**ความเศร้าของชาวไทย “มิคสัญญี” ใกล้เข้ามาแล้ว ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่จินตนาการ แต่ภาพคนไทยปะทะกันหน้ากองปราบปราม เป็นสัญญาณให้เห็นว่าภูเขาไฟใกล้ระเบิดแล้ว
ไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน ไม่ว่าใครจะยั่วยุ จนก่อให้เกิดอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ทั้งสองฝ่าย รากเหง้าของความขัดแย้งคือ ความเกลียดชังที่ฝังลึกจนกระทั่งเมื่อเจอฝ่ายที่เห็นต่าง ก็พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกัน ไม่ต่างจากเด็กเทคนิคเห็นหัวเข็มขัดต่างสถาบัน ก็วิ่งไล่ตี ไล่ฟัน
สังคมไทยเดินมาถึงจุดที่ความเชื่ออยู่เหนือความจริง อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล พรรคพวกอยู่เหนือความถูกต้อง ใช้กำลังได้ไม่ผิด เพราะไม่คิดเคารพกฎหมาย
ประชาชนเสื่อมศรัทธากับผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เพราะสิ่งที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้แสดงออกตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเครื่องแบบสีกากี แต่หัวใจพิทักษ์ทรราชย์
**สภาพการณ์เช่นนี้นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสถานการณ์บ้านเมือง
การโทษกันไปมา การก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย การเหยียดหยาม เยาะเย้ย ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อย
การสาดความเกลียดชังใส่กัน ก็เท่ากับว่าทั้งเราทั้งเขา ได้ตกอยู่ในเกมปั่นหัวจิ้งหรีดของคนชั่วที่คิดการใหญ่พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินไปเรียบร้อยแล้ว
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารงานห่วยแตกชนิดที่เรียกว่า คนเสื้อแดงก็น้ำท่วมปาก ประมาณว่ารู้อยู่เต็มอก แต่ไม่กล้าด่า เพราะกลัวเสียหน้า ว่าเลือกข้างผิด
นี่คือนิสัยไทยแท้ที่เราต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานเสียก่อน และด้วยเหตุที่ธรรมชาติของคนไทยเป็นเช่นนี้ ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยจึงตั้งหน้าตั้งตาบริหารประเทศด้วยการขยายความแตกแยก ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ดึงเอาความเป็นพรรคพวกมากลบเกลื่อนการกระทำความผิดให้กลายเป็นเรื่องที่ถ้าพวกเดียวกันทำ ก็ยอมรับได้
ส่วนรัฐบาลก็สบายแฮ ทั้งงาบ ทั้งทึ้ง ทั้งปล้น คนไทยก็ยังไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ทะเลาะกันอยู่ แถมเป็นความขัดแย้งที่อีกฝ่ายวางแผนมาให้เกิดเรื่องบนข้ออ้างว่า
**“ชนวนเหตุเกิดจากการคลั่งเจ้า”
**ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลย
ผู้คนจำนวนมากที่พร้อมใจเดินทางไปที่กองปราบ ในวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น มีความรู้สึกร่วมที่ชัดเจนคือ ต้องการแสดงออกให้ครูสาวได้เห็นว่า เธอไม่โดดเดี่ยว หลังจากแสดงความกล้าเข้าไปถาม ดารุณี กฤตบุญญาลัย ว่า “คุณด่าในหลวงทำไม” แล้วเกิดขบวนการตำรวจเด้งรับ ตั้งข้อหาตามล่าออกหมายจับ
ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นจึงเป็นแรงกดดัน ทำให้น้ำในกาที่อยู่บนเตาไฟถึงจุดเดือด จนเกิดความรู้สึกร่วมว่า ต้องแสดงออกให้ตำรวจ รวมทั้งดารุณีได้เห็นว่า ประเทศนี้ต้องอยู่ร่วมกันด้วยการให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เลือกปฏิบัติทำคดีรวดเร็วเพื่อเล่นงานฝ่ายที่เห็นต่าง พร้อมกับคำถามตัวโตๆ ว่า
** ทำไมคนปกป้องในหลวงจึงต้องถูกดำเนินคดี
แม้ว่า ครูสาวที่กำลังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการตั้งข้อหาที่ดูจะเกินเลยไปของตำรวจ ที่เอียงกะเท่เร่ แทบจะเปลี่ยนเครื่องแบบสีกากีเป็นสีแดง ย่อมมีหนทางต่อสู้ตามช่องทางของกฎหมาย ทั้งการฟ้องกลับดารุณี และพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้ทำคดี
