ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย : ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
มีหลายคนตั้งคำถามว่าบ้านเมืองวิกฤติขนาดนี้ ทั้งวิกฤติไฟใต้ น้ำมันแพง โกงงบประมาณแผ่นดิน กู้มหาศาล โยกย้ายข้าราชการไม่เป็นธรรม ฯลฯ
ในเวลาแบบนี้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” หายไปไหน?
บางคนก็ยังเชื่อคำข่าวลือต่อไปว่า “สนธิ” รับเงิน “ทักษิณ” ไปแล้ว, บ้างก็ว่า “สนธิ” ความจริงแล้วรวยมาก ไม่มีทางจน, บางคนถึงขนาดลือว่า “สนธิ”หนีไปต่างประเทศแล้ว ฯลฯ
เพราะสังคมไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเชื่อข่าวลือง่าย และลืมง่าย ประกอบการเมืองที่อำมหิต และความไร้จรรยาบรรณของสื่อบางคนในบ้านเมืองเรา จึงทำให้ประชาชนคนไทยตกเป็นเหยื่อข้อมูลข่าวสารของคนชั่วได้ง่าย
ตัวอย่างในอดีตเช่นวาทกรรมใส่ร้ายที่ว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง” หรือ “จำลองพาคนไปตาย” จนเมื่อปีที่แล้วที่ทำเป็นขบวนการก็คือ “สนธิรับเงินทักษิณ” ซึ่งถือเป็นงานถนัดของนักการเมืองกลุ่มนี้ที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
หลายคนอาจลืมไปแล้วว่าเมื่อปลายปีที่แล้วมีคนที่ทำงานสื่อมวลชนคนหนึ่งถึงขนาดโพสต์ข้อความปล่อยข่าวใส่ร้ายทำลาย ASTV ในเวลานั้นว่า ASTV จะขายกิจการให้กับทักษิณไม่เกินเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2555 และ จตุพร พรหมพันธุ์ ก็จะมาจัดรายการผังใหม่ใน ASTV ด้วย!!!
จนปัจจุบันกำลังจะก้าวเข้าสู่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2555 แล้ว คนไทยที่เชื่อข่าวลือในวันนั้นก็ลืมไปแล้ว ไม่เคยคิดจะทวงถามหาความรับผิดชอบต่อจรรยาบรรณจากข้อมูลอันเป็นเท็จและเลวทรามต่ำช้าจากบุคคลเหล่านั้นได้
หรือจะให้ “จิตกร บุษบา” ช่วยสืบหาสื่อมวลชนที่เลวทรามต่ำช้าคนนั้น ที่ปล่อยข่าวทำลาย ASTV อย่างไม่รับผิดชอบ และไร้จรรยาบรรณคนนั้นว่าเป็นใคร !?
เช่นเดียวกัน กระแสเรื่อง “สนธิ” รับเงินทักษิณดูจะเบาบางลงไปทันที เพราะหลังจากที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ออกมาชุมนุมคัดค้าน พรบ.ว่าด้วยความปรอดองแห่งชาติสำเร็จตามคำมั่นสัญญา ทำให้หลายคนจึงรู้กันเองในใจโดยไม่ต้องอธิบายว่าถ้า “สนธิรับเงินทักษิณ” จะออกมาคัดค้าน พรบ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ไปทำไมในเมื่อตัวเองก็ได้ประโยชน์ด้วย
บางคนฟังข่าวลือมามาก แต่ก็ไม่ได้เชื่อข่าวลือนี้ โดยยึดเอา “พลตรีจำลอง ศรีเมือง” ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรมโดยไม่ต้องสงสัย ว่าถึงขนาดลงทุน ลงแรง รณรงค์ให้คนบริจาคครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต เพื่อให้กับ ASTV นั้น ย่อมแสดงว่าองค์กรนี้คงต้องลำบากจริง และถ้าองค์กรนี้รับเงินทักษิณ ลุงจำลองจะออกมาทำภารกิจกอบกู้ ASTV ไปเพื่ออะไร?
แต่ถึงกระนั้น หลายคนอาจสงสัยและตั้งคำถามว่า แล้ว “สนธิ ลิ้มทองกุล” หายไปไหน และคิดอ่านอะไร?
คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สวดมนต์เช้า-เย็น นั่งสมาธิ วันละหลายชั่วโมงต่อวันทุกวัน ตอนเช้ามาก็เริ่มต้นด้วยวงกาแฟวิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองให้เหล่า “ลูกศิษย์และน้องๆ”ได้ฟัง เพื่อที่จะได้เสริมองค์ความรู้ในการประเมินสถานการณ์บ้านเมืองในการใช้สื่อเครือผู้จัดการ
หลังจากนั้นก็จะต้องสาละวนหาวิธีในการหาเงินมาจ่ายเงินเดือนพนักงานที่ทยอยสะสมค้างมา ด้วยการแลกเช็คบ้าง กู้ยืมบ้าง ยิ่งองค์กรที่มีปัญหาด้านการเงินที่เลี้ยงตัวเองไม่ได้แล้ว เวลาผ่านไปเดือนต่อเดือนเร็วเหมือนโกหก กว่าจะหาเงินเดือนย้อนหลังได้สักครึ่งเดือนเวลาก็ผ่านไปขึ้นเดือนใหม่แล้ว ปัญหานี้ได้สะสมทยอยพอกพูนขึ้น จนพนักงานที่ ASTV ทยอยลาออกไปจำนวนไม่น้อยด้วยความจำเป็นเพราะต้องหาเงินไปเลี้ยงชีพตัวเอง
นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมาผ่านมากว่า 6 ปีแล้ว ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องขายทรัพย์สินของครอบครัว “ลิ้มทองกุล” เพื่อเอามาแบกรับค่าใช้จ่ายทุกเดือนให้กับสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมซึ่งไม่ได้มีความคุ้มค่าทางธุรกิจเลย ไม่ว่าจะเป็นการขายหุ้นโรงแรมในต่างประเทศ, ขายไวน์เก่า, ขายรถ, ให้เช่าพระเครื่อง ฯลฯ
ความจริงลำพังแค่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เลิกทำ ASTV เสียตั้งแต่ตอนแรก ไม่ต้องพูดถึงว่าต้องไปรับเงินทักษิณเลย ลำพังเพียงแค่ไม่ต้องแบกรับ ASTV คุณสนธิ ลิ้มทองกุล และครอบครัวลิ้มทองกุลก็เป็นมหาเศรษฐีในประเทศได้อย่างสบายไปแล้ว
ล่าสุดครอบครัวลิ้มทองกุลก็กระเสือกกระสนหาทางกัดฟันผ่อนหนี้ธนาคาร จนได้ที่ดินที่เคยติดจำนองมาแปลงหนึ่ง 48 ไร่ อยู่บริเวณคลอง 13 คืนมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็กำลังหาทางจัดการกับที่ดินผืนนี้เพื่อเอารายได้ทั้งหมดมาจ่ายเงินเดือนพนักงานโดยเร็วที่สุด
ผมเองได้แต่คิดว่าแม้แต่ทรัพย์สินที่มีไม่กี่ชิ้นของ “ครอบครัวลิ้มทองกุล” ก็ไม่ได้คิดเก็บเอาไว้เพื่อความมั่นคงในครอบครัว แต่ยังคิดอ่านเอาทรัพย์สินทั้งหมดมาช่วย ASTV อีก ทั้งๆที่ในทางผลตอบแทนธุรกิจเพื่อประโยชน์ส่วนตนของครอบครัวลิ้มทองกุลนั้นไม่มีทางจะคุ้มค่าได้เลย
การเสียสละของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่นอกจากจะสูญเสียทรัพย์สินของครอบครัวแล้ว การเป็นแกนนำทำให้ต้องเผชิญหน้ากับคดีความนับหลายสิบดคีชนิดที่ต้องขึ้นศาลทุกสัปดาห์ บางสัปดาห์ขึ้นศาลหลายหน ที่ชนะก็มีมาก ที่แพ้และกำลังเข้าสู่ศาลอุทธรณ์และฎีกาก็มี การเดินทางไปไหนมาไหนก็ยังไม่สะดวก เพราะทุกวันนี้ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ยังอยู่ในอันตรายเป็นเป้าหมายสำคัญในการลอบสังหารอยู่ทุกขณะ
พลตรีจำลอง ศรีเมือง เคยกล่าวในการประชุมแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ในบรรดาแกนนำทั้งหมด “สนธิ” น่าเห็นใจที่สุด เพราะต้องสูญเสียโอกาสและได้รับความเสียหายทางธุรกิจ ต้องเสียสละเงินทองและทรัพย์สินของครอบครัวในการแบกรับ ASTV โดยตัวเองไม่ได้ประโยชน์อะไร ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลถูกฟ้องร้องกลั่นแกล้งมากกว่าคนอื่นๆอันเป็นผลจากการต่อสู้และยังคงตกเป็นเป้าหมายในการสังหารต่อไป (และเคยถูกรุมยิงสังหารมาแล้ว)
เพราะเห็นการเสียสละเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ทั้งชีวิตไม่เคยออกสื่อเพื่อรณรงค์ให้คนบริจาคให้ใคร แม้แต่มูลนิธิของพลตรีจำลอง ศรีเมือง เองไม่ว่าจะเป็นมูลนิธิสงเคราะห์สัตว์ หรือ มูลนิธิที่ทำงานช่วยเหลือการฟอกไต ฯลฯ แต่พลตรีจำลอง ศรีเมือง กลับเสียสละออกหน้าประชาสัมพันธ์ รณรงค์ให้ประชาชนบริจาคช่วยเหลือ ASTV ในเรื่องนี้อย่างเต็มตัว
ในชีวิตนี้สำหรับการเห็นความเสียสละของคน 2 คน ที่มาเจอกันและทำงานร่วมกัน ทั้งสนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้อีกแล้ว !!!
