xs
xsm
sm
md
lg

จากฮิตเลอร์ มุสโสลินี และเปโรนถึงไทย

เผยแพร่:   โดย: ไสว บุญมา

ในประวัติศาสตร์ชาติตะวันตก อะดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เบนิโต มุสโสลินี และ ฮวน เปโรน มีบทบาทสำคัญยิ่ง ทั้งสามคนเข้าสู่อำนาจตามกระบวนการที่มองกันว่าเป็นประชาธิปไตยในเยอรมนี อิตาลี และอาร์เจนตินา ตามลำดับ แต่ต่อมาทั้งสามคนต่างรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเป็นเผด็จการด้วยการใช้กำลังจัดตั้งอันเป็นการทำลายความเป็นประชาธิปไตยตามอุดมการณ์ส่งผลให้ประเทศประสบความหายนะ เยอรมนีและอิตาลีถูกทำลายย่อยยับในการทำสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนอาร์เจนตินาต้องล้มละลายและพัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานมานานจนกระทั่งทุกวันนี้

ฮิตเลอร์ ใช้กองกำลังจัดตั้งเพื่อสนับสนุนพรรคชาตินิยมนาซีที่มีเสื้อสีน้ำตาลเป็นเอกลักษณ์ กำลังจัดตั้งนี้มีที่มาจากการเป็นหน่วยกึ่งทหารที่ตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งแรกยุติและนำกลยุทธ์ของทหารจู่โจมในสมัยก่อนมาใช้โดยการแบ่งภารกิจให้กลุ่มย่อยๆ ทำ

หน้าที่หลักของกองกำลังเสื้อสีน้ำตาลมีด้วยกัน 3 อย่างคือ การให้ความคุ้มกันแก่การประชุมและการชุมนุมปลุกระดมของพรรคนาซี การก่อกวนพรรคการเมืองอื่นและต่อสู้กับกองกำลังจัดตั้งของพรรเหล่านั้น และการข่มขู่และคุกคามชาวยิว อย่างไรก็ตาม หลังฮิตเลอร์ยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ผู้นำจำนวนนับร้อยของกองกำลังเสื้อสีน้ำตาลก็ถูกฆ่าตรงกับคำพังเพยที่ว่า “เสร็จนาฆ่าโคถึก” ทั้งนี้เพราะฮิตเลอร์เห็นว่ากลุ่มกำลังสีน้ำตาลมีกำลังมากเกินไปจนอาจทำให้อำนาจของตนสั่นคลอน

ในขณะเดียวกัน ฮิตเลอร์ก็จัดตั้งกองกำลังคุ้มกันที่ตนไว้เนื้อเชื่อใจได้เต็มร้อยขึ้นมาแทน กองกำลังนั้นเป็นที่จักรู้กันโดยทั่วไปว่าหน่วย SS ซึ่งมีทั้งสาขาที่ออกไปช่วยรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับกองทัพของเยอรมนี และสาขาที่พยายามกำจัดชาวยิวและชนเชื้อชาติอื่นโดยเฉพาะชาวยิวและพวกยิปซีพร้อมกับผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อฮิตเลอร์ สาขานี้สร้างตำนานในด้านความโหดร้ายในการจับขัง ทรมานและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไว้ให้เป็นที่ประจักษ์เนื่องจากมีผู้ได้รับผลกระทบถึงราว 12 ล้านคน กองกำลังจัดตั้งทั้งหมดถูกยกเลิกไปเมื่อเยอรมนีพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2

มุสโสลินี ใช้กองกำลังจัดตั้งเพื่อสนับสนุนกระบวนการทางการเมืองของเขาในพรรคชาติยมสุดขั้วฟาสซิสต์ของอิตาลี กองกำลังอาสาสมัครนี้จัดตั้งขึ้นหลังสงครามโลกครั้งแรกยุติโดยเลียนแบบกองกำลังทหารจู่โจมของอิตาลีซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังในระหว่างสงครามโลกครั้งนั้นและใช้เครื่องแบบสีดำเป็นจุดเด่น ยิ่งมุสโสลินีมีอำนาจมากขึ้นเท่าไร กองกำลังเสื้อสีดำก็ยิ่งกร่างขึ้นเท่านั้น วิชามารที่ใช้เริ่มจากการข่มขู่ผู้ไม่เห็นด้วยไปจนถึงการใช้ความรุนแรงขนาดเอาชีวิตผู้อื่น ยิ่งกว่านั้น กองกำลังนี้ยังมีลักษณะไม่ต่างจากกองทัพอีกด้วยและมีสมาชิกนับได้หลายแสนคนซึ่งถูกส่งเป็นกำลังนับกองพลไปร่วมรบในสมรภูมิต่างๆ จากในเมืองขึ้นของอิตาลีที่เอธิโอเปีย ไปจนถึงสงครามกลางเมืองในสเปนและสงครามโลกครั้งที่ 2 กองกำลังเสื้อดำถูกยุบไปเมื่ออิตาลียอมจำนวนต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อปี 2486

