xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมาธิปไตย (ดุลยภาพของ 3 ประสานยิ่งใหญ่นัก) (6)

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ความปั่นป่วนของชาติ ยากที่จะจบสิ้น เพราะผู้ปกครองไร้ปัญญา คิดหาทางแต่จะโกงชาติ หาเงินซื้อเสียงเลือกตั้งครั้งหน้า อีกทั้งพวกประจบสอพลอนักโทษหนีคดี ทั้งเพรียวพันธ์และคำรณ ประชาชนหมดที่พึ่ง เมื่อนักโทษแต่งตั้งยศให้ พวกเขาไกลต่อธรรมเหลือเกิน ต้องโค่นต้องช่วยกันขจัดมันทิ้งด้วยความนิ่มนวลคือศึกษาธรรมของพระพุทธเจ้า

ขอนอบน้อมต่อพระพุทธองค์จะได้ยกอธิปไตย 3 ในอธิปไตยสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 12 อังคุตตรนิกายเอก - ทุก- ติกนิบาตข้อ 479 โดยย่อดังนี้

“ดูกรภิกษุทั้งหลายอธิปไตย 3 อย่างนี้ 3 อย่างเป็นไฉนคืออัตตาธิปไตย 1โลกาธิปไตย 1 ธรรมาธิปไตย 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายก็อัตตาธิปไตย เป็นไฉน... จิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้เธอทำตนเองแลให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศลเจริญกุศลละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าอัตตาธิปไตยฯ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลายก็โลกาธิปไตย เป็นไฉน... เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งความมี และความไม่มีเช่นนั้น ก็แต่ว่าเราเป็นผู้อันชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสครอบงำแล้วชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้วมีทุกข์ท่วมทับแล้วไฉนความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏ... จิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้เธอทำโลกให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศลเจริญกุศลละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าโลกาธิปไตย”

“ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ธรรมาธิปไตย เป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย ... เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งจีวรไม่ใช่เพราะเหตุแห่งบิณฑบาต ไม่ใช่เพราะเหตุแห่งเสนาสนะ เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งความมีและความไม่มีเช่นนั้นก็แต่ว่าเราเป็นผู้อันชาติ ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสครอบงำแล้วชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ท่วมทับแล้ว

ไฉนความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วอันบุคคลพึงเห็นเองไม่ประกอบด้วยกาลควรเรียกให้มาดูควรน้อมเข้ามาในตนอันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตนก็เพื่อพรหมจารีผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่มีอยู่แลเธอย่อมศึกษาว่าก็ความเพียรที่เราปรารภแล้วจักไม่ย่อหย่อนสติที่เข้าไปตั้งมั่น แล้วจักไม่หลงลืมกายที่สงบระงับแล้วจักไม่ระส่ำระสายจิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้เธอทำธรรมนั่นแหละให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศลเจริญกุศลละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าธรรมาธิปไตยดูกรภิกษุทั้งหลายอธิปไตย๓อย่างนี้แลฯ”

แสดงให้เห็นว่าทั้งอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย ก็ต้องขึ้นต่อธรรมาธิปไตย ทีนี้มาดูความเห็นแบบขยายความเพื่อแก้ปัญหาร่วมยุคสมัย ในความมุ่งหมายแห่งธรรมาธิปไตยการถือธรรมเป็นใหญ่คือ ธรรมาธิปไตยแห่งตนและธรรมาธิปไตยสังคมอันเป็นสภาวะที่ประยุกต์มาจากสภาวธรรมอันบริสุทธิ์ที่ไม่เกิดไม่แก่ไม่ดับอันเป็นบรมธรรมใหญ่สุดกว้างสุดสูงสุดคือหลักสากล (Universal law) อันเป็นกฎทั่วไป (General Law) มีลักษณะคุมเหตุปัจจัยอื่นทั้งหมดอันเป็นความจริงแท้สูงสุด (Ultimate Reality) ได้แก่สภาวะอสังขตธรรมอันเป็นธรรมธาตุแท้เป็นแก่นแท้คำสอนอันเป็นจุดหมายสูงสุดแห่งพระพุทธองค์

