วานนี้ ( 3 ต.ค.) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เศรษฐกิจ ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ว่า ได้มีการติดตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั่วไป ภาพรวมทางเศรษฐกิจ ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ในส่วนของตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนก.ย. ที่เพิ่มขึ้น มีสาเหตุจากราคาสินค้าประเภทยาสูบ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เพิ่มขึ้นมา ที่เป็นผลมาจากการขึ้นภาษีสรรพสามิต อีกทั้งราคาพลังงาน ที่เคลื่อนไหวตามตลาดโลก
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ในส่วนของการส่งออก รัฐบาลไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเพื่อให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้แล้ว แต่ส่วนของภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจก็ยังทำงานอยู่เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ที่เคยวางเอาไว้ โดยตัวเลขการส่งออกที่ 5.5-5.7ยังเป็นตัวเลขที่ทุกฝ่ายเชื่อว่าจะทำได้
ทั้งนี้ นายกฯได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เร่งทำงานอย่างเต็มที่ ในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยทางกระทรวงพาณิชย์ ได้รับนโยบายไป เช่น เรื่องของการหาตลาดการส่งออกใหม่ทั้งประเทศจีน ที่ยังมีอีกหลายมณฑล ซึ่งรัฐบาลไทยยังไม่เคยเข้าไปเจาะตลาด หรือ ในแถบยุโรปที่ยังมีเมืองรองต่างๆ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้เน้นการส่งออกในเมืองหลัก จึงต้องทำงานกันหลายฝ่าย
สำหรับรายได้จากต่างประเทศนั้น เมื่อหมดฤดูฝนแล้ว ก็จะเข้าเทศกาลท่องเที่ยว โดยเหลือเวลา 2 เดือนก่อนจะถึงสิ้นปี ที่รัฐบาลไทยจะเตรียมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยสนามบินสุวรรณภูมิ มีความพร้อม และสนามบินดอนเมือง ที่เพิ่งเปิดให้บริการ ก็มีการเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศแล้ว ทำให้ภาคการท่องเที่ยวต้องทำงานอย่างจริงจัง
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ ในปีนี้เมื่อมีการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณแล้ว จะมีการติดตามว่า งบประมาณใช้จ่ายที่ยังไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะมีการใช้จ่ายให้ทันก่อนสิ้นปีปฏิทินอย่างไรบ้าง และต้องมีการกวดขันการใช้จ่าย โดยถ้ามีการติดขัดตรงไหน ให้รายงานเข้ามา ดังนั้น 3 เดือนจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่ซ้อนกันระหว่าง งบปี 54-55 กับ 55-56
" ส่วนราชการที่ได้จัดเตรียมทีโออาร์ไปแล้ว และสามารถดำเนินงานในการจัดซื้อจัดจ้างได้ ก็ให้เริ่มดำเนินโครงการได้เลยเมื่อเข้าช่วงงบประมาณปี 55-56 ไม่ใช่มารอให้เข้าช่วงงบใหม่ แล้วเริ่มทำทีโออาร์เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ดังนั้นปีนี้ จะเป็นการใช้จ่ายงบอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” รมว.คลัง กล่าว
ส่วนภาคเอกชนนั้น เท่าที่ติดตามการลงทุนผ่านหน่วยงานต่าง ๆ พบว่าอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงการใช้จ่ายในประเทศ อยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้นจึงมั่นใจว่า 3 เดือนที่เหลือ เศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพ และการเติบโตที่ดี อีกทั้งยังไม่ได้รับสัญญาณทางเศรษฐกิจใดๆ ที่จะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาเพิ่มเข้ามา
อย่างไรก็ตาม กรณีปัญหาราคาแก๊สแอลพีจี ภาคขนส่งที่อาจจะตรึงไปถึงสิ้นปีไม่ไหว ว่า จะมีประชุมกันในเรื่องดังกล่าว แต่ทั้งนี้เมื่อรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่าหลักการสำคัญคือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส แต่ขณะเดียวกัน ได้ระบุในเรื่องของราคาพลังงานที่ได้มีการอุดหนุนว่า รัฐบาลจะค่อย ๆ แก้ไขและดำเนินการปรับราคาพลังงานเข้าสู่ระดับที่ถูกต้องเหมาะสมตามกลไกตลาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
