**มติ ครม. 18 ก.ย. 55 ตีกลับการกู้เงิน 4.05 แสนล้าน เพื่อโครงการจำนำข้าวรอบใหม่ แสดงให้เห็นถึงความหวั่นไหวของหน่วยงานราชการ ที่เริ่มเล็งเห็นถึงหายนะจากโครงการประชานิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่ากำลังทำให้ประเทศถังแตก ในเวลาอันใกล้นี้
ทำให้ 3 หน่วยงานประสานเสียงรุมค้าน ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาครม. โดยมีข้อมูลที่เรียกว่า “ตบหน้ารัฐบาล” ฉาดใหญ่ เพราะยืนยันมาตลอดว่า การรับจำนำข้าว 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาขาดทุนไม่ถึง 2 หมื่นล้าน ไม่มีปัญหาเรื่องสต็อก การบริหารจัดการ รวมถึงการระบายข้าวก็จะทำได้แบบชิลๆ แถมยังยืนยันว่า ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการนำเงินมาใช้จ่ายในโครงการ
แต่จากข้อมูลของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า เฉพาะสองฤดูกาลที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เงินในโครงการนี้ไปแล้วถึง 517,958 ล้านบาท แต่ยังไม่มีการระบายข้าวที่รับจำนำเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน กลับคิดจะกู้เพิ่มอีก 4.05 แสนล้าน
ซึ่งเท่ากับว่า ถ้าไม่มีการเบรกเอาไว้ ก็จะทำให้ใช้เงินกับการจำนำข้าวทุกเมล็ดแค่ 3 ฤดูกาล ในช่วงเวลาปีเศษของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สูงถึง 9.22 แสนล้านบาท เกือบจะครึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ที่มีวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว
**พร้อมกันนี้ สำนักงบประมาณยังให้ความเห็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเร่งรัดให้ระบายข้าวจริงให้ได้ก่อน เพื่อนำเงินมาหมุนเวียน ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อความสามารถของกระทรวงการคลังในการค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งจะทำให้ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ความหมายคือ เครดิตของกระทรวงการคลังจะลดน้อยถอยลง เนื่องจากเจ้าหนี้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการหารายได้ ว่าไม่น่าจะเพียงพอต่อรายจ่าย จึงโขกดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของตัวเอง เท่ากับว่า ความมั่นคงทางการเงินของรัฐบาลไทยเริ่มจะมีปัญหาจากโครงการนี้ หากยังดันทุรังทำต่อไป
ที่สำคัญคือราคาคุยที่ บุญทรง เตยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ โม้ไว้ว่าจะสามารถระบายข้าวได้จากการทำสัญญาจีทูจี กับรัฐบาลประเทศอื่นนั้น ก็ถูกลากไส้จับโกหกไว้แล้วว่า ไม่จริง เนื่องจากไม่ได้มีสัญญากับ 6 ประเทศ ตามที่กล่าวอ้าง แต่มีเพียงประเทศเดียวที่ทำสัญญาแล้วคือ กินี 2 แสนตัน ส่วนโกตดิวัวร์ หรือประเทศไอวอรี โคสต์ ของนักเตะดังอย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 2.4 แสนตัน อยู่ระหว่างการเปิดแอลซี
ขณะที่อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ ประเทศละ 1 ล้านตันนั้น ก็เป็นเพียงเอ็มโอยูกว้างๆ ไม่ได้ผูกมัดว่าจะซื้อข้าวจากไทย ยิ่งประเทศจีน ที่ถูกอ้างว่าจะซื้อข้าวไทย 2 ล้านตัน ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นเรื่องไทยไปเสนอขาย แต่เขายังไม่ได้ตอบรับว่าจะซื้อ ดังนั้นตัวเลขที่บอกจะขายข้าวได้ 7.328 ล้านตัน จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ที่ขายได้จริงเพียงแค่ 4.4 แสนตันเท่านั้น แล้วจะไม่ให้สต๊อกบานเป็นริดสีดวง ได้อย่างไร
