xs
xsm
sm
md
lg

เป้าโจมตีที่ถูกต้องและการรุกกลับทางการเมืองอย่างขนานใหญ่

เผยแพร่:   โดย: ดร.ป. เพชรอริยะ

ประชาชนไทยต่างก็วิตกกังวลกับความไม่มั่นคงของการดำเนินชีวิต ความไม่มั่นคงของหน้าที่การงาน ความไม่มั่นคงในการดำเนินธุรกิจ เหล่านี้เป็นธรรมดาของคนทั่วไปที่ระลึกมองไปข้างหน้า

แต่ที่ไม่ธรรมดา ท่านทั้งหลายจะต้องรู้ความจริงว่าตลอดระยะเวลานับแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยเราตกอยู่ภายใต้การเมืองการปกครองแบบเผด็จการ หรือการเมืองแบบอัตตาธิปไตย คือการเมืองเพื่อตนและพวกพ้องสองรูปแบบ สองลักษณะ คือเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญกับเผด็จการโดยรัฐประหาร การปกครองทั้งสองรูปแบบเป็นผลผลิตของลัทธิรัฐธรรมนูญ โดยลัทธินี้หลงผิดอย่างร้ายแรงว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย และคณะรัฐประหารแล้วก็ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยรัฐธรรมนูญบริหารราชการแผ่นดินโกงชาติบ้านเมืองได้สักพักก็ถูกรัฐประหาร ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นวงจรอุบาทว์ บางครั้งบางคราฝ่ายไม่พอใจฝ่ายรัฐประหารก็ออกมาเรียกร้องรัฐธรรมนูญก่อการจลาจลโค่นฝ่ายรัฐประหาร ฝ่ายรัฐประหารล้มไปก็มาร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ มันคือวงจรอุบาทว์ที่ซ้ำซาก

การเมือง การปกครองของไทยจึงไม่เคยมีการเริ่มต้นวิวัฒนาการของการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย มีแต่การเมืองการปกครองแบบเผด็จการสองลักษณะและได้อาศัยรูปการปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) หากเปรียบกับบุคคลดุจดังหน้าตาหล่อเหลาแต่ใจโง่เขลา ใจทรามต่ำช้า

ขอให้ผู้อ่านทุกคนได้ตั้งจุดมุ่งหมายของชีวิต หรือเป้าหมายของชีวิต จุดมุ่งหมายของชีวิตมีสองด้านคือด้านภายนอกหรือทางโลก เช่น การตั้งใจเรียน การตั้งใจทำอาชีพที่ตนชอบที่ตนทำให้มีความก้าวหน้ามั่นคง แต่ท่านคงไม่ลืมว่า “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” ดังนั้นหน้าที่การงานจะเจริญก้าวหน้ามั่นคงได้ มนุษย์เราต้องพัฒนาจิตใจของเราก่อนให้มีปัญญารู้แจ้งชีวิตและสรรพสิ่งตามความเป็นจริงเพื่อก้าวไปสู่จุดมุ่งหมายคือนิพพาน หรือสภาวะธรรมาธิปไตย อันเป็นจุดหมายสูงสุดเป็นจุดหมายที่แท้จริงของมนุษยชาติ และเป็นจุดมุ่งหมายที่สั่งสมก้าวหน้าหรือล้าหลังติดตามตัวเราไปตลอดจะสิ้นสุดต่อเมื่อเข้าถึงพระนิพพานหรือสภาวะธรรมาธิปไตย จุดมุ่งหมายทั้งทางโลกและทางธรรมย่อมอิงอาศัยซึ่งกันและกัน จิตใจดีย่อมเรียนดี ทำหน้าที่ดี ตำแหน่งหน้าที่การงานดีย่อมก่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจให้สูงยิ่งๆ ขึ้นไป

บุคคล ต้องมีจุดมุ่งหมาย ครอบครัวต้องมีจุดมุ่งหมาย องค์กร บริษัทฯ ประเทศชาติ ย่อมต้องมีจุดหมายร่วมกัน ฯลฯ ศาสนาย่อมสอนให้มนุษย์มีจุดมุ่งหมายให้ถูกต้อง

มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มนุษย์นอกจากจะมีจุดมุ่งหมายของตนเองแล้ว จะต้องมีจุดมุ่งหมายร่วมกันในหลายด้าน ในหลายๆ ลักษณะ เช่น

ชาติ ย่อมโอบอุ้มคุ้มครองปวงชนในชาติด้วยสิทธิและหน้าที่ ชาติคือจุดหมายร่วมกันของคนในชาติ ผู้ปฏิเสธก็ย่อมคิดที่จะแยกแผ่นดิน หากทุกคนได้ล่วงรู้ ทุกคนจะร่วมกันต่อต้านการกระทำที่แบ่งแยกดินแดน ต่อต้านการกระทำที่ทำลายชาติ เช่น บ่อน ซ่อง หวยเถื่อน ขบวนค้ายาเสพติดทุกชนิด ขบวนการล่อลวงต่างๆ เป็นต้น