ส่วนการให้กำลังใจ ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่คนไทยทุกคนสามารถแสดงออกได้ แต่คนที่สมควรถูกประณามที่สุดก็คือตำรวจที่ปล่อยให้คนไทยห้ำหั่นกันหน้ากองปราบปราม โดยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งๆที่มีเวลามากพอที่จะกันสองฝ่ายให้อยู่ห่างจากกัน แต่จากภาพที่เห็นไม่มีการแยกมวลชนสองฝ่ายอย่างเป็นระบบในการดูแลรักษาความปลอดภัย ที่ต้องมีตำรวจตั้งแถวกันแนวของทั้งสองฝ่ายให้อยู่ในที่ทางของตัวเอง ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินไปยั่วยุ หรือ ละเมิดคนอื่น
เกมอำมหิตที่คนชักใยกำลังคิดการใหญ่กำลังสยายปีกครอบงำประเทศไทยอย่างน่ากลัว ภาพคนเสื้อแดงใส่เสื้อ “เรารักพระ...” ในขณะที่อีกฝ่ายพวกเขาคือ “พสกนิกรของในหลวง” ที่มีความสุข เมื่อได้ใส่เสื้อ “เรารักในหลวง”
**แผนการสร้างความแตกแยกจากดินเสียดแทงถึงฟ้า เป็นเรื่องที่คนไทยต้องมีสติ และรู้เท่าทัน
หนทางเดียวที่จะทำให้คนชั่วไม่มีที่ยืนในสังคมจนทำร้ายคนดี มีเพียงอย่างเดียว คือ การสร้างปัญญาให้คนไทยไม่ว่าจะสีไหนตื่นรู้ ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องด้วยความอดทน ไม่ใช่บ่มเพาะความเกลียดชัง หรือขยายความแตกแยกจนร้าวลึกยากจะแก้ไข
การสมานบาดแผลแผ่นดินไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องเริ่มจากตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกด้วยการใช้สติเป็นตัวตั้ง ส่วนปัญหาในเชิงโครงสร้าง พฤติกรรมเลวของคนชั่วที่กำลังครองเมืองต้องยุติด้วยกระบวนการยุติธรรม
**ถ้าเราเดินหน้าประเทศแบบผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่ช่วยประคับประคองประเทศผ่านพ้นความล่มสลายได้ ด้วยการใช้ความดีเบียดพื้นที่คนเลวให้ออกจากวังวนแห่งอำนาจ
ไม่ว่าใครจะเริ่มก่อน ไม่ว่าใครจะยั่วยุ จนก่อให้เกิดอารมณ์ที่ควบคุมไม่ได้ทั้งสองฝ่าย รากเหง้าของความขัดแย้งคือ ความเกลียดชังที่ฝังลึกจนกระทั่งเมื่อเจอฝ่ายที่เห็นต่าง ก็พร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกัน ไม่ต่างจากเด็กเทคนิคเห็นหัวเข็มขัดต่างสถาบัน ก็วิ่งไล่ตี ไล่ฟัน
สังคมไทยเดินมาถึงจุดที่ความเชื่ออยู่เหนือความจริง อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล พรรคพวกอยู่เหนือความถูกต้อง ใช้กำลังได้ไม่ผิด เพราะไม่คิดเคารพกฎหมาย
ประชาชนเสื่อมศรัทธากับผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เพราะสิ่งที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้แสดงออกตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้คนไทยคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเครื่องแบบสีกากี แต่หัวใจพิทักษ์ทรราชย์
**สภาพการณ์เช่นนี้นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสังคมไทย ที่กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสถานการณ์บ้านเมือง
การโทษกันไปมา การก่นด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย การเหยียดหยาม เยาะเย้ย ที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกต่ำต้อย
การสาดความเกลียดชังใส่กัน ก็เท่ากับว่าทั้งเราทั้งเขา ได้ตกอยู่ในเกมปั่นหัวจิ้งหรีดของคนชั่วที่คิดการใหญ่พลิกฟ้า คว่ำแผ่นดินไปเรียบร้อยแล้ว
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ บริหารงานห่วยแตกชนิดที่เรียกว่า คนเสื้อแดงก็น้ำท่วมปาก ประมาณว่ารู้อยู่เต็มอก แต่ไม่กล้าด่า เพราะกลัวเสียหน้า ว่าเลือกข้างผิด
นี่คือนิสัยไทยแท้ที่เราต้องเข้าใจเป็นพื้นฐานเสียก่อน และด้วยเหตุที่ธรรมชาติของคนไทยเป็นเช่นนี้ ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยจึงตั้งหน้าตั้งตาบริหารประเทศด้วยการขยายความแตกแยก ทำให้เกิดการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ดึงเอาความเป็นพรรคพวกมากลบเกลื่อนการกระทำความผิดให้กลายเป็นเรื่องที่ถ้าพวกเดียวกันทำ ก็ยอมรับได้
ส่วนรัฐบาลก็สบายแฮ ทั้งงาบ ทั้งทึ้ง ทั้งปล้น คนไทยก็ยังไม่รู้ตัว เพราะมัวแต่ทะเลาะกันอยู่ แถมเป็นความขัดแย้งที่อีกฝ่ายวางแผนมาให้เกิดเรื่องบนข้ออ้างว่า
**“ชนวนเหตุเกิดจากการคลั่งเจ้า”
**ทั้งที่ไม่เป็นความจริงเลย
ผู้คนจำนวนมากที่พร้อมใจเดินทางไปที่กองปราบ ในวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น มีความรู้สึกร่วมที่ชัดเจนคือ ต้องการแสดงออกให้ครูสาวได้เห็นว่า เธอไม่โดดเดี่ยว หลังจากแสดงความกล้าเข้าไปถาม ดารุณี กฤตบุญญาลัย ว่า “คุณด่าในหลวงทำไม” แล้วเกิดขบวนการตำรวจเด้งรับ ตั้งข้อหาตามล่าออกหมายจับ
ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นจึงเป็นแรงกดดัน ทำให้น้ำในกาที่อยู่บนเตาไฟถึงจุดเดือด จนเกิดความรู้สึกร่วมว่า ต้องแสดงออกให้ตำรวจ รวมทั้งดารุณีได้เห็นว่า ประเทศนี้ต้องอยู่ร่วมกันด้วยการให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย ไม่ใช่เลือกปฏิบัติทำคดีรวดเร็วเพื่อเล่นงานฝ่ายที่เห็นต่าง พร้อมกับคำถามตัวโตๆ ว่า
** ทำไมคนปกป้องในหลวงจึงต้องถูกดำเนินคดี
แม้ว่า ครูสาวที่กำลังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการตั้งข้อหาที่ดูจะเกินเลยไปของตำรวจ ที่เอียงกะเท่เร่ แทบจะเปลี่ยนเครื่องแบบสีกากีเป็นสีแดง ย่อมมีหนทางต่อสู้ตามช่องทางของกฎหมาย ทั้งการฟ้องกลับดารุณี และพนักงานสอบสวนที่เป็นผู้ทำคดี
ส่วนการให้กำลังใจ ก็เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่คนไทยทุกคนสามารถแสดงออกได้ แต่คนที่สมควรถูกประณามที่สุดก็คือตำรวจที่ปล่อยให้คนไทยห้ำหั่นกันหน้ากองปราบปราม โดยไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทั้งๆที่มีเวลามากพอที่จะกันสองฝ่ายให้อยู่ห่างจากกัน แต่จากภาพที่เห็นไม่มีการแยกมวลชนสองฝ่ายอย่างเป็นระบบในการดูแลรักษาความปลอดภัย ที่ต้องมีตำรวจตั้งแถวกันแนวของทั้งสองฝ่ายให้อยู่ในที่ทางของตัวเอง ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินไปยั่วยุ หรือ ละเมิดคนอื่น
เกมอำมหิตที่คนชักใยกำลังคิดการใหญ่กำลังสยายปีกครอบงำประเทศไทยอย่างน่ากลัว ภาพคนเสื้อแดงใส่เสื้อ “เรารักพระ...” ในขณะที่อีกฝ่ายพวกเขาคือ “พสกนิกรของในหลวง” ที่มีความสุข เมื่อได้ใส่เสื้อ “เรารักในหลวง”
**แผนการสร้างความแตกแยกจากดินเสียดแทงถึงฟ้า เป็นเรื่องที่คนไทยต้องมีสติ และรู้เท่าทัน
หนทางเดียวที่จะทำให้คนชั่วไม่มีที่ยืนในสังคมจนทำร้ายคนดี มีเพียงอย่างเดียว คือ การสร้างปัญญาให้คนไทยไม่ว่าจะสีไหนตื่นรู้ ด้วยการให้ข้อมูลที่ถูกต้องด้วยความอดทน ไม่ใช่บ่มเพาะความเกลียดชัง หรือขยายความแตกแยกจนร้าวลึกยากจะแก้ไข
การสมานบาดแผลแผ่นดินไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่ต้องเริ่มจากตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกด้วยการใช้สติเป็นตัวตั้ง ส่วนปัญหาในเชิงโครงสร้าง พฤติกรรมเลวของคนชั่วที่กำลังครองเมืองต้องยุติด้วยกระบวนการยุติธรรม
**ถ้าเราเดินหน้าประเทศแบบผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะ เราก็จะได้ชื่อว่าเป็นคนไทยที่ช่วยประคับประคองประเทศผ่านพ้นความล่มสลายได้ ด้วยการใช้ความดีเบียดพื้นที่คนเลวให้ออกจากวังวนแห่งอำนาจ