xs
xsm
sm
md
lg

หุ้นไทยแพงจัด ฝรั่งเตรียมขาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ยอดซื้อสะสมของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน4.1แสนล้านบาท ใกล้แตะจุดสูงสุดเดิม4.69 แสนล้านบาท หวั่นฝรั่งเตรียมเทขาย ด้านบล.พัฒนสินเชื่อ จากนี้ต่างชาติยังคงซื้อสุทธิอยู่เป็นช่วงๆมูลค่าไม่มาก คาดพ.ย.มีแรงขายออกแน่นอน จากสถิติย้อนหลัง 5 ปี แจง ส่งผลกระทบต่อดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อย เหตุมีแรงรับจากนักลงทุนในประเทศ –เม็ดเงินจากมาตรการคิวอี3 หนุน คาดดัชนีสิ้นปี1.35 พันจุด โบรกฯระบุตอนนี้หุ้นไทยราคาแพงจัด P/E สูง และไม่เสถียร เหตุราคาสะท้อนผลดำเนิงานในปีนี้ไปแล้วและยังรากยาวไปคาดหวังถึงปีหน้าด้วย ทั้งที่ยังมีความเสี่ยงและไม่แน่นอน คาด 1 เดือนจากนี้มีการปรับฐาน รอดูเศรษฐกิจสหรัฐ หากยังไม่ดีเม็ดเงินจะเริ่มไหลเข้าเอเชียในช่วงอีก 2 เดือน

แหล่งข่าวจากวงการตลาดทุนไทย กล่าวว่า ปัจจุบันเม็ดเงินต่างประเทศที่มีการซื้อสุทธิสะสมในหุ้นอยู่ที่4.1 แสนล้านบาท ซึ่งเหลืออีกประมาณ5.5หมื่นล้านบาท ที่ยอดซื้อสะสมของนักลงทุนต่างประเทศจะใกล้ถึงจุดสูงสุดเดิมที่เคยซื้อสะสมอยู่ที่ 4.69 แสนล้านบาท ณ เดือนกรกฎาคม2551 ซึ่งต้องระมัดระวังว่าจะมีแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศจะออกมา เพราะ หลังจากที่มีการยอดซื้อสุทธิสะสมสูงในเดือนกรกฎาคม 2551 นั้น นักลงทุนต่างประเทศมีการเทขายหุ้นไทยออกมาจำนวนมาก

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)พัฒนสิน จำกัด (มหาชน)หรือ CNS เปิดเผยว่า บริษัทเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนต่างประเทศจะยังคงไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค เพราะที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศได้มีการเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากพอสมควรแล้ว และดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแล้ว ซึ่งการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้น เพราะ แรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเป็นหลักจากมองว่าแนวโน้มผลประกอบการจะออกมาดี

สำหรับในเดือนพฤศจิกายนเชื่อว่านักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายหุ้นไทยออกมา เพราะ จากสถิติย้อนหลัง 5 ปีทีผ่านมานั้นนักลงทุนต่างประเทศจะมีการขายสุทธิในเดือนดังกล่าว เพื่อทำกำไร เพราะ เป็นช่วงปลายปีที่กองทุนต่างๆจะมีการปิดงบการลงทุน โดยเชื่อว่าแรงขายนั้นจะมาจากกองทุนที่มีการลงทุนระยะสั้น (เฮดฟันด์) เพราะ ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาซื้อนั้นเป็นกองทุนเฮดฟันด์เป็นส่วนใหญ่ ส่วนกองทุนที่มีการลงทุนระยะยาวนั้นมีไม่มาก

“เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่แต่ไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ เป็นลักษณะเข้ามาเป็นช่วงๆ และตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้นนักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยไม่มาก ยอดซื้อสุทธิ 6.8 หมื่นล้านบาท โดยการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมานั้นเป็นแรงซื้อของนักลงทุนในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งส่วนตัวมองว่าอาจะเป็นเพราะ ที่ผ่านมามีการซื้อสุทธิหุ้นแล้วพอสมควร ซึ่งในเดือนพ.ย.นั้นต้องระวัง เพราะ ในช่วง5 ปีที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมีการขายสุทธิออกมาในเดือนดังกล่าว”นายถนอมศักดิ์ กล่าว

ทั้งนี้ส่วนตัวเชื่อว่าแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศนั้นจะไม่ค่อยมีผลทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลดลงแรง เพราะ เชื่อว่าจะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศเข้ามารับ จากนักลงทุนมีความมั่นใจว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาดีและจากการที่รัฐบาลกลางสหรัฐ (เฟด)มีการออกมาตรการQE3ทำให้เม็ดเงินสภาพคล่องในระบบการเงินมีจำนวนมากที่จะหาแหล่งในการลงทุน และตลาดหุ้นเอเชียมีความน่าสนใจในการเข้ามาลงทุน ซึ่งทางบล.พัฒนสิน มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 1,350 จุด

