xs
xsm
sm
md
lg

ตำรวจไทย

เผยแพร่:   โดย: ชัยอนันต์ สมุทวณิช

ตำรวจสมัยก่อนมีคนเป็น พล.ต.อ.เพียงคนเดียวระดับ พ.ต.อ.ก็เป็นผู้บังคับการ ส่วนผู้กำกับนั้นยศ พ.ต.ท.ก็เป็นได้ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ตำรวจมีงานมากสมัยที่มีคอมมิวนิสต์ นายตำรวจสันติบาลที่ดูแลเรื่องนี้คือ พล.ต.ต.ชัช ชวางกูร ต่อมาเป็น พล.ต.ต.อารีย์ กะรีบุตร บุคคลเหล่านี้มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องลัทธิคอมมิวนิสต์ดี และได้คลุกคลีกับคอมมิวนิสต์ที่ถูกจับกุมจนเกิดความสนิทสนมเรียกว่าเป็นตำรวจสาย “พิราบ”

การวิ่งเต้นเพื่อตำแหน่งมีมานานแล้ว แต่ไม่ใช่การซื้อขายตำแหน่ง อย่างดีก็ให้เมียไปรับใช้เมียนายไปประจบขลุกอยู่กับบ้านนายเป็นประจำ การซื้อขายตำแหน่งเพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน และเป็นไปตามความเจริญทางเศรษฐกิจ ความมั่งคั่งมีมากขึ้น อบายมุข เช่น บ่อน อาบอบนวด มีมากขึ้นจนเกิดระบบส่วยที่กินกันทั้งโรงพัก นายตำรวจหนุ่มๆ ที่จบใหม่ๆ มีอุดมการณ์ก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะถูกจ่าตำรวจจัดการหาผลประโยชน์ให้

วันก่อนผมดูข่าวเห็นในห้องนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งมีภาพถ่ายที่เขากำลังให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดยศให้ ข้างๆ เป็นป้ายเขียนว่า “มีวันนี้ เพราะพี่ให้”

ที่น่าสนใจก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ แต่ก็มีบารมีถึงกับนายตำรวจผู้นี้รู้สึกเป็นบุญเป็นคุณ เขาคิดว่าตำแหน่งและยศที่ได้มานั้น ทักษิณเป็นผู้ดลบันดาลซึ่งก็คงเป็นเช่นนั้น เพราะทักษิณมีอำนาจลับๆ อยู่เบื้องหลังการโยกย้ายนายตำรวจ รวมไปถึงตำแหน่งอื่นๆ อีกด้วย

ระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทยเป็นของคู่กัน อาจมีบางสมัยเช่น ตอนที่ พล.ต.อ.หลวงอดุลยเดชจรัส เป็นอธิบดีตำรวจที่คนเก่าคนแก่เล่าว่ามีความเป็นธรรมที่สุด เพราะหลวงอดุลย์เป็นคนตรง แม้จอมพลป. พิบูลสงคราม ก็ยังเกรงใจ

ตำรวจสมัยก่อนยังมีระบบคุณธรรมมากกว่ายุคนี้ แต่ก็เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากขึ้น ในสมัยพล.ต.อ.เผ่า การเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองนั้น ไม่ใช่เข้ามาเล่นการเมือง แต่เข้ามาจัดการกับนักการเมือง คือเอานักการเมืองไปฆ่าทิ้ง จนเป็นคดีใหญ่โตถูกจับติดคุกไปหลายคน

สมัยพล.อ.ต.เผ่า เป็นอธิบดีมีวิธีการควบคุมดูแลลูกน้องคือ ให้คนสลับกันไปเข้าเวร พล.ต.อ.เผ่าก็ได้ใช้และสังเกตนิสัยของลูกน้องแต่ละคน จนมีนายตำรวจกลุ่มหนึ่งที่ใกล้ชิด และได้รับแหวนตราอาร์มเป็นรางวัล คนที่พล.ต.อ.เผ่า ชอบมากก็ให้แหวนฝังเพชรอย่างที่เรียกกันว่า “อัศวินแหวนเพชร” ที่โด่งดังมากก็คือ นายตำรวจสามคนได้แก่ พ.ต.อ.พันธุ์ศักดิ์ วิเศษภักดี พ.ต.อ.พุฒ บูรณสมภพ และพ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูร สามคนนี้แม้จะไม่ถูกดำเนินคดี แต่ก็เป็นที่เกรงขามของคนทั่วไป พ.ต.อ.พุฒินั้นเป็นนักเขียนด้วย

ก่อนหน้านี้มีนายตำรวจรุ่นใหญ่ที่เป็นนักเรียนตำรวจรุ่น “ห้วยจระเข้” ที่โด่งดังก็คือ พล.ต.ท.เยื้อน ประภาวัต ผู้พิชิตอั้งยี่กรรไกรขาเดียว ส่วนทางด้านสันติบาลก็มี พล.ต.จ.รัตน์ วัฒนะมหาตม์