xs
xsm
sm
md
lg

"บุญทรง"โวขายข้าวได้2.6แสนล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-“บุญทรง”โชว์ผลงานพาณิชย์ 1 ปี ยันจำนำข้าวช่วยเพิ่มรายได้เกษตรกร แถมขายข้าวในสต๊อกไม่ขาดทุนอย่างที่ถูกโจมตี ลั่นมีเงินคืนหลวงตั้งแต่ปลายปีนี้ถึงปีหน้า 2.6 แสนล้าน เทียบกับเงินที่ใช้ในการจำนำ 2.8 แสนล้านบาท ขาดทุนไม่มาก ส่วนเป้าส่งออกคง 15% เหมือนเดิมไม่มีปรับ หวังใช้เป็นเป้าทำงาน เผยการดูแลค่าครองชีพทำได้ดี หลังคุมเงินเฟ้ออยู่ สินค้าไม่แพงขึ้น
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยในการแถลงผลงานกระทรวงพาณิชย์ในรอบ 1 ปี วานนี้ (12 ก.ย.) ว่า การยกระดับราคาสินค้าเกษตร และยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการจนประสบความสำเร็จ โดยในโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ที่ตั้งราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้าที่ตันละ 15,000 บาท และข้าวเปลือกหอมมะลิที่ตันละ 20,000 บาท สามารถทำให้ราคาข้าวเพิ่มขึ้นได้จริง โดยข้าวเปลือกเจ้า ราคาเฉลี่ยปีนี้อยู่ที่ตันละ 11,000 บาท จากโครงการรับประกันรายได้ที่เฉลี่ยตันละ 7,600-8,700 บาท ข้าวเปลือกหอมมะลิเฉลี่ยปีนี้ที่ตันละ 14,750-16,000 บาท จากราคาในโครงการประกันรายได้ที่เฉลี่ยตันละ 12,500-13,500 บาท ซึ่งรายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีหนี้สินลดลง มีเงินเหลือใช้ในครัวเรือน และมีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ส่วนสินค้าเกษตรอื่นๆ ก็มีราคาสูงขึ้นเช่นกัน เช่น กุ้ง ราคาปีนี้เพิ่มขึ้นกิโลกรัม (กก.) ละ 5-15 บาท กระเทียมเพิ่มขึ้นกก.ละ 8-10 บาท ถั่วเขียว เพิ่มขึ้นกก.ละ 4-5 บาท โดยรัฐบาลยืนยันที่จะเดินหน้าทำโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าใครจะวิจารณ์อย่างไร เพราะเห็นแล้วว่า เป็นประโยชน์กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง
สำหรับการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่หลายฝ่ายโจมตีว่าไม่โปร่งใส และทำให้รัฐบาลขาดทุนจำนวนมาก ขอยืนยันว่า รัฐบาลจะไม่ขาดทุนอย่างที่ถูกกล่าวหา และมั่นใจว่า ตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จนถึงไตรมาสสุดท้ายของปีหน้า จะสามารถขายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลที่ได้จากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปีปี 2554/55 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 2555 คิดเป็นเงินที่จะนำมาคืนรัฐบาลได้ไม่ต่ำกว่า 260,000 ล้านบาท แบ่งเป็นไตรมาสสุดท้ายปีนี้ 85,000 ล้านบาท ไตรมาสแรกปีหน้า 40,000 ล้านบาท ไตรมาสสอง 30,000 ล้านบาท ไตรมาสสาม 50,000 ล้านบาท และไตรมาสสี่ 55,800 ล้านบาท จากงบประมาณที่ใช้ในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทั้ง 2 ฤดูกาลประมาณ 280,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังยืนยันว่า ไทยจะยังคงรักษาแชมป์ผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลกไว้ได้แน่นอน โดยคาดว่า ปีนี้ไทยจะส่งออกข้าวได้ไม่ต่ำกว่า 8.5 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นการส่งออกของภาคเอกชน 6.5 ล้านตัน ส่วนที่เหลือเป็นการส่งออกแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ขณะที่อินเดีย ในปีนี้ตั้งเป้าส่งออกไว้ที่ 8 ล้านตัน เวียดนาม 7 ล้านตัน ขณะที่ในด้านมูลค่า ไทยจะยังเป็นแชมป์มูลค่าการส่งออกข้าวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉลี่ยขายได้มากกว่าตันละ 600 เหรียญสหรัฐ ขณะที่คู่แข่งอื่น ทั้งอินเดีย เวียดนาม ขายได้เฉลี่ยตันละกว่า 400 เหรียญสหรัฐเท่านั้น