ข้อกังวลที่ถูกเสนอเป็นข้อมูลใน ครม.ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ระบุว่า ปริมาณข้าวเปลือกที่สะสมจากการรับจำนำของรัฐบาลสูงถึงประมาณ 50 ล้านตัน สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่ล้มเหลว ขาดประสิทธิภาพ เป็นภาระต่องบประมาณอย่างยิ่ง
จะว่าไปแล้ว ข้อมูลของทั้ง 3 หน่วยงานไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งต่างชาติ และทีดีอาร์ไอ เตือนแล้วเตือนอีกว่า หากยังเดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไป จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ และจะเป็นภาระหนี้ต่องบประมาณที่จะพุ่งสูงสะสม จนกลายเป็นวิกฤตหนี้ในที่สุด
นี่แค่โครงการประชานิยมนโยบายเดียวยังสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้ ยังไม่นับรวมกับโครงการอื่นๆ ที่กำลังสร้างภาระต่องบประมาณมหาศาล เช่น เงินเดือน ป.ตรี 1.5 หมื่นบาท ที่จะมีการปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ ในปี 2557 ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณในแต่ละปีถึง 1.2 แสนล้านบาท การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30 เป็น 23 และ 20 % ในปีหน้า ก็จะทำให้ขาดรายได้อีก 1.5 แสนล้านบาท
ไหนจะโครงการรถยนต์คันแรกที่ทำให้รัฐขาดรายได้อีก 3 หมื่นล้านบาท บ้านหลังแรกอีก 2 หมื่นล้านบาท พักลูกหนี้ชั้นดี 3 ปี รัฐต้องจ่ายชดเชยดอกเบี้ยอีก 4.5 หมื่นล้านบาท ฯลฯ
**มองไปทางไหนมีแต่รายจ่าย ไร้ปัญญาในการสร้างรายได้เข้าประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เศรษฐกิจไทยจะพังคามือรัฐบาลปูนิ่ม ที่ถนัดใช้เงินแต่ไม่มีสมองในการบริหารประเทศ
ไม่แน่ว่าตอนนี้รัฐบาลอาจกำลังภาวนาให้ฝนตกหนัก เกิดวิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่การเกษตรจนนาล่ม เกี่ยวข้าวไม่ได้ รัฐบาลจะได้สบายตัวชั่วคราว ไม่ต้องหาเงินมาโปะกับการรับจำนำรอบใหม่ เพราะชาวนาไร้ผลผลิตมาจำนำก็ได้ ใครจะรู้
**รัฐบาลที่โกหกประชาชน ไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้
ทำให้ 3 หน่วยงานประสานเสียงรุมค้าน ประกอบด้วย สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักเลขาครม. โดยมีข้อมูลที่เรียกว่า “ตบหน้ารัฐบาล” ฉาดใหญ่ เพราะยืนยันมาตลอดว่า การรับจำนำข้าว 2 ฤดูกาลที่ผ่านมาขาดทุนไม่ถึง 2 หมื่นล้าน ไม่มีปัญหาเรื่องสต็อก การบริหารจัดการ รวมถึงการระบายข้าวก็จะทำได้แบบชิลๆ แถมยังยืนยันว่า ไม่มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องในการนำเงินมาใช้จ่ายในโครงการ
แต่จากข้อมูลของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ระบุว่า เฉพาะสองฤดูกาลที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เงินในโครงการนี้ไปแล้วถึง 517,958 ล้านบาท แต่ยังไม่มีการระบายข้าวที่รับจำนำเพื่อนำเงินมาหมุนเวียน กลับคิดจะกู้เพิ่มอีก 4.05 แสนล้าน
ซึ่งเท่ากับว่า ถ้าไม่มีการเบรกเอาไว้ ก็จะทำให้ใช้เงินกับการจำนำข้าวทุกเมล็ดแค่ 3 ฤดูกาล ในช่วงเวลาปีเศษของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ สูงถึง 9.22 แสนล้านบาท เกือบจะครึ่งหนึ่งของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ที่มีวงเงิน 2.4 ล้านล้านบาท เลยทีเดียว
