) แต่ค่าเงินหยวนอ่อนผิดจริง หรือราคาถูกกว่าความเป็นจริง (ความจริงจะต้องแข็ง)

บรรดา Hedge Fund ที่เข้าใจในเรื่องนี้ ได้โอกาสดีที่สุดในโลก เข้าไปไล่เก็บเงินหยวน เขาใช้เวลาเก็บเงินหยวนกว่า 4 ปี ทางการจีนจึงยอมแพ้ ยอมให้เงินหยวนลอยค่าขึ้น บรรดา Hedge Fund ซื้อหยวนได้ที่ราคาต่ำอย่างมาก ทุกวันนี้เขามีกำไรจากการเข้าซื้อเก็บเงินหยวนนั้น

ถ้าไม่มีการผูกค่าเงินหยวนไว้ เงินหยวนก็จะแข็งค่าขึ้นตามแนว AB เหมือนกับค่าสกุลเงินต่างๆ ของโลก

ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทางประเทศสหรัฐอเมริการวมทั้งวุฒิสมาชิกอเมริกันออกมาตำหนิว่าจีนคงนโยบายอ่อนค่าเงินหยวน ทำให้สินค้านำเข้าจากประเทศจีนท่วมท้นประเทศสหรัฐอเมริกา

เป็นความเข้าใจผิดของประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างมาก การอ่อนค่าผิดจริงของเงินหยวนมีต้นเหตุมาจากการพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐในช่วงต้นนั่นเอง ได้มีการผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงินเหรียญสหรัฐ จึงทำให้เงินหยวนมีค่าอ่อนผิดจริง มันไม่ใช่ความบกพร่องของประเทศจีนแต่อย่างใด

ถ้าจะพิจารณาความผิดพลาดของประเทศจีน อยู่ที่จีนปกป้องค่าเงินหยวนไว้โดยขาดความเข้าใจเช่นเดียวกัน ทำให้ Hedge Fund ได้กำไรจากการเก็บเงินหยวนอย่างเป็นกอบเป็นกำ

แต่การที่หยวนแข็งค่าขึ้น เกิดการลอยค่าเงินหยวน หาใช่รัฐบาลจีนยอมทำตามการวิจารณ์ของรัฐบาลสหรัฐฯ แต่อย่างใด เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นการปฏิบัติการของบรรดา Hedge Fund โลกต่างหาก

ผลจากการพังทลายของเงินเหรียญสหรัฐ และมีการผูกค่าเงินหยวนไว้ ทำให้เงินหยวนค่าอ่อนผิดจริง ทำให้ Hedge Funds เข้ามาไล่เก็บเงินหยวนของจีน ส่งผลให้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของประเทศจีนสูงขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลก เมื่อก่อนนี้ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงสุดอันดับ 1 เป็นของญี่ปุ่น ปี 2004 2005 ทุนสำรองฯของประเทศญี่ปุ่นยังอยู่สูงกว่าของประเทศจีน เริ่มตั้งแต่ปี 2006 ทุนสำรองฯ ของจีนขึ้นเป็นอันดับ 1 ของโลก ปี 2011 ทุนสำรองฯ ของจีนสูงถึง 3..236 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทุนสำรองฯ ของจีนสูงมาก แสดงให้เห็นว่าสภาพคล่องของประเทศจีนสูงมาก หรือเงินท่วมประเทศจีน มันก็เป็นปัญหาของประเทศจีนเช่นกัน

เหตุการณ์ยังไม่จบ ยังดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ที่ต้องติดตามความเป็นไปทางเศรษฐกิจของประเทศจีนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

หลังจาก Hedge Fund ได้รับชัยชนะจากการไล่ซื้อหยวน (โจมตีหยวน) แล้ว ก็มาไล่ซื้อหุ้นจีน จะเห็นว่าตลาดหุ้นจีนเริ่มขึ้นเมื่อกลางปี 2005 ก่อนหน้านี้จะมีการกดราคาหุ้นให้ต่ำไว้เป็นเวลานานกว่า 4 ปี หากไม่มีการผูกค่าเงินหยวนไว้ ตลาดหุ้นจีนจะต้องขึ้นตามแนว AB เหมือนกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก (G92-index)

แล้วตลาดหุ้นจีนก็มาพังทลายลงในปี 2008 ในเวลาเดียวกันกับการพังทลายของตลาดหุ้นทั้งโลก (G92-index)

ในการโต้คารมระหว่างนายบารัก โอบามากับนายมิตต์ รอมนีย์ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2555 นายรอมนีย์กล่าว่า ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนเป็น “Silence Trade War”

ดูๆ ไปก็เหมือนสงคราม แต่จากข้อมูลที่นำเสนอมาข้างต้น

มีคำถามว่า มันเป็นความจงใจที่จะก่อสงครามทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศสหรัฐอเมริกากับประเทศจีนหรือ? หรือว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กันแน่

มันเกิดจากการพังทลายของตลาด Nasdaq ในปี 2000 ในเบื้องต้น ที่ทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสียหาย แล้วเงินเหรียญสหรัฐไหลออกจากประเทศสหรัฐอเมริกา มาซื้อเงินหยวนของจีน ทำให้ค่าเงินของประเทศจีนสูงขึ้น ทำให้ทุนสำรองของประเทศจีนสูงขึ้นมาเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ทำให้มาซื้อหุ้นของจีน ทำให้ตลาดหุ้นจีนสูงขึ้น

เงินหยวนที่อ่อนผิดจริง ทำให้สินค้านำเข้าจากจีนท่วมประเทศสหรัฐอเมริกา

มันไม่ใช่สงครามแบบที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ว่าเป็นสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มันเลวร้ายกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มันเป็นสงครามของความไม่รู้ เป็นสงครามแห่งอวิชชา มันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับอเมริกากับจีนเท่านั้น มันเกิดกับทุกประเทศทั่วโลก

มันคือความพ่ายแพ้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ของประเทศจีน และของทุกประเทศทั่วโลก พ่ายแพ้ต่อ Hedge Funds

***********
https://www.facebook.com/suthipong.prachayapruit

http://twitter.com/indexthai2

indexthai2@gmail.com
กำลังโหลดความคิดเห็น