xs
xsm
sm
md
lg

ปชป.ดัดหลัง“เด็จพี่”-มั่ว!ลายเซ็นแม้ว-มอบอำนาจแจ้งความ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ปชป.ดัดหลัง “เด็จพี่-ตร.” บุกสน.ขอตรวจหลักฐาน "มอบอำนาจ" ที่ได้รับจาก "นช.ทักษิณ" เรื่องฟ้องหมิ่นประมาท หวั่นเป็นเอกสารเท็จ ชี้ถ้าเป็นเอกสารมอบอำนาจจริง เดินทางไปพบเมื่อไหร่ และตำรวจที่รับแจ้งความสอบถามหรือไม่ว่าอยู่ที่ไหน เหตุมีหมายจับคาอยู่ ฉะ "ธาริต"ลดรางวัล10 ล้านเหลือ 1 ล้าน

วานนี้(18 ต.ค.55) นายกรณ์ จาติกวนิช รองหัวหน้าพรรค พร้อมนายสาธิต ปิตุเตชะ ส.ส.ระยอง พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันแถลงข่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบให้นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ รักษาการโฆษกพรรคเพื่อไทย ไปดำเนินการฟ้องดำเนินคดีต่อแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี ปราศรัยกล่าวหาพ.ต.ท.ทักษิณ เกี่ยวข้องกับชายชุดดำ

โดยนายสาธิต กล่าวว่า ตนและนายกรณ์ จะเดินทางไปยังสน.ลุมพินี เพื่อขอตรวจสอบเอกสารที่นายพร้อมพงศ์ ระบุว่าได้รับมอบอำนาจจากพ.ต.ท.ทักษิณใช้ฟ้องพวกตนนั้น เป็นลายเซ็นของพ.ต.ท.ทักษิณจริงหรือไม่ ทั้งนี้ ข้อตั้งสังเกตว่า 1.สมมุติว่ามีการมอบอำนาจจริงก็ต้องถามนายพร้อมพงศ์ ว่าหลังจากวันที่ 13 ต.ค. จนถึงวันที่มีการฟ้องร้อง ได้เดินทางไปพบพ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่

ทั้งนี้ หากมีการพบแล้วพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องเซ็นชื่อมอบอำนาจ จะทำให้นายพร้อมพงศ์ เข้าข่ายผิดประมวลกฎหมายจริยธรรมของสภาผู้แทนราษฎร และ 2.หากนายพร้อมพงศ์ ไปพบจริงก็ต้องทราบแหล่งที่พำนักของพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น ได้แจ้งอยู่ของพ.ต.ท.ทักษิณ ต่อพนักงานสอบสวนหรือไม่

ขณะที่นายกรณ์ กล่าวว่า หากนายพร้องพงศ์ ไม่ได้ไปพบพ.ต.ท.ทักษิณจริง เอกสารที่มีการมอบฉันทะ จะเป็นลายเซ็นปลอม ทำให้ดำเนินคดีกับพวกตนไม่ได้ และหากไม่ได้มีการมอบอำนาจมาจริง นายพร้อมพงศ์จะต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาใช้เอกสารเท็จ และพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องถูกดำเนินคดีในข้อหาสมรู้ร่วมคิดด้วย

**จับผิดเด็จพี่ปลอมลายเซ็น"แม้ว"

เวลา 14.00 น. ที่สน.ลุมพินี คณะส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.รังสรรค์ ประดิษฐ์ผล ผกก.สน.ลุมพินี เพื่อขอตรวจสอบข้อเท็จจริงของเอกสารการแจ้งความว่า มีการเซ็นมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างถูกต้องหรือไม่ โดย พ.ต.อ.รังสรรค์ ใช้เวลาชี้แจงประมาณ 30 นาที

พ.ต.อ.รังสรรค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ได้รายงานผู้บังคับบัญชาไปตามขั้นตอนแล้ว โดยอาจจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหานั้นเป็น ส.ส. ซึ่งทางบก.น.5 จะเป็นผู้พิจารณาเพื่อให้การทำงานนั้นรัดกุมมาที่สุด โดยขั้นตอนหลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสารหลักฐานการแจ้งความอยู่ว่ามีการมอบอำนาจอย่างถูกต้องหรือไม่ ผู้มอบเอกสารให้มาแจ้งความเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงหรือไม่ หากเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงก็จะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า ผู้ถูกกล่าวหานั้นกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ หากมีความผิดก็จะออกหมายเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

**แฉ DSIตั้งรางวัลนำจับ 10 ล้านบาท

ส่วนที่รัฐสภา นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อดีตกรรมาธิการ (กมธ.)พิจาณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2556 กล่าวกรณีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตั้งรางวัลเงินนำจับชายชุดดำ 1 ล้านบาท ว่า ตรงนี้ต้องขอขอบคุณนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษที่ได้ตั้งรางวัลนำจับตามข้อเสนอของนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในระหว่างการเข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.งบประมาณปี56 แต่ในวันนั้นนายนายธาริตได้บอกต่อกมธ.ว่าจะตั้งวงเงินรางวัลนำจับอยู่ที่ 10 ล้านบาท ไม่ใช่ 1 ล้านบาท จึงอยากถามว่าเหตุใดวงเงินถึงได้ลดลงมามากขนาดนี้ แล้วจะคุ้มค่ากับการเสี่ยงชีวิตหรือไม่

นอกจากนี้คณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชนและการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร ก็ยุติสอบสวนคดีชายชุดดำเพื่อความสบายใจของส.ส.พรรคเพื่อไทย

