ข่าวการประมูลคลื่นความถี่ในระบบโทรศัพท์มือถือรุ่นที่ 3 หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “ระบบ 3G” ซึ่งเปรียบเสมือนอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนระบบมือถือ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้สร้างความรู้สึกที่ผิดหวังให้กับสังคมไทยอย่างรุนแรง
ผมพยายามนึกถึงคำศัพท์ที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในที่สุดก็ไปพบคำว่า “โศกนาฏกรรม” และ “tragedy” หลังจากประมวลความหมายแล้วผมสรุปออกมาได้ความว่า
“โศกนาฏกรรม (tragedy)” เป็นคำที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ในละครหรือวรรณกรรมในเวลาที่ต่างกัน แต่ในที่สุดก็จบลงด้วยความเศร้าหรือไม่สมหวัง ตัวเอกในเรื่องมักจะตายในที่สุด
เฮ้ย! ตัวเอกในเรื่องมักจะตายในที่สุด
นั่นมันในละครหรือวรรณกรรม (นี่หว่า) แต่ในเรื่องจริงนี้ผู้ที่ไม่สมหวังคือประชาชน และเป็นตัวเอกในเรื่องเสียด้วย ประชาชนจะตายได้อย่างไรกัน
ชีวิตจริงต่างจากละครก็ตรงที่ ประชาชนของประเทศตายไม่ได้ ไม่มีประชาชนก็เป็นประเทศไม่ได้ ดังนั้น หน้าที่ของประชาชนคือการเรียนรู้แล้วสรุปเป็นบทเรียนเพื่อ “reset” หรือจัดระเบียบประเทศไทยกันใหม่ในทุกด้าน
ผมเองไม่ได้ติดตามรายละเอียดในการประมูล 3G มากนัก ไม่รู้ขั้นตอน ไม่รู้เทคนิคอะไรทั้งนั้น แต่ผมรับรู้ว่าเหตุผลที่คณะกรรมการจัดประมูลระบบ 3G นำมาอ้างนั้น ช่างเหมือนกันกับเหตุผลในการให้สัมปทานแหล่งปิโตรเลียมที่มีมูลค่านับหลายล้านล้านบาทเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วเปี๊ยบเลย
นั่นคือเหตุผลที่ว่า ถ้าตั้งราคาประมูลขั้นต้นไว้ในราคาสูง เกรงจะไม่มีใครมาประมูล เกรงว่าภาระจะไปตกกับผู้บริโภค และหากจะมีการเลื่อนการประมูลออกไปตามที่มีผู้เรียกร้องก็จะเกิดความเสียหายต่อการพัฒนาประเทศเสียหายต่อประชาชน อะไรทำนองนั้น พร้อมมีตัวเลขให้ดูชวนเวียนหัวนี่คือสาระที่ผมสรุปได้จากรณีการประมูล 3G
คราวนี้มาถึงการประมูลสัมปทานปิโตรเลียมบ้าง แต่เพื่อความเข้าใจ ผมขอลำดับเหตุการณ์โดยย่อดังนี้ก่อน
เดิมที (2514-2524) ผลประโยชน์ที่ประเทศได้รับจากการให้สัมปทานคือ (1) ค่าภาคหลวง 12.5% ของมูลค่าปิโตรเลียมและ (2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (50-60% ของกำไรสุทธิหรือของมูลค่าปิโตรเลียมหักด้วยค่าภาคหลวงและหักด้วยค่าลงทุนหรือค่าใช้จ่าย แต่เก็บภาษีจริงที่ 50% มาตลอด) ระบบนี้เรียกย่อๆ ว่า Thailand I
ต่อมา (2525-2531) ได้มีการเพิ่มเงื่อนไขไปอีก 2 ข้อ คือ (1) ค่าใช้จ่ายที่หักได้ต้องไม่เกิน 20% ของมูลค่าปิโตรเลียม (คิดแบบเดียวกับประเทศมาเลเซีย) และ (2) โบนัสรายปีในอัตราก้าวหน้า (ไม่ขอกล่าวรายละเอียด) ระบบนี้เรียกย่อๆ ว่า Thailand II
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่เหมือนกับเหตุผลของการประมูล 3G ในการยกเลิกระบบ Thailand II ผมลอกมาเลยครับ “หากประเทศไทยยังเชิญชวนเอกชนให้มาลงทุนภายใต้เงื่อนไขของระบบ Thailand II ต่อไป ก็คงไม่มีผู้สนใจมาขอสัมปทาน ทั้งจะส่งผลให้นโยบายการเร่งรัดการสำรวจและผลิตขาดความต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีความคิดที่จะแก้ไขปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ของรัฐ” (จากรายงานประจำปี 2554 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ หน้า 34)
แล้วในปี 2532 ก็แก้ไขกฎหมายเดิม คือยกเลิก Thailand I แล้วจึงมี Thailand III ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (แต่ไม่ขอลงรายละเอียด ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปจาก Thailand I คือ ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ)
ถ้าอยากทราบว่าการยกเลิกระบบ Thailand II โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ยกเลิกเพดานค่าใช้จ่ายของบริษัทรับสัมปทานแล้วเกิดความเสียหายอย่างไร ลองพิจารณาข้อมูลจากตารางข้างล่างนี้ครับ
ตารางนี้เป็นมูลค่าปิโตรเลียมและรายการต่างๆ จากการสัมปทานในปี 2553-2554
ที่มา คำนวณจากรายงานประจำปี 2554 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
จากตารางดังกล่าว เราจะเห็นได้ทันทีว่า บริษัทผู้รับสัมปทานได้หักค่าใช้จ่ายไปในอัตรา 37.34% และ 34.36% ของมูลค่าปิโตรเลียมในปี 2553 และ 2554
แม้ว่าจะมีกฎเกณฑ์มากมายในการอนุญาตให้หักรายจ่ายได้ตามที่เป็นจริงและจำเป็น แต่ไม่พบว่ามีเพดานจำกัดไว้เลย ในขณะที่ประเทศมาเลเซียกำหนดว่า “ผู้ลงทุนสามารถหักค่าใช้จ่ายในการลงทุนแต่ละปีได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าผลผลิต ค่าใช้จ่ายที่หักไม่หมดให้ทบในปีต่อไปได้”
ผมลองกดเครื่องคิดเลขดูพบว่า ถ้ามีการกำหนดค่าใช้จ่ายแบบประเทศมาเลเซีย ต้นทุนของบริษัทในปี 2553 จะลดลงไปถึงกว่า 6 หมื่นล้านบาท มากกว่าค่าภาคหลวงเสียอีก
การอนุญาตให้บริษัทเบิกค่าใช้จ่ายได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนก็ไม่ต่างอะไรกับการเซ็นเช็คว่างแล้วให้ผู้ถือเติมตัวเลขเอาเอง ใจถึงจริงๆ!
นอกจากไม่มีการกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้บริษัทยังได้รับผลประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้อีก 8 ปี
อีกประเด็นหนึ่งที่กระทรวงพลังงานมักอ้างว่าผู้รับสัมปทานได้รับผลประโยชน์น้อย โดยอิงอยู่กับวิธีคิดที่ถูก “ผู้เชี่ยวชาญ” หลอกให้หลงกลและดีใจเล่น
ลองมาดูวิธีคิดกำไรขาดทุนที่เป็นวิชาเลขคณิตเบื้องต้นดูซิว่าจะเป็นอย่างไร
ในปี 2553 บริษัทรับสัมปทานลงทุน 136,545 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 99,883 ล้านบาท นั่นคือกำไรสุทธิร้อยละ 73.15 ของทุนที่ลงไป ทำนองเดียวกัน ปี 2554 บริษัทมีกำไรสุทธิถึงร้อยละ 96.6
คำถามก็คือมีธุรกิจใดบ้างมีกำไรสุทธิในอัตราที่สูงขนาดนี้บ้าง นอกจากสามารถเรียกทุนคืนได้หมดในปีเดียวแล้วยังมีกำไรเหลืออีก 73-96% ของเงินลงทุน
อ้อ! อาจจะมีนะคืออาชีพค้ายาเสพติดกับอาชีพนักการเมือง (ในประเทศไทยยุคหลังๆ)
เป็นโศกนาฏกรรมไหมครับ
แต่อย่างที่ว่าแล้วครับ ประชาชนจะมัวแต่ผิดหวังไม่ได้ ประชาชนไม่มีวันตาย ประชาชนตายก็ไม่เป็นประเทศ
จึงต้อง reset ประเทศไทย แต่ไม่ใช่ restart ที่แค่เริ่มต้นใหม่โดยไม่ทำอะไรอื่นเลย แต่ต้อง reset ต้องเป็นการจัดระเบียบประเทศไทยกันใหม่ในทุกด้านและพร้อมๆ กันด้วย
ผมพยายามนึกถึงคำศัพท์ที่จะใช้อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าว ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ในที่สุดก็ไปพบคำว่า “โศกนาฏกรรม” และ “tragedy” หลังจากประมวลความหมายแล้วผมสรุปออกมาได้ความว่า
“โศกนาฏกรรม (tragedy)” เป็นคำที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ในละครหรือวรรณกรรมในเวลาที่ต่างกัน แต่ในที่สุดก็จบลงด้วยความเศร้าหรือไม่สมหวัง ตัวเอกในเรื่องมักจะตายในที่สุด
เฮ้ย! ตัวเอกในเรื่องมักจะตายในที่สุด
นั่นมันในละครหรือวรรณกรรม (นี่หว่า) แต่ในเรื่องจริงนี้ผู้ที่ไม่สมหวังคือประชาชน และเป็นตัวเอกในเรื่องเสียด้วย ประชาชนจะตายได้อย่างไรกัน
ชีวิตจริงต่างจากละครก็ตรงที่ ประชาชนของประเทศตายไม่ได้ ไม่มีประชาชนก็เป็นประเทศไม่ได้ ดังนั้น หน้าที่ของประชาชนคือการเรียนรู้แล้วสรุปเป็นบทเรียนเพื่อ “reset” หรือจัดระเบียบประเทศไทยกันใหม่ในทุกด้าน
ผมเองไม่ได้ติดตามรายละเอียดในการประมูล 3G มากนัก ไม่รู้ขั้นตอน ไม่รู้เทคนิคอะไรทั้งนั้น แต่ผมรับรู้ว่าเหตุผลที่คณะกรรมการจัดประมูลระบบ 3G นำมาอ้างนั้น ช่างเหมือนกันกับเหตุผลในการให้สัมปทานแหล่งปิโตรเลียมที่มีมูลค่านับหลายล้านล้านบาทเมื่อ 20 กว่าปีมาแล้วเปี๊ยบเลย
นั่นคือเหตุผลที่ว่า ถ้าตั้งราคาประมูลขั้นต้นไว้ในราคาสูง เกรงจะไม่มีใครมาประมูล เกรงว่าภาระจะไปตกกับผู้บริโภค และหากจะมีการเลื่อนการประมูลออกไปตามที่มีผู้เรียกร้องก็จะเกิดความเสียหายต่อการพัฒนาประเทศเสียหายต่อประชาชน อะไรทำนองนั้น พร้อมมีตัวเลขให้ดูชวนเวียนหัวนี่คือสาระที่ผมสรุปได้จากรณีการประมูล 3G
คราวนี้มาถึงการประมูลสัมปทานปิโตรเลียมบ้าง แต่เพื่อความเข้าใจ ผมขอลำดับเหตุการณ์โดยย่อดังนี้ก่อน
เดิมที (2514-2524) ผลประโยชน์ที่ประเทศได้รับจากการให้สัมปทานคือ (1) ค่าภาคหลวง 12.5% ของมูลค่าปิโตรเลียมและ (2) ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม (50-60% ของกำไรสุทธิหรือของมูลค่าปิโตรเลียมหักด้วยค่าภาคหลวงและหักด้วยค่าลงทุนหรือค่าใช้จ่าย แต่เก็บภาษีจริงที่ 50% มาตลอด) ระบบนี้เรียกย่อๆ ว่า Thailand I
ต่อมา (2525-2531) ได้มีการเพิ่มเงื่อนไขไปอีก 2 ข้อ คือ (1) ค่าใช้จ่ายที่หักได้ต้องไม่เกิน 20% ของมูลค่าปิโตรเลียม (คิดแบบเดียวกับประเทศมาเลเซีย) และ (2) โบนัสรายปีในอัตราก้าวหน้า (ไม่ขอกล่าวรายละเอียด) ระบบนี้เรียกย่อๆ ว่า Thailand II
ต่อไปนี้เป็นเหตุผลที่เหมือนกับเหตุผลของการประมูล 3G ในการยกเลิกระบบ Thailand II ผมลอกมาเลยครับ “หากประเทศไทยยังเชิญชวนเอกชนให้มาลงทุนภายใต้เงื่อนไขของระบบ Thailand II ต่อไป ก็คงไม่มีผู้สนใจมาขอสัมปทาน ทั้งจะส่งผลให้นโยบายการเร่งรัดการสำรวจและผลิตขาดความต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีความคิดที่จะแก้ไขปรับปรุงระบบการจัดเก็บรายได้ของรัฐ” (จากรายงานประจำปี 2554 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ หน้า 34)
แล้วในปี 2532 ก็แก้ไขกฎหมายเดิม คือยกเลิก Thailand I แล้วจึงมี Thailand III ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน (แต่ไม่ขอลงรายละเอียด ส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปจาก Thailand I คือ ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ)
ถ้าอยากทราบว่าการยกเลิกระบบ Thailand II โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ยกเลิกเพดานค่าใช้จ่ายของบริษัทรับสัมปทานแล้วเกิดความเสียหายอย่างไร ลองพิจารณาข้อมูลจากตารางข้างล่างนี้ครับ
ตารางนี้เป็นมูลค่าปิโตรเลียมและรายการต่างๆ จากการสัมปทานในปี 2553-2554
รายการ(ล้านบาท) | ปี 2553 | ร้อยละของ(1) | ปี 2554 | ร้อยละของ(1) |
(1)มูลค่าปิโตรเลียม | 365,650 | 100.00 | 421,627 | 100.00 |
(2)ค่าภาคหลวง | 44,536 | 12.20 | 51,044 | 12.11 |
(3)เงินลงทุน | 136,545 | 37.34 | 144,878 | 34.36 |
(4)ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม | 81,240 | 22.22 | 81,778 | 19.40 |
(5)ผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษ | 3,389 | 0.93 | 3,986 | 0.95 |
ที่มา คำนวณจากรายงานประจำปี 2554 กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน
จากตารางดังกล่าว เราจะเห็นได้ทันทีว่า บริษัทผู้รับสัมปทานได้หักค่าใช้จ่ายไปในอัตรา 37.34% และ 34.36% ของมูลค่าปิโตรเลียมในปี 2553 และ 2554
แม้ว่าจะมีกฎเกณฑ์มากมายในการอนุญาตให้หักรายจ่ายได้ตามที่เป็นจริงและจำเป็น แต่ไม่พบว่ามีเพดานจำกัดไว้เลย ในขณะที่ประเทศมาเลเซียกำหนดว่า “ผู้ลงทุนสามารถหักค่าใช้จ่ายในการลงทุนแต่ละปีได้ไม่เกินร้อยละ 20 ของมูลค่าผลผลิต ค่าใช้จ่ายที่หักไม่หมดให้ทบในปีต่อไปได้”
ผมลองกดเครื่องคิดเลขดูพบว่า ถ้ามีการกำหนดค่าใช้จ่ายแบบประเทศมาเลเซีย ต้นทุนของบริษัทในปี 2553 จะลดลงไปถึงกว่า 6 หมื่นล้านบาท มากกว่าค่าภาคหลวงเสียอีก
การอนุญาตให้บริษัทเบิกค่าใช้จ่ายได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวนก็ไม่ต่างอะไรกับการเซ็นเช็คว่างแล้วให้ผู้ถือเติมตัวเลขเอาเอง ใจถึงจริงๆ!
นอกจากไม่มีการกำหนดเพดานค่าใช้จ่ายแล้ว ยังสามารถนำเข้าอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ โดยไม่ต้องเสียภาษีอากรและภาษีมูลค่าเพิ่มอีกด้วย นอกจากนี้บริษัทยังได้รับผลประโยชน์จากการส่งเสริมการลงทุนทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้อีก 8 ปี
อีกประเด็นหนึ่งที่กระทรวงพลังงานมักอ้างว่าผู้รับสัมปทานได้รับผลประโยชน์น้อย โดยอิงอยู่กับวิธีคิดที่ถูก “ผู้เชี่ยวชาญ” หลอกให้หลงกลและดีใจเล่น
ลองมาดูวิธีคิดกำไรขาดทุนที่เป็นวิชาเลขคณิตเบื้องต้นดูซิว่าจะเป็นอย่างไร
ในปี 2553 บริษัทรับสัมปทานลงทุน 136,545 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 99,883 ล้านบาท นั่นคือกำไรสุทธิร้อยละ 73.15 ของทุนที่ลงไป ทำนองเดียวกัน ปี 2554 บริษัทมีกำไรสุทธิถึงร้อยละ 96.6
คำถามก็คือมีธุรกิจใดบ้างมีกำไรสุทธิในอัตราที่สูงขนาดนี้บ้าง นอกจากสามารถเรียกทุนคืนได้หมดในปีเดียวแล้วยังมีกำไรเหลืออีก 73-96% ของเงินลงทุน
อ้อ! อาจจะมีนะคืออาชีพค้ายาเสพติดกับอาชีพนักการเมือง (ในประเทศไทยยุคหลังๆ)
เป็นโศกนาฏกรรมไหมครับ
แต่อย่างที่ว่าแล้วครับ ประชาชนจะมัวแต่ผิดหวังไม่ได้ ประชาชนไม่มีวันตาย ประชาชนตายก็ไม่เป็นประเทศ
จึงต้อง reset ประเทศไทย แต่ไม่ใช่ restart ที่แค่เริ่มต้นใหม่โดยไม่ทำอะไรอื่นเลย แต่ต้อง reset ต้องเป็นการจัดระเบียบประเทศไทยกันใหม่ในทุกด้านและพร้อมๆ กันด้วย