หากประชาชนในชาติล่วงรู้ ย่อมต่อต้านนักการเมืองอุบาทว์ที่ทำการเมือง เคลื่อนไหวการเมืองเพื่อส่วนตน เพื่อพวกพ้องและเพื่อประโยชน์ต่างชาติ เห็นชาติอื่นดีกว่าชาติของตน

ศาสนา ย่อมโอบอุ้มคุ้มครอง เป็นทั้งจุดหมายและหนทางแห่งสันติสุข ของศาสนิกชนการก้าวหน้าทางใจคือบุญ ทำลายบาป เป็นหนทางแห่งการรู้แจ้งมีปัญญาสูงสุด ย่อมเป็นจุดหมายร่วมของศาสนิกชน เพื่อศึกษา ปฏิบัติตามคำสอนของศาสดาเพื่อลดละ ความกลัว โลภ โกรธ หลง ให้เบาบางลงๆ เพื่อเข้าสู่ เข้าถึงจุดสูงสุดของคำสอน พร้อมทำนุบำรุงส่งเสริมศาสนาที่ตนนับถือ การอ้างศาสนาเพื่อไปทำลายผู้อื่นหรือศาสนาอื่นๆ ย่อมเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อชาติ ศาสนาที่แท้จริงย่อมเป็นไปเพื่อสันติ ช่วยเหลือ ค้ำจุน เห็นอกเห็นใจต่อกันและยอมรับในความแตกต่างหลากหลาย

พระมหากษัตริย์ ผู้ทรงเป็นประมุขสูงสุดของชาติ ทรงเป็นผู้นำของชาติในทุกด้าน พระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงทศพิธราชธรรม ย่อมแผ่เมตตาจิตโอบอุ้มคุ้มครองพสกนิกรทั้งประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช คือตัวอย่างของพระมหากษัตริย์ที่ทรงดำรงทศพิธราชธรรม ย่อมเป็นศูนย์กลางรวมใจของปวงชนในชาติ เพื่อความเข้มแข็งมั่นคงของชาติ

ระบอบการเมืองหรือหลักการปกครองโดยธรรม ระบอบการเมืองจะมีความเป็นธรรม ระบอบก็คือหลักการปกครองโดยธรรม หลักการปกครองโดยธรรมย่อมเป็นศูนย์กลางของกฎหมายทุกชนิดนับแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติต่างๆ พระราชกำหนดต่างๆ เป็นต้น......ต่อๆๆ

หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นศูนย์กลางของการเมืองการปกครองของปวงชนในชาติ “การเมืองต้องพัฒนามาจากหลักการปกครองโดยธรรม” การปกครองย่อมมาจากกฎหมายรัฐธรรมนูญ (ซึ่งเป็นหนทางหรือเป็นวิธีการของการปกครอง) และพระราชบัญญัติต่างๆ รัฐบาลจะต้องบริหารให้เป็นไปตามหลักการปกครองโดยธรรมและกฎหมายต่างๆ (แต่หลักการปกครองโดยธรรมไม่เคยมี)

“เมื่อมีจุดหมาย (หลักการปกครอง) ย่อมมีหนทาง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) เมื่อมีหนทาง ย่อมมีความก้าวหน้า เมื่อมีความก้าวหน้า สักวันหนึ่งจะถึงจุดหมายความสำเร็จ”

น่าเสียดายอย่างที่สุดที่ประเทศไทยเราขาดนักปราชญ์ทางการเมือง เราไม่มีหลักการปกครองโดยธรรมมายาวนานกว่า 80 ปี เรามีแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ นั่นหมายความว่าเราไม่มีการเมืองโดยธรรมของปวงชน เรามีแต่การเมืองของพรรคการเมืองหรือของกลุ่มบุคคลเพียงหยิบมือเดียว และปกครองโดยกลุ่มของคณะบุคคลบ้าง มาในนามของคณะพรรคบ้าง ประเทศไทยจึงตกอยู่ในวังวนของการเมืองน้ำเน่า การเมืองคอร์รัปชัน การเมืองทำลายประเทศให้ทรุดโทรมล้าหลัง ก้าวหน้าไปไม่ได้ นี่คือความร้ายกาจของลัทธิรัฐธรรมนูญที่หลอกลวงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย และลัทธิเผด็จการทุกชนิดจะไม่มีหลักการปกครอง มีแต่กฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นเพียงเครื่องมือหรือวิธีการปกครองเพียงด้านเดียว

“เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย (ไม่มีหลักการปกครอง) ย่อมไม่มีหนทาง (ของปวงชน) เมื่อไม่มีหนทาง ย่อมไม่มีความก้าวหน้า เมื่อไม่มีความก้าวหน้า อุปมาเหมือนภายเรือในอ่างน้ำ” ดังนี้มา 80 กว่าปี แล้ว