**พร้อมกันนี้ สำนักงบประมาณยังให้ความเห็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการเร่งรัดให้ระบายข้าวจริงให้ได้ก่อน เพื่อนำเงินมาหมุนเวียน ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อความสามารถของกระทรวงการคลังในการค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งจะทำให้ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
ความหมายคือ เครดิตของกระทรวงการคลังจะลดน้อยถอยลง เนื่องจากเจ้าหนี้เล็งเห็นถึงศักยภาพในการหารายได้ ว่าไม่น่าจะเพียงพอต่อรายจ่าย จึงโขกดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงของตัวเอง เท่ากับว่า ความมั่นคงทางการเงินของรัฐบาลไทยเริ่มจะมีปัญหาจากโครงการนี้ หากยังดันทุรังทำต่อไป
ที่สำคัญคือราคาคุยที่ บุญทรง เตยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ โม้ไว้ว่าจะสามารถระบายข้าวได้จากการทำสัญญาจีทูจี กับรัฐบาลประเทศอื่นนั้น ก็ถูกลากไส้จับโกหกไว้แล้วว่า ไม่จริง เนื่องจากไม่ได้มีสัญญากับ 6 ประเทศ ตามที่กล่าวอ้าง แต่มีเพียงประเทศเดียวที่ทำสัญญาแล้วคือ กินี 2 แสนตัน ส่วนโกตดิวัวร์ หรือประเทศไอวอรี โคสต์ ของนักเตะดังอย่าง ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา 2.4 แสนตัน อยู่ระหว่างการเปิดแอลซี
ขณะที่อินโดนีเซีย บังคลาเทศ ฟิลิปปินส์ ประเทศละ 1 ล้านตันนั้น ก็เป็นเพียงเอ็มโอยูกว้างๆ ไม่ได้ผูกมัดว่าจะซื้อข้าวจากไทย ยิ่งประเทศจีน ที่ถูกอ้างว่าจะซื้อข้าวไทย 2 ล้านตัน ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเป็นเรื่องไทยไปเสนอขาย แต่เขายังไม่ได้ตอบรับว่าจะซื้อ ดังนั้นตัวเลขที่บอกจะขายข้าวได้ 7.328 ล้านตัน จึงเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ที่ขายได้จริงเพียงแค่ 4.4 แสนตันเท่านั้น แล้วจะไม่ให้สต๊อกบานเป็นริดสีดวง ได้อย่างไร
ข้อกังวลที่ถูกเสนอเป็นข้อมูลใน ครม.ของสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่ระบุว่า ปริมาณข้าวเปลือกที่สะสมจากการรับจำนำของรัฐบาลสูงถึงประมาณ 50 ล้านตัน สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่ล้มเหลว ขาดประสิทธิภาพ เป็นภาระต่องบประมาณอย่างยิ่ง
จะว่าไปแล้ว ข้อมูลของทั้ง 3 หน่วยงานไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ทั้งต่างชาติ และทีดีอาร์ไอ เตือนแล้วเตือนอีกว่า หากยังเดินหน้าโครงการจำนำข้าวต่อไป จะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวทั้งระบบ และจะเป็นภาระหนี้ต่องบประมาณที่จะพุ่งสูงสะสม จนกลายเป็นวิกฤตหนี้ในที่สุด
นี่แค่โครงการประชานิยมนโยบายเดียวยังสร้างความเสียหายได้มากขนาดนี้ ยังไม่นับรวมกับโครงการอื่นๆ ที่กำลังสร้างภาระต่องบประมาณมหาศาล เช่น เงินเดือน ป.ตรี 1.5 หมื่นบาท ที่จะมีการปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ ในปี 2557 ซึ่งจะเป็นภาระต่องบประมาณในแต่ละปีถึง 1.2 แสนล้านบาท การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30 เป็น 23 และ 20 % ในปีหน้า ก็จะทำให้ขาดรายได้อีก 1.5 แสนล้านบาท
ไหนจะโครงการรถยนต์คันแรกที่ทำให้รัฐขาดรายได้อีก 3 หมื่นล้านบาท บ้านหลังแรกอีก 2 หมื่นล้านบาท พักลูกหนี้ชั้นดี 3 ปี รัฐต้องจ่ายชดเชยดอกเบี้ยอีก 4.5 หมื่นล้านบาท ฯลฯ
**มองไปทางไหนมีแต่รายจ่าย ไร้ปัญญาในการสร้างรายได้เข้าประเทศ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เศรษฐกิจไทยจะพังคามือรัฐบาลปูนิ่ม ที่ถนัดใช้เงินแต่ไม่มีสมองในการบริหารประเทศ
ไม่แน่ว่าตอนนี้รัฐบาลอาจกำลังภาวนาให้ฝนตกหนัก เกิดวิกฤตน้ำท่วมในพื้นที่การเกษตรจนนาล่ม เกี่ยวข้าวไม่ได้ รัฐบาลจะได้สบายตัวชั่วคราว ไม่ต้องหาเงินมาโปะกับการรับจำนำรอบใหม่ เพราะชาวนาไร้ผลผลิตมาจำนำก็ได้ ใครจะรู้
**รัฐบาลที่โกหกประชาชน ไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้