เปโรน เริ่มมีอำนาจทางการเมืองตั้งแต่ครั้งยังเป็นทหารอยู่ในกองทัพเนื่องจากทหารยึดอำนาจและเป็นรัฐบาลเผด็จการหลายครั้งในระหว่างหลังสงครามโลกครั้งแรกและสงครามโลกครั้งที่ 2 ในตอนนั้น เขาสร้างฐานการเมืองจากการส่งเสริมสหภาพแรงงานซึ่งเป็นเสมือนกองกำลังส่วนตัวของเขาตลอดชีวิตการเมือง เปโรนเรียนรู้เรื่องการใช้กองกำลังจัดตั้งเป็นอย่างดีเพราะเขาไปเรียนอยู่ในอิตาลีในระหว่างมุสโสลินีและฮิตเลอร์มีอำนาจและเป็นอาจารย์สอนประวัติศาสตร์การทหารในโรงเรียนทหารของอาร์เจนตินา เขาชนะการเลือกตั้งครั้งแรกในปี 2489 ด้วยการสนับสนุนอย่างท่วมท้นของสมาชิกสหภาพแรงงาน ตอนนั้นเขาลาออกจากตำแหน่งทางทหารแล้ว จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ในการบริหารประเทศของเปโรนคือการต่อยอดนโยบายประชานิยมให้เข้มข้นจนนำไปสู่ความล้มละลายของอาร์เจนตินาและเขาถูกทหารยึดอำนาจหลังจากอยู่ในตำแหน่ง 9 ปี

คงเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อาร์เจนตินาเริ่มใช้นโยบายประชานิยมในระหว่างสงครามโลกครั้งแรก นโยบายนั้นกลายเป็นยาเสพติดกระทั่งทหารที่เข้ามายึดอำนาจก็ยังต้องใช้เพื่อเอาใจประชาชน แต่ในต้อนต้นๆ นโยบายนั้นยังไม่เข้มข้นมากนักและไม่ทำให้อาร์เจนตินาล้มละลายเพราะอาร์เจนตินาขายอาหารได้เงินจำนวนมหาศาลในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทันทีที่เป็นประธานาธิบดี เปโรนก็มีโครงการประชานิยมสารพัดอย่างเพื่อสร้างความนิยมและคงอำนาจของตัวเองไว้โดยเฉพาะการเอาใจฝ่ายแรงงาน ส่วนภรรยาของเขาก็ช่วยสร้างฐานการเมืองจากฝ่ายสภาสตรีและโครงการซื้อใจคนจน ส่วนผู้ที่เปโรนซื้อไม่ได้ หรือไม่เห็นด้วยกับเขาก็ถูกกำจัดแบบไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหมไม่ว่าจะเป็นในกองทัพหรือในสหภาพแรงงานก็ตาม

กระบวนการล้มละลายเกิดจากการใช้เงินแบบสุรุ่ยสุร่ายอย่างสุดๆ เมื่อรายได้ไม่พอก็นำเงินสำรองของชาติจำนวนมหาศาลออกมาใช้ หลังจากนั้นก็กู้ยืมจากต่างประเทศ เมื่อกู้ไม่ได้อีกต่อไปก็ใช้วิธีพิมพ์ธนบัตรเพิ่มจำนวนมาก ภาวะล้มละลายนำไปสู้การยึดอำนาจโดยทหาร แต่เมื่อถึงตอนนั้น รัฐบาลทหารและพลเรือนก็ทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากประคับประคองประเทศไม่ให้แตกสลายออกไปเป็นเสี่ยงๆ เท่านั้น ส่วนฝ่ายที่เคยได้ประโยชน์จากการลดแลกแจกแถมของเปโรนก็เรียกร้องให้เขากลับประเทศ หลังจากเศรษฐกิจและสังคมตกอยู่ในภาวะล้มลุกคลุกคลานอยู่ 18 ปีและไม่มีใครสามารถแก้ได้ เปโรนก็กลับอาร์เจนตินา แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้จนกระทั่งตายในเวลาอีก 9 เดือนต่อมาและภรรยาสืบทอดอำนาจต่อ หลังจากนั้น การแตกแยกและการฆ่าฟันกันเองในอาร์เจนตินาก็เกิดขึ้นจนมีคนตายและสูญหายไปในหลักหมื่น อาร์เจนตินามีสภาพเหมือนประเทศด้อยพัฒนาทั่วไปทั้งที่ในช่วงก่อนเริ่มใช้ประชานิยมได้ก้าวหน้าเกินประเทศเช่นแคนาดาและมีรายได้ในระดับเดียวกับเยอรมนีแล้ว