**ซัดธาริตแก้เกี้ยวข้อครหาสอบเสื้อแดง

นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ในฐานะอดีตเลขานุการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) กล่าวว่า แม้จะมีการตั้งค่าหัวชายชุดดำคนละ 1 ล้านบาทใน 7 คดี แต่ตนก็คิดว่าจะจับชายชุดดำไม่ได้เพราะเรื่องผ่านมาเป็นเวลานานแล้ว ขณะเดียวกันแม้ผลการสืบสวนสอบสวนอาจจะใช้พิสูจน์ได้ว่า เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐหรือคนอื่นๆ แต่เราก็ทราบเพียงวิถีกระสุนว่า ออกมาจากบริเวณไหน แต่ไม่เคยมีใครได้เห็นหรือจับภาพได้ว่า บุคคลใดเป็นคนลงมือยิงจนผู้ชุมนุมหรือเจ้าหน้าที่เสียชีวิต ซึ่งเมื่อไม่มีหลักฐานว่า ใครเป็นคนลงมือกระทำ ก็ไม่สามารถเอาผิดผู้ออกคำสั่งได้ ตนคิดว่าการออกมาแสดงท่าทีของครั้งนี้ของดีเอสไอ อาจจะได้รับคำสั่งจากคนใดคนหนึ่งในรัฐบาลเพื่อเป็นแก้เกี้ยวข้อครหาที่ไต่สวนแต่คดีกลุ่มคนเสื้อแดง

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ เปิดเผยถึงกรณีการตั้งรางวัลนำจับชายชุดดำ รายละ 1 ล้านบาท ว่า จากการแถลงข่าวเมื่อวานที่ผ่านมา ทางสื่อมวลชนได้เข้าใจคลาดเคลื่อน กรณีการตั้งรางวัลนำจับคนร้าย โดยนำเสนอไปว่า เป็นการตั้งรางวัลนำจับชายชุดดำ ซึ่งอันที่จริง เป็นการตั้งรางวัลสำหรับผู้ที่แจ้งเบาะแสจนนำไปสู่การจับกุมคนร้าย และคลี่คลายคดีใน 7 คดีสำคัญ จึงขอชี้แจงให้สื่อมวลชน และประชาชน มีความเข้าใจตรงกันว่า การตั้งรางวัลนำจับ 1 ล้านบาท นั้น มิใช่รางวัลนำจับชายชุดดำ

**สว.จี้ดีเอสไอหาผู้บงการชายชุดดำ

นายสมชาย แสวงการ สว.สรรหา กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวของดีเอสไอเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ก็ควรเร่งดำเนินการกับชายชุดดำที่ถูกจับกุมอยู่ด้วยการขยายผลสอบสวนเพิ่มเติม อย่างเช่น นายสุรชัย หรือ หรั่ง เทวารักษ์ คนสนิทของพล.อ.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง สารภาพว่ายิงลูกระเบิดเอ็ม79 ยิงใส่สถานที่ต่างๆ ดังนั้น ดีเอสไอควรขยายผลเพิ่มเติมจากตรงนี้เพื่อหาใครเป็นผู้สั่งการ ไม่ใช่คิดแค่จะตั้งค่าหัวเท่านั้น

"ดีเอสไอมีหมายจับบุคคลที่ก่อเหตุความรุนแรงในเหตุการณ์ 10 เม.ย.2553 จำนวนมาก มีหลักฐานชัดเจนว่ากระทำการในลักษณะใดบ้าง ทำไมดีเอสไอไม่เร่งขยายผลจับกุมมาดำเนินคดี รวมทั้งเรียกผู้จัดการการชุมนุมมาสอบสวน ไม่ว่าจะเป็น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเสื้อแดง นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง”

**“เฉลิม” ดีใจชายชุดดำหัวละล้าน

ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าถือเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนที่สนใจและหากรู้เบาะแสจะได้แจ้งข้อมูลไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการจับกุมซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี

ส่วนการตั้งค่าหัวแบบนี้แสดงว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับกุมได้เองหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า การทำงานของเจ้าหน้าที่บางครั้งต้องรับฟังข้อมูลจากประชาชนและหากได้รับให้ความร่วมมือจากประชาชนก็ทำให้การทำงานง่ายขึ้น

ส่วนทำให้สามารถจับชายชุดดำได้เร็วขึ้นหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ชายชุดดำมีจริงหรือไม่ตนไม่ทราบเพราะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ แต่ถึงแม้จะมีชายชุดดำอยู่จริงก็ไม่ใช่เหตุผลว่าต้องมีคนตายถึง 98 ศพ มันเป็นคนละเรื่องคนละประเด็น

**คุก 2 ปี มือพ่นป้ายอนุสาวรีย์ปชต.

ที่ห้องพิจารณา 613 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.3460 /53 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายมนัส เดชเสน่ห์ อายุ 53 ปี ปี อดีตผู้สมัคร ส.ส. สุราษฎร์ธานี พรรคความหวังใหม่ กระทำผิดกฎหมายโดยการใช้สีสเปรย์ ฉีดพ่นทับแผ่นป้ายอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และพื้นทางเดินเท้า ด้วยสีขาวและสีแดง อันเป็นทรัพย์สินของกรุงเทพมหานคร ผู้เสียหาย ที่อยู่ในความครอบครองดูแลของสำนักงานเขตพระนคร รวมมูลค่าเสียหายทั้งสิ้น 45,300 บาท

พิพากษาว่า จำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 360 ลงโทษจำคุก 2 ปี ปรับ 9,000 บาท คำเบิกความของจำเลยที่ยอมรับข้อเท็จจริงบางส่วนเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ปรับ 6,000 บาท แต่โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ให้คุมประพฤติโดยให้จำเลยรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 3 เดือน เป็นเวลา 1 ปี และให้บริการสังคม 24 ชั่วโมง .
กำลังโหลดความคิดเห็น