“รัฐบาลเป็นห่วงเรื่องภาวะเงินเฟ้อพอสมควร แต่ไม่ใช่ห่วงกันจนทำแบบนี้ จะเห็นว่าราคาสินค้า หรือการอุดหนุนพลังงานบางชนิดทำกันยาวจนข้ามทศวรรษ นักวิชาการหลายส่วน ก็ตำหนิว่าแบบนี้จะทำให้กลไกในการบริโภคผิดธรรมชาติ เรื่องนี้รัฐบาลจะดูให้รอบคอบ แต่ถ้ามีการปรับราคา ก็จะไม่ปรับแบบรวดเร็ว แต่ถ้าจะตรึงราคากัน ก็ต้องมีคำตอบว่า เพื่อวัตถุประสงค์ระยะสั้น แล้วจะแก้ในระยะยาอย่างไร หากจะขยับก็ต้องทำอย่างรอบคอบ และกระทบกับผู้บริโภคครัวเรือนน้อยที่สุด” นายกิตติรัตน์ กล่าว
นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ในส่วนของการส่งออก รัฐบาลไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเพื่อให้เติบโตทางเศรษฐกิจได้แล้ว แต่ส่วนของภาคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจก็ยังทำงานอยู่เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายทางเศรษฐกิจ ที่เคยวางเอาไว้ โดยตัวเลขการส่งออกที่ 5.5-5.7ยังเป็นตัวเลขที่ทุกฝ่ายเชื่อว่าจะทำได้
ทั้งนี้ นายกฯได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เร่งทำงานอย่างเต็มที่ ในไตรมาสที่ 4 ที่เป็นไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ โดยทางกระทรวงพาณิชย์ ได้รับนโยบายไป เช่น เรื่องของการหาตลาดการส่งออกใหม่ทั้งประเทศจีน ที่ยังมีอีกหลายมณฑล ซึ่งรัฐบาลไทยยังไม่เคยเข้าไปเจาะตลาด หรือ ในแถบยุโรปที่ยังมีเมืองรองต่างๆ โดยที่ผ่านมารัฐบาลได้เน้นการส่งออกในเมืองหลัก จึงต้องทำงานกันหลายฝ่าย
สำหรับรายได้จากต่างประเทศนั้น เมื่อหมดฤดูฝนแล้ว ก็จะเข้าเทศกาลท่องเที่ยว โดยเหลือเวลา 2 เดือนก่อนจะถึงสิ้นปี ที่รัฐบาลไทยจะเตรียมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยสนามบินสุวรรณภูมิ มีความพร้อม และสนามบินดอนเมือง ที่เพิ่งเปิดให้บริการ ก็มีการเตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศแล้ว ทำให้ภาคการท่องเที่ยวต้องทำงานอย่างจริงจัง
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐ ในปีนี้เมื่อมีการรายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณแล้ว จะมีการติดตามว่า งบประมาณใช้จ่ายที่ยังไม่ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ จะมีการใช้จ่ายให้ทันก่อนสิ้นปีปฏิทินอย่างไรบ้าง และต้องมีการกวดขันการใช้จ่าย โดยถ้ามีการติดขัดตรงไหน ให้รายงานเข้ามา ดังนั้น 3 เดือนจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่ซ้อนกันระหว่าง งบปี 54-55 กับ 55-56
" ส่วนราชการที่ได้จัดเตรียมทีโออาร์ไปแล้ว และสามารถดำเนินงานในการจัดซื้อจัดจ้างได้ ก็ให้เริ่มดำเนินโครงการได้เลยเมื่อเข้าช่วงงบประมาณปี 55-56 ไม่ใช่มารอให้เข้าช่วงงบใหม่ แล้วเริ่มทำทีโออาร์เพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง ดังนั้นปีนี้ จะเป็นการใช้จ่ายงบอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” รมว.คลัง กล่าว
ส่วนภาคเอกชนนั้น เท่าที่ติดตามการลงทุนผ่านหน่วยงานต่าง ๆ พบว่าอยู่ในเกณฑ์ดี รวมถึงการใช้จ่ายในประเทศ อยู่ในเกณฑ์ดี ดังนั้นจึงมั่นใจว่า 3 เดือนที่เหลือ เศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพ และการเติบโตที่ดี อีกทั้งยังไม่ได้รับสัญญาณทางเศรษฐกิจใดๆ ที่จะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหาเพิ่มเข้ามา
อย่างไรก็ตาม กรณีปัญหาราคาแก๊สแอลพีจี ภาคขนส่งที่อาจจะตรึงไปถึงสิ้นปีไม่ไหว ว่า จะมีประชุมกันในเรื่องดังกล่าว แต่ทั้งนี้เมื่อรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ว่าหลักการสำคัญคือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส แต่ขณะเดียวกัน ได้ระบุในเรื่องของราคาพลังงานที่ได้มีการอุดหนุนว่า รัฐบาลจะค่อย ๆ แก้ไขและดำเนินการปรับราคาพลังงานเข้าสู่ระดับที่ถูกต้องเหมาะสมตามกลไกตลาดอย่างค่อยเป็นค่อยไป พร้อมทั้งเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
“รัฐบาลเป็นห่วงเรื่องภาวะเงินเฟ้อพอสมควร แต่ไม่ใช่ห่วงกันจนทำแบบนี้ จะเห็นว่าราคาสินค้า หรือการอุดหนุนพลังงานบางชนิดทำกันยาวจนข้ามทศวรรษ นักวิชาการหลายส่วน ก็ตำหนิว่าแบบนี้จะทำให้กลไกในการบริโภคผิดธรรมชาติ เรื่องนี้รัฐบาลจะดูให้รอบคอบ แต่ถ้ามีการปรับราคา ก็จะไม่ปรับแบบรวดเร็ว แต่ถ้าจะตรึงราคากัน ก็ต้องมีคำตอบว่า เพื่อวัตถุประสงค์ระยะสั้น แล้วจะแก้ในระยะยาอย่างไร หากจะขยับก็ต้องทำอย่างรอบคอบ และกระทบกับผู้บริโภคครัวเรือนน้อยที่สุด” นายกิตติรัตน์ กล่าว