xs
xsm
sm
md
lg

ปลวกกินหมดแน่...สิ่งที่ปัญญาชนคนไทยควรเข้าใจร่วมสร้างสรรค์

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

บทความนี้นั่งคิด นั่งเขียนที่อินเดีย เมื่อนึกถึงเมืองไทยในท่ามกลางความทุกข์ยาก สับสนของชนในชาติ อันเกิดจากระบอบการปกครองระบอบเผด็จการอันเป็นมิจฉาทิฐิ อันเป็นสาเหตุใหญ่สำคัญที่สุด แต่บุคคลสำคัญๆ สูงส่งในชาติหาได้มองเห็นไม่ หรืออาจจะมองเห็น แต่ไม่มีกำลังปัญญาสามารถที่จะทำการแก้ไขให้ลุล่วงไปได้ มันเป็นเวรกรรมของชาติจริงๆ ที่ผู้มีอำนาจล้วนมีความเข้าใจผิดเห็นการปกครองระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย ใคร...จะเข้าใจเหตุแห่งระบอบเผด็จการและคิดแก้ไขบ้างก็ช่วยกัน

มันเป็นหน้าที่ และภารกิจของเราและหนังสือพิมพ์ ASTVผู้จัดการที่จะทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ และกำลังปัญญามอบให้แด่ท่านผู้อ่านด้วยใจจริงเสมอมา เราเชื่อว่า ปัญญาอันยิ่งใหญ่แสวงหาได้จากคำสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นที่พึ่งของเราชาวพุทธมาเถิดมาร่วมกันพิจารณาอธิปไตย 3 ในอธิปไตยสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 12 อังคุตตรนิกายเอก - ทุก - ติกนิบาตรข้อ 439 โดยย่อดังนี้

[439] “ดูกรภิกษุทั้งหลายอธิปไตย 3 อย่างนี้ 3 อย่างเป็นไฉนคืออัตตาธิปไตย 1 โลกาธิปไตย 1 ธรรมาธิปไตย 1 ดูกรภิกษุทั้งหลายก็อัตตาธิปไตยเป็นไฉน... จิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้เธอทำตนเองแลให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศลเจริญกุศลละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าอัตตาธิปไตยฯ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลายก็โลกาธิปไตยเป็นไฉน...เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งความมีและความไม่มีเช่นนั้น ก็แต่ว่าเราเป็นผู้อันชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสครอบงำแล้วชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ครอบงำแล้วมีทุกข์ท่วมทับแล้วไฉนความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏ... จิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้ เธอทำโลกให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศลเจริญกุศลละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าโลกาธิปไตย”

“ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ธรรมาธิปไตยเป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย ... เราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งจีวรไม่ใช่เพราะเหตุแห่งบิณฑบาตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งเสนาสนะเราออกบวชเป็นบรรพชิตไม่ใช่เพราะเหตุแห่งความมีและความไม่มีเช่นนั้นก็แต่ว่าเราเป็นผู้อันชาติชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสครอบงำแล้วชื่อว่าเป็นผู้มีทุกข์ท่วมทับแล้วไฉนความทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏพระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้วอันบุคคลพึงเห็นเองไม่ประกอบด้วยกาลควรเรียกให้มาดูควรน้อมเข้ามาในตนอันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะตนก็เพื่อพรหมจารีผู้ที่รู้อยู่เห็นอยู่มีอยู่แลเธอย่อมศึกษาว่าก็ความเพียรที่เราปรารภแล้วจักไม่ย่อหย่อนสติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้วสติที่เข้าไปตั้งมั่นแล้วจักไม่หลงลืมกายที่สงบระงับแล้วจักไม่ระส่ำระสายจิตที่เป็นสมาธิแล้วจักมีอารมณ์แน่วแน่ดังนี้เธอทำธรรมนั่นแหละให้เป็นใหญ่แล้วละอกุศลเจริญกุศลละกรรมที่มีโทษเจริญกรรมที่ไม่มีโทษบริหารตนให้บริสุทธิ์ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าธรรมาธิปไตยดูกรภิกษุทั้งหลายอธิปไตย 3 อย่างนี้แล”