หากนำเอาวิวัฒนาการในสามประเทศนั้นมาจับเมืองไทยคงได้ผลว่า ไทยเริ่มจากหลังไปหน้า นั่นคือ นำเอานโยบายประชานิยมมาใช้ในแนวเดียวกับอาร์เจนตินาแล้วย้อนกลับไปใช้กองกำลังจัดตั้งเพื่อหวังยึดอำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด นโยบายประชานิยมถูกนำมาใช้ในปี 2544 เพียงเวลาไม่กี่ปีมันได้พิสูจน์ตัวเองแบบปราศจากข้อกังขาแล้วว่ามันเป็นยาเสพติด ผู้ได้ประโยชน์ต้องการได้ต่อไปอีก ผู้ที่ยังไม่ได้ก็ต้องการได้ทำให้คู่ต่อสู้ทางการเมืองหมดทางเลือก ต้องเสนอนโยบายในแนวประชานิยมเช่นกันซึ่งนับวันจะยิ่งเข้มข้น เมื่อการต่อต้านเกิดขึ้นจากผู้คาดการณ์ว่าถ้าปล่อยให้ดำเนินต่อไปเมืองไทยจะล้มละลายเช่นอาร์เจนตินา ผู้มีอำนาจรัฐและอำนาจเงินก็สร้างกองกำลังเสื้อแดงขึ้นมาต่อสู้

กองกำลังเสื้อแดงแข็งแกร่งขึ้นทุกวัน การเผาบ้านเผาเมืองเมื่อปีที่ผ่านๆ มา การทำร้ายผู้ไม่เห็นด้วยที่หน้ากองปราบเมื่อไม่นานมานี้ และการข่มขู่นักวิชาการในมหาวิทยาลัยที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการในด้านการรับจำนำข้าวล้วนเป็นการกระทำในแนวของพวกเสื้อสีน้ำตาลของฮิตเลอร์และเสื้อสีดำของมุสโสลินีทั้งสิ้น ร้ายยิ่งกว่านั้น ยังมีปรากฏการณ์ที่บ่งชี้ว่าจะมีกองกำลังสีกากีที่เป็นองค์กรของรัฐให้การสนับสนุนอีกด้วย กองกำลังสีกากีมีอาวุธได้ไม่ต่างกับกองกำลังกึ่งทหารของฮิตเลอร์และของมุสโสลินี พวกนี้ยังไม่ตระหนักว่าตัวกำลังเป็นขี้ข้าของผู้บ้าอำนาจ เขาได้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเมื่อไร เขาอาจใช้วิธีเด็ดหัวตัวเองแบบฮิตเลอร์และเปโรน

แนวโน้มดังที่เห็นนี้คงบ่งชี้โดยปราศจากข้อกังขาแล้วว่า พวกคนชั่วจะยึดเมืองไทยได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและสามารถล้มล้างทุกอย่างที่เป็นอุปสรรคได้หากคนไทยส่วนใหญ่ยังดูดาย หรือไม่ก็ยังงี่เง่าให้พวกเขาหลอกได้ต่อไปอีก ปีนี้เป็นปีแห่งการชี้ชะตาของชาติไทยในแนวที่โหรทำนายไว้เกี่ยวกับ “วันสิ้นโลก 2012” เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 เดือน คนไทยส่วนใหญ่ที่ยังไมอยากเห็นเมืองไทยตกอยู่ในอุ้งมือโจรผู้บ้าอำนาจจะทำอะไรก็ทำกันเสีย เมื่อปีหน้ามาถึงมันจะสายเกินไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น