การประยุกต์สภาวะอันจริงแท้ทั้งสองด้าน หรือสัจธรรมทั้งสองด้านคือธรรมาธิปไตยธรรมชาติ, และธรรมาธิปไตยแห่งบุคคลเมื่อญาณทัศนะรู้แจ้งชัดว่าเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นสิ่งเดียวกัน จึงก่อเกิดการสร้างสรรค์อย่างยิ่งใหญ่สู่ธรรมาธิปไตยแห่งการเมืองการปกครองและสังคมสู่ธรรมาธิปไตยแห่งโลกเป็นที่สุด

อัตตาธิปไตยเป็นวิธีการของบุคคล คือ เมื่ออยู่คนเดียวคิดคนเดียวคิดแต่เรื่องประโยชน์ประเทศชาติ เช่น การออกพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา เป็นต้น แต่ทั้งนี้ต้องถือหลักธรรมาธิปไตยอย่างมั่นคงแล้วจะไม่นำความเสียหายมาสู่ส่วนรวมประเทศชาติและปวงชน

ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับนักการเมืองในระบอบปัจจุบันที่เห็นแก่ประโยชน์ตนและพวกพ้องอย่างน่าเกลียดที่สุด โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้เพราะเงื่อนไขของระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา นั่นเอง

โลกาธิปไตยเป็นวิธีการของหมู่คณะตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือเป็นวิธีการของสมาชิกในองค์การ, องค์กรต่างๆ หรือในที่ประชุมสภาต่างๆ รัฐสภาแห่งชาติ เป็นต้น ได้ใช้เสียงข้างมากเป็นมติ เช่น พระราชบัญญัติและการเลือกตั้งในทุกระดับ ทั้งนี้ต้องถือหลักธรรมาธิปไตยอย่างมั่นคงก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนอย่างแท้จริง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการกระทำของนักการเมืองในปัจจุบันที่ตัดสินความถูกผิดด้วยเสียงข้างมากลากไปพาไปพินาศ

ธรรมาธิปไตยเป็นหลักธรรมหรือหลักการที่ถือธรรมเป็นใหญ่ตามหลักพุทธธรรมสภาวะเหนือการปรุงแต่งเป็นสิ่งที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ เป็นสภาวะที่อยู่เหนือกาลเวลา เป็นหลักที่มั่นคงถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง จึงได้นำมาประยุกต์เป็นหลักการปกครองและหลักในการจัดความสัมพันธ์ในองค์รวมอย่างถูกต้องโดยธรรมอันเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ

ทั้งได้นำมาเป็นหลักในการแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติอันเป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติหรือเหตุแห่งความเลวร้ายอัปรีย์จัญไรทั้งปวงของประเทศไทยคือระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาที่สืบเนื่องยาวนานกว่า 80 กว่าปี นั่นเอง

การนำอธิปไตย 3 มาใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด จะต้องนำมาใช้อย่างเป็นเอกภาพกันทั้ง 3 ด้านจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังรูป

“เป็นระยะเวลากว่า 80 ปีมาแล้วที่ผู้ปกครองไทยยึดถือเอาเพียงรูปแบบ และวิธีการจากยุโรปอันเป็นเพียงเปลือกนอกและได้นำวิธีการ (รัฐธรรมนูญ) มาเป็นหลักการปกครองของประเทศไทย วิธีการย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ แล้วจะนำมาเป็นหลักการหรือจุดมุ่งหมายได้อย่างไรกัน วิธีการก็ยังคงเป็นวิธีการอยู่เช่นนั้นเอง แต่เพราะความอ่อนด้อยปัญญาของผู้ปกครอง ต่างก็ยึดมั่นถือมั่นในลัทธิรัฐธรรมนูญ (Constitutionalism) จึงเป็นปัจจัยให้เกิดผลร้ายสร้างความทรุดโทรมหายนะให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างแสนสาหัสเข้าลักษณะ “เหยียบคบไฟส่องทางแห่งตนปรัชญาตะวันตกครอบงำ” เราชี้ทางสว่างให้แล้ว แต่ผู้ปกครองทั้งหลาย รุ่นแล้ว รุ่นเล่าโง่เขลาเบาปัญญา ยังหลับใหลพวกเขาล้วนถือตนเป็นใหญ่ ถืออัตตาธิปไตย ตบตาล่อลวงด้วยโลกาธิปไตย จนสร้างความร่ำรวยให้กับคณะนักการเมืองเลวรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างก็เข้ามากอบโกย สวาปาม (กินอย่างตะกละ) สมบัติของชาติอย่างแยบคายไปเป็นของตนและพวกพ้อง

ฉะนั้น ผู้มีคุณธรรม ปัญญาชนของทั้งหลาย ได้กรุณาเมตตาพิจารณาศึกษาธรรมาธิปไตยอย่างใกล้ชิด กว้างขว้างเถิดจะได้ทำให้ความเห็นเป็นสัมมาทิฐิและทิฐิสามัญญตา (ความเห็นตรงกัน) จะได้ร่วมมือหาทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ตามรอยพระยุคลบาทอย่างรู้รักสามัคคีธรรม

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่เหล่าพสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์ไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศทั้งปวงสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือทศพิธราชธรรมซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาล นั่นเอง

เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านทศพิธราชธรรมแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยสรุปลงในพระบรมราโชวาทเมื่อเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งได้พิสูจน์ประจักษ์เป็นจริงโดยพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจตลอดเวลาร่วม 60 กว่าปีประจักษ์เป็นจริงอย่างชัดแจ้งในเหตุการณ์เฉพาะหน้าถึงพระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีที่สยบ “พฤษภาทมิฬ” ที่ทรงป้องกันมิให้คนไทยด้วยกันขัดแย้งกัน และทำสงครามกลางเมืองกันเป็นข้อเท็จจริงที่ยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้างในบุคคลบางกลุ่มบางจำพวก บางอุดมการณ์แม้จะมีจำนวนน้อยที่สุดก็ตามที

เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีทศพิธราชธรรมเป็นหลักการ เป็นธงชัยอยู่แล้วพร้อมทั้งองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีลักษณะธรรมาธิปไตยอย่างสูงสุดเป็นสถาบันแห่งธรรมาธิปไตยย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเสมอไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระองค์ทรงมีอำนาจโดยสมบูรณ์ ดุจดวงสุริยามีอำนาจเหนือดาวเคราะห์ทั้งปวง ฉันใด

พระองค์ในฐานะประมุขแห่งชาติ ก็ทรงมีพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ ชอบธรรมที่จะทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมต่อปวงชนในประเทศนี้ ฉันนั้น

ทั้งเป็นการเทิดพระเกียรติพระบรมเดชานุภาพโดยธรรมและมั่นคงดังนี้แล้ว ดาวเคราะห์ทั้งหลาย จะคืนอำนาจแก่พระดวงสุริยันได้อย่างไรกันเล่า เพียงแต่พระดวงสุริยันจะทรงใช้อำนาจสร้างความถูกต้องให้เกิดขึ้นได้หรือไม่ หากสร้างได้ก็สันติ ยิ่งใหญ่ ยิ่งยง เป็นแบบอย่างของโลก หากไม่ทรงสร้าง ก็เห็นว่าจะเกิดความโกลาหลหนักนำไปสู่สงครามกลางเมือง เพราะธรรมชาติของระบอบการเมืองผิดเพื่อนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียวนั้นมันมีจุดจบเป็นเช่นนั้นทุกประเทศไป
กำลังโหลดความคิดเห็น