แสดงให้เห็นว่าทั้งอัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย ก็ต้องขึ้นต่อธรรมาธิปไตยทีนี้มาดูขยายความเพื่อแก้ปัญหาร่วมยุกต์สมัยในความมุ่งหมายแห่งธรรมาธิปไตยคือการเชิดชูถือธรรมเป็นใหญ่โดยแยกเป็นธรรมาธิปไตยแห่งใจตนและธรรมาธิปไตยแห่งสังคมอันเป็นสภาวะที่ประยุกต์มาจากสภาวธรรมอันบริสุทธิ์ที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ดับอันเป็นบรมธรรมใหญ่สุดกว้างสุดบนสุดคือหลักสากล (Universal law) อันเป็นหลักทั่วไป (General Law) มีลักษณะคุมเหตุปัจจัยอื่นทั้งหมดอันเป็นความจริงแท้สูงสุด (Ultimate Reality) ได้แก่สภาวะอสังขตธรรม (ธรรมที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง) อันเป็นสภาวะอนัตตาอันเป็นธรรมธาตุแท้เป็นแก่นแท้คำสอนสูงสุดของพระพุทธองค์

การประยุกต์สภาวะอันจริงแท้ทั้งสองด้านหรือสัจธรรมทั้งสองด้านคือธรรมาธิปไตยธรรมชาติ, และธรรมาธิปไตยบุคคลเมื่อญาณทัศนะรู้ว่าเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นสิ่งเดียวกัน จึงก่อเกิดการสร้างสรรค์สู่ธรรมาธิปไตยสังคมสู่ธรรมาธิปไตยแห่งชาติสู่ธรรมาธิปไตยโลกเป็นที่สุด

วิเคราะห์ อัตตาธิปไตยเป็นวิธีการของบุคคลคือเป็นเครื่องมือของบุคคลคือเมื่ออยู่คนเดียวคิดคนเดียวคิดแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์ของปวงชนและประเทศชาติ เช่น การออกพระราชกำหนดพระราชกฤษฎีกา แต่ทั้งนี้ต้องถือหลักธรรมาธิปไตยจึงจะไม่นำความเสียหายมาสู่ส่วนรวมประเทศชาติและปวงชนซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับนักการเมืองในปัจจุบันที่เห็นแก่ประโยชน์ตนและพวกพ้องอย่างน่าเกลียดที่สุด โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศชาติและประชาชน ทั้งนี้เป็นเพราะเงื่อนไขของระบอบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญอันมิจฉาทิฐิอย่างร้ายแรงนี่เอง

วิเคราะห์ โลกาธิปไตยเป็นวิธีการของหมู่ชนนับแต่ 2 คนขึ้นไป หรือเป็นวิธีการของสมาชิกในองค์การ, องค์กรต่างๆ หรือในที่ประชุมรัฐสภา เป็นต้น โดยใช้เสียงข้างมากเป็นมติ เช่น พระราชบัญญัติและการเลือกตั้งในทุกระดับ แต่ทั้งนี้ต้องถือหลักธรรมาธิปไตยไว้อย่างเคร่งครัดจึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและปวงชนอย่างแท้จริง ซึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการกระทำของนักการเมืองในปัจจุบันที่ตัดสินความถูกผิดด้วยเสียงข้างมาก น่าหัวเราะที่สุด เช่น การคิดจะออก พ.ร.บ. ปรองดองฯ เพื่อให้ใครพ้นผิดด้วยการยกมือ เป็นต้น ถือว่าชั่วที่สุด

ธรรมาธิปไตย เป็นหลักธรรมหรือหลักการที่ถือธรรมเป็นใหญ่ตามหลักพุทธธรรมสภาวะเหนือการปรุงแต่งเป็นสิ่งที่พ้นจากกฎไตรลักษณ์ เป็นสภาวะที่อยู่เหนือกาลเวลา เป็นหลักที่มั่นคงถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง จึงได้ประยุกต์มาเป็นหลักการปกครองธรรมาธิปไตย อันเป็นหลักในการจัดความสัมพันธ์ในองค์รวมอย่างถูกต้องโดยธรรมเป็นหนึ่งเดียวกับกฎธรรมชาติ จึงได้นำมาเป็นหลักในการแก้ปัญหาพื้นฐานของชาติอันเป็นเหตุแห่งวิกฤตชาติหรือเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งปวงของชาติที่สืบเนื่องยาวนานกว่า 80 ปีแล้ว

การนำอธิปไตย 3 มาใช้ให้เป็นประโยชน์สูงสุด จะต้องนำมาใช้อย่างเป็นเอกภาพกันทั้ง 3 ด้านจึงจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังรูป

80 กว่าปีแล้วที่ผู้ปกครองไทยยึดถือเอาเพียงรูปแบบการปกครอง (ระบบรัฐสภา) และวิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) และได้นำเอาวิธีการ คือ รัฐธรรมนูญมาเป็นหลักการปกครองของประเทศไทยวิธีการย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอตามความเหมาะสมแล้วจะนำมาเป็นหลักการหรือจุดหมายของชาติได้อย่างไรกัน