ด้านนายสิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี กล่าวถึงภาพรวมการขับเคลื่อนของตลาดหุ้นไทย แบ่งเป็นหุ้นกลุ่มพลังงานประมาณ 30-40%:ในไตรมาส4นี้ มองว่าเป็นช่วงขาขึ้นของอุตหสกรรมในกลุ่มนี้ ทั้งจากราคาสเปรดที่ปรับตัวเพิ่ม กำไรจากการสต๊อกน้ำมันในกลุ่มโรงกลั่น และราคาปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้นมา หลังจากไตรมาส 2ปรับตัวลงไป จึงถือได้ว่ากลุ่มพลังงานจะเป็นพระเอกประจำไตรมาสนี้

ขณะเดียวกันดัชนีในไตรมาส4 ยังได้รับแรงเสริมจากกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่คิดเป็น 12% ซึ่งคาดกันว่า ยอดการปล่อยสินเชื่อจะขยายตัวเพิ่มขึ้น และจะช่วยผลักดันให้ผลประกอบการของกลุ่มนี้ดีเกินคาด หลังมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐเริ่มส่งผลออกมาดีนอกจากนี้ไตรมาสดังกล่าว ยังเป็นช่วงไฮซีซันของกลุ่มเฮลธ์แคร์/พาณิชย์และกลุ่มบริการ โดยเฉพาะด้านการเปิดสาขาใหม่ ทำให้เชื่อว่าจะปรับตัวสูงขึ้นกว่าไตรมาส3 ที่ผ่านมา รวมถึงสูงกว่าไตรมาส4ปีก่อน ที่ประสบปัญหาภัยน้ำท่วม

อย่างไรก็ตาม มองว่า ราคาหุ้นในปัจจุบันสะท้อนผลดำเนินงานในปี 2555 ไปหมดแล้ว และที่ราคาหุ้นยังปรับตัวสูงขึ้นนี้เชื่อว่าเกิดจากการคาดหวังต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปี 2556 ทั้งที่ยังไม่สามารถประเมินได้ชัดเจนนัก เนื่องจากยังมีความเสี่ยงในหลายปัจจัยเข้ามากดดัน เช่นยอดการส่งออกของประเทศที่ยังไม่แน่ชัดว่าในปีนี้จะปรับตัวลงเท่าใด และในปีหน้าจะเป็นเช่นไร รวมทั้งการเก็บภาษีของภาครัฐ
“เมื่อราคาหุ้นสะท้อนถึงผลดำเนินงานของบจ.ในปีนี้ไปหมดแล้ว และยังปรับตัวขึ้นมาอีกในลักษณะคาดหวังรับผลดำเนินงาของปีนี้ ก็ยิ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่าตอนนี้ราคาหุ้นไทยมันแพงไป ไม่ค่อยเสถียรเท่าที่ควรอีกทั้งP/E ก็อยู่ในระดับ 15-16 ซึ่งก็ถือว่าสูง”

ทั้งนี้เมื่อประเมินภาพโดยรวม จึงเชื่อว่าในระยะ1เดือนจากนี้ดัชนีอาจปรับตัวไม่มาก และอาจเกิดการปรับฐาน เพื่อรอดูผลมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งแต่เดิมเมื่อมีการประกาศใช้QE1และQE2 ออกมาในช่วงแรกค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะแข็งค่า ดังนั้นมาตรการQE3 ที่ออกมาก็จะทำให้ช่วงนี้นักลงทุนจับตาดูทิศทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯก่อนว่าจะปรับตัวขึ้นหรือไม่ หากไม่เป็นไปดังที่คาดก็จะทำให้ดอลลาร์อ่อนตัวลงมา เพราะถือว่ายังมีความเสี่ยง

ส่วนกระแสที่กังวลกันว่า เม็ดเงินสะสมของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยตอนนี้ใกล้แตะสถิติเดิมที่เคยทำไว้ ในปี2551 ที่สูงถึง 4.6 แสนล้านบาทนั้น มองว่าโดยรวมเมื่อเศรษบกิจสหรัฐฯยังไม่ดีขึ้น เช่นเดียวกับปัญหาในยุโรป นั่นย่อมหมายความว่าเม็ดเงินยังไหลเข้ามาในตลาดเอเชียรวมถึงไทย แต่เชื่อว่าจะเริ่มเห็นเม็ดเงินใหม่นี้ได้ในอีกประมาณ 2 เดือนจากนี้ เพราะช่วงนี้จะเป็นการปรับฐาน เพื่อรอดูเศรษฐกิจของสหรัฐฯว่าจะดีขึ้นหรือไม่ และเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่คาดหวังเม็ดเงินบางส่วนก็จะเริ่มไหลเข้ามาในเอเชีย
กำลังโหลดความคิดเห็น