หากเราเทียบดูจากหลักการปกครองของบุคคล คือพระมหากษัตริย์ทรงทศพิธราชธรรม สมดังพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” สำหรับประเทศชาติ ในยุคสมัยใหม่จะต้องมีหลักการปกครองเพื่อชี้ชัดว่าเราปกครองแบบไหน ปกครองอย่างไร ปกครองด้วยระบอบอะไร ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม มันจะต้องมีหลักการปกครองฯ ยกขึ้นแสดงให้เห็นเป็นประจักษ์และประชาชนเข้าใจจากการประชาสัมพันธ์อยู่เนืองนิตย์ ทำให้ประชาชนได้ล่วงรู้ว่าการเมืองของเราเป็นธรรมอย่างนี้เอง เมื่อประชาชนล่วงรู้หลักการปกครอง ย่อมเป็นพลังอันสำคัญของชาติ เป็นพลังสำคัญของทุกหน่วยงาน นับแต่รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ครอบครัว วัด โรงเรียน และหน่วยงาน องค์กรต่างๆ หลักการปกครองโดยธรรมย่อมเป็นศูนย์กลางของปวงชนในชาติ ย่อมเป็นเอกภาพและดุลยภาพ ปวงชนไทยอันแตกต่างหลากหลายแต่มีจุดหมายเดียวกันคือหลักการปกครองโดยธรรมของชาติ ย่อมเป็นพลังแห่งการสร้างสรรค์อันยิ่งใหญ่ของปวงชนในชาติอย่างไม่รู้จบสิ้น

การรุกกลับทางการเมืองคืออะไร คือการเสนอแนวทางการเมืองที่เหนือกว่า

- จากไม่มีหลักการปกครองฯ เสนอให้มีการสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม

- จากการเมืองของนักการเมืองเพียงหยิบมือเดียว เปลี่ยนเป็นการเมืองโดยธรรมของปวงชนในชาติ

- จากไม่มีหลักการปกครองในรัฐธรรมนูญเปลี่ยนเป็นมีหลักการปกครองฯ ในรัฐธรรมนูญ

- จากรัฐบาลของชนส่วนน้อยเพียงหยิบมือเดียว เปลี่ยนเป็นรัฐบาลของปวงชนในชาติ

- จากสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มั่นคง ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอันเป็นเพียงวิธีการปกครองในหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนให้สถาบันพระมหากษัตริย์มั่นคงสูงสุด โดยยกย่องเทิดทูนองค์พระมหากษัตริย์ขึ้นเป็นหลักหนึ่งในหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 (อุปมา จากเดิมพระมหากษัตริย์ดุจดังดาวเคราะห์ เปลี่ยนเป็นดาวฤกษ์)

หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 หรือระบอบการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยมีหลักการโดยย่อดังนี้ (1) หลักธรรมาธิปไตย (2) หลักพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ (ไม่ใช่ประมุขระบอบเผด็จการ ที่บัญญัติในมาตรา 2) (3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส (6) หลักภราดรภาพ (7) หลักดุลยภาพ (8) หลักเอกภาพ (9) หลักนิติธรรม

เราแนะนำให้อย่างดีที่สุดแล้ว รัฐบาลย่อมมีภาระหน้าที่ ย่อมรู้ว่าอะไรคือภัยของชาติที่แท้จริง เหตุที่พวกนักการเมืองเลวเพราะอะไร อย่ามัวแต่หลงอยู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั่นมันเป็นแนวทางอุบาทว์จัญไรไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและเป็นการตอกย้ำ ความโง่เขลาของพรรคการเมืองต่างๆ ที่ยังหลงติดอยู่ในลัทธิรัฐธรรมนูญ อันเป็นภัยร้ายแรงของชาติที่แท้จริง

ณ เวลานี้ การรุกกลับทางการเมืองของพรรคฝ่ายค้าน แกนนำองค์การมวลชนต่างๆ มีเพียงวิธีเดียว คือ เสนอนโยบายแห่งชาติและประชาสัมพันธ์ สู่การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เมื่อสำเร็จแล้วจากนั้นจึงคิดแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องโยงเป็นหนึ่งเดียวกับหลักการปกครองฯ นี่คือความถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติ หากพรรคฯ แกนนำองค์การมวลชนไม่ทำตามนี้ นอกจากนี้ยังมีคณะผู้นำกลุ่มพันธมิตรฯ และกองทัพแห่งชาติเป็นผู้ทำหรือจะให้นักโทษชาย... กลับมาเป็นใหญ่ก็ตามใจเถิด หรือรอให้เกิดสงครามกลางเมืองก่อนอย่างนั้นหรือ...ท่านผู้เป็นใหญ่ทั้งหลาย
กำลังโหลดความคิดเห็น