วิธีการปกครองก็ยังคงเป็นวิธีการอยู่ดีนั่นเอง แต่เพราะความอ่อนด้อยของผู้ปกครองต่างก็ยึดมั่นถือมั่นในลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเป็นเหตุให้เกิดผลร้ายสร้างความทรุดโทรมหายนะให้กับชาติบ้านเมืองและประชาชนไทยอย่างแสนสาหัส “เข้าทำนองเหยียบคบไฟส่องทาง” ชี้ทางสว่างให้แล้ว แต่ผู้ปกครองทั้งหลาย รุ่นแล้วรุ่นเล่ายังมืด ยังหลับใหลเพราะพวกเขาล้วนถือตนเป็นใหญ่ ถืออัตตาธิปไตย และตบตาล่อลวงด้วยวิธีการโลกาธิปไตย จนสร้างความร่ำรวยให้กับนักการเมืองเลวรุ่นแล้วรุ่นเล่า ต่างก็เข้ากอบโกยสวาปาม (โกงชาติบ้านเมืองอย่างตะกละตะกลาม) อันเป็นสมบัติแห่งชาติอย่างแยบคายไปเป็นของตระกูลตนและพวกพ้อง

ฉะนั้น ผู้มีคุณธรรมทั้งหลายได้กรุณาอุทิศตนพิจารณาศึกษาธรรมาธิปไตยอย่างใกล้ชิดเถิดเป็นสัมมาทิฐิ (ทำความเห็นให้ถูก) และทิฐิสามัญญตา (ทำความเห็นถูกให้ตรงกัน) จะได้ร่วมแก้ปัญหาของชาติ อย่างรู้รักสามัคคีธรรมตามรอยเบื้องพระยุคลบาท

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่เหล่าพสกนิกรว่า พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้นยิ่งใหญ่ด้วยพระบรมเดชานุภาพ และพระบารมีเหนือสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศทั้งปวงเพราะหลักสาระสำคัญแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยคือทศพิธราชธรรมซึ่งสืบทอดมาแต่ครั้งพุทธกาลนั่นเอง

เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้าน ทศพิธราชธรรมแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย สรุปลงในพระบรมราโชวาทเมื่อเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งได้พิสูจน์ประจักษ์เป็นจริงโดยพระราชจริยวัตรและพระราชกรณียกิจตลอดเวลากว่าครึ่งศตวรรษประจักษ์เป็นจริงตามอย่างชัดแจ้ง ในเหตุการณ์เฉพาะหน้าถึงพระบรมเดชานุภาพและพระมหาบารมีที่สยบ “พฤษภาทมิฬ” ที่ทรงป้องกันมิให้คนไทยด้วยกันขัดแย้งกันและทำสงครามกลางเมืองกันเป็นข้อเท็จจริงที่ยิ่งใหญ่ซึ่งสามารถขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่อาจจะหลงเหลืออยู่บ้างในบุคคลบางกลุ่มบางจำพวกบางอุดมการณ์แม้จะมีจำนวนน้อยที่สุดก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังร้ายกาจมาก และยังมีขบวนการทำลายอย่างไม่หยุดยั้ง

เมื่อสถาบันพระมหากษัตริย์มีทศพิธราชธรรมเป็นหลักการ เป็นธงชัยอยู่แล้วพร้อมทั้งองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีลักษณะธรรมาธิปไตยอย่างสูงสุดเป็นสถาบันแห่งธรรมาธิปไตยย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างยั่งยืนเสมอไป

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ พระองค์ทรงมีอำนาจโดยสมบูรณ์ ดุจสุริยามีอำนาจเหนือดาวเคราะห์ทั้งปวง ฉันใด

พระองค์ในฐานะพระประมุขแห่งชาติ ทรงรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ทรงมีพระราชอำนาจโดยสมบูรณ์ ทรงมีความชอบธรรมที่จะทรงมีพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม และทรงพระราชทานต่อปวงชนไทย เพื่อแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ ฉันนั้น

แล้วใครละจะออกมาเป็นกองหน้า แกนนำร่วมมือกันอย่างรู้รักสามัคคีธรรม สามารถชี้แจงแสดงเหตุผล เห็นข้อผิดพลาดของการเมืองไทยอย่างใหญ่หลวงและการปล้นชาติของนักการเมืองโดยงบประมาณมากมาย เช่น สองล้านล้านบาทเป็นต้น ในขณะที่การเมืองการปกครองตกอยู่ในมือของกลุ่มคนเพียงหยิบมือเดียวเพียงสลับขั้ว (ทุนกับนักการเมืองทาส)และเสนอแนวทางแก้ไขอย่างมีปัญญา สร้างสรรค์สันติต่อพี่น้องปวงชนไทยทุกคนมันหายนะซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ยาวนานเกินไปแล้วมิใช่หรือ
กำลังโหลดความคิดเห็น