สำหรับการระบายข้าวในสต๊อก ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลประเทศต่างๆ เช่น จีน บังกลาเทศ โกตดิวัวร์ อินโดนีเซีย เป็นต้น 6 สัญญา ปริมาณรวม 7.328 ล้านตัน โดยเริ่มทยอยส่งมอบแล้ว เปิดให้ผู้ส่งออกประมูลซื้อข้าวรัฐ 2 ครั้ง รวม 264,000 ตัน และขายให้กับหน่วยราชการอื่นในประเทศ เช่น กรมราชทัณฑ์ กระทรวงกลาโหม รวมถึงผลิตเป็นข้าวสารบรรจุถุงธงฟ้าแล้ว 797,000 ตัน ส่งผลให้ล่าสุดรัฐบาลมีข้าวเหลือในสต๊อกอีก 4.175 ล้านตัน ซึ่งหากภาวะภัยแล้งรุนแรงขึ้นจนทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายไปทั่วโลก ก็จะเก็บสำรองไว้เพื่อความมั่นคงทางอาหาร และอาจขายให้กับประเทศที่ขาดแคลนเท่านั้น
นายบุญทรงกล่าวว่า ในด้านการดูแลราคาสินค้า ค่าครองชีพ และอัตราเงินเฟ้อ กระทรวงพาณิชย์มีมาตรการดูแลราคาสินค้าในปีนี้ให้ถูกลงกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งยังทำให้ประชาชนเข้าถึงสินค้าราคาถูก และในราคาที่เป็นธรรมได้มากขึ้น เพราะมีโครงการร้านถูกใจ ที่ล่าสุดเปิดขายทั่วประเทศแล้วกว่า 10,000 แห่ง จนทำให้อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ขยายตัวไม่สูงมาก และน่าจะอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 3.3-3.8% และยังได้ปรับปรุงโครงสร้างราคาสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำในสินค้าหลายรายการ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทั้งผู้ผลิต พ่อค้าคนกลาง และผู้บริโภค ซึ่งได้เริ่มใช้แล้วกับสินค้าหมูด้วยการประกาศราคาแนะนำทุกสัปดาห์ ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั้งผู้เลี้ยง และประชาชน และต่อไปจะจัดทำโครงสร้างราคาสินค้าเกษตรอื่นๆ และเปิดเผยให้ประชาชนได้รับรู้ หรือการประกาศราคาแนะนำ เพื่อไม่ให้ประชาชนถูกเอารัดเอาเปรียบได้อีก
ขณะที่ด้านการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ได้ทำงานร่วมกับภาคเอกชนอย่างจริงจังในการผลักดันมูลค่าการส่งออกสินค้าไทยให้ได้ตามเป้าหมาย แม้จะต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 2 ด้าน คือ ความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปี 2554 และวิกฤติหนี้ในยุโรป แต่มูลค่าการส่งออกล่าสุดในช่วง 7 เดือนของปี 2555 (ม.ค.-ก.ค.) เมื่อคิดเป็นเงินบาท ยังมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 2.2% หรือมีมูลค่า 4.07 ล้านล้านบาท ขณะที่ประเทศคู่แข่งอื่นๆ ติดลบเกือบทั้งหมด เช่น อินเดีย ติดลบ 1.77% ไต้หวัน ติดลบ 5.80% เกาหลี ติดลบ 0.84% เป็นต้น
“ถ้าผมต้องการแบบหล่อๆ เท่ห์ๆ ก็ต้องตั้งเป้าหมายต่ำไว้ อย่างตั้งไว้โต 1% แต่ทำได้จริง 5% ก็จะถือว่าดี แต่ไม่ใช่วัฒนธรรมองค์กรของที่นี่ ผมมารับตำแหน่งที่นี่ ก็ยังคงตั้งเป้าหมายไว้ที่ 15% เหมือนเดิม จนถึงขณะนี้ ก็ยังยืนยันเป้าหมาย 15% เพราะเป็นเป้าหมายของการทำงาน ส่วนจะทำได้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของใคร”นายบุญทรงกล่าว
ส่วนผลงานด้านอื่นๆ เช่น ได้ทำการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการค้า การเตรียมความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) การส่งเสริมงานหัตถศิลป์และผลิตภัณฑ์ชุมชนให้มีการส่งออกเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น