ที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ยังคงพยายามยื้อและรักษา ASTV นั้น ก็เพราะส่วนหนึ่งแล้วต้องการรักษาคนที่มีอุดมการณ์ ต้องการรักษาจิตวิญญาณของสื่อมวลชนที่ปลอดจากทุนสามานย์และทุนจากพรรคการเมืองที่ได้มาจากโกงชาติปล้นแผ่นดิน ต้องการให้สื่อเป็นสื่อที่ทำงานได้อย่างอิสระมีเสรีภาพเพื่อการต่อสู้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่การเลือกที่จะเป็นสื่อที่ตรวจสอบทุกรัฐบาล วิพากษ์และตรวจสอบความเลวร้ายของทุกรัฐบาลนั้นเป็นต้นทุนอันแพงมหาศาลที่ไม่มีใครกล้าโฆษณา ดังนั้นไม่ว่ากลุ่มทุนอำมาตย์เก่า หรือ กลุ่มทุนอำมาตย์ใหม่ หรือ แม้แต่ทุนขนาดเล็ก ก็ไม่มีใครมาสนับสนุนสถานีโทรทัศน์ที่ตรวจสอบกลุ่มทุนของนักการเมืองทั้งหมดแบบนี้ได้
แต่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลก็ไม่ได้สนใจว่าคนจะหันไปเลือกดูช่องของพรรคการเมืองช่องอื่นหรือไม่ จะมีคนบริจาคให้ ASTV น้อยลงหรือไม่ เพราะต้องการยืนหยัดว่าในจิตวิญญาณสื่อแห่งนี้ว่าไม่สังกัดพรรคการเมือง ไม่ได้ทำเพื่อกลุ่มอำนาจใด นอกจากผลประโยชน์ของประชาชนเท่านั้น
แม้พนักงาน ASTV หลายคนจะทยอยลาออกไปเพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจก็ถือว่าที่ผ่านมานั้นก็ได้เสียสละมามากแล้ว แต่คนที่อยู่ทั้งๆ ที่มีทางเลือกที่จะไปที่อื่นได้ด้วยผลตอบแทนมากกว่านี้ มั่นคงกว่านี้ และยังคงอยู่ในองค์กรนี้ทั้งที่ไม่ค่อยได้เงินเดือน ก็เพราะการเสียสละของผู้นำ จึงทำให้คนที่ยังอยู่จึงต้องเสียสละเพื่อผู้นำที่เสียสละเช่นกัน
และเพราะมีการเสียสละทั้งผู้นำและคนในองค์กร จึงได้มีประชาชนมาบริจาคสนับสนุนสถานีข่าว ASTV (แม้จะยังไม่เพียงพอก็ตาม) แต่บรรยากาศ “การเสียสละ” แบบนี้ หาไม่ได้ในสื่อที่เป็นเครื่องมือของนักการเมืองและพรรคการเมือง
และความจริงแล้วไม่ว่าในอนาคตของ ASTV ทีวีมีอุดมการณ์แบบนี้ จะอยู่ได้หรือไม่ และจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ และสุดท้ายแล้ว คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จะต้องโทษจำคุกหรือไม่ สำหรับคนที่ทำอย่างเต็มที่ถึงที่สุดเพื่อชาติและรักษาระบบกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองแล้ว ไม่มีอะไรต้องติดค้างในใจแล้ว
สำหรับการเรียกร้องให้คุณสนธิ ลิ้มทองกุล กลับมาจัดรายการทาง ASTV นั้น คอยพบกับรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ทุกวันศุกร์ตั้งแต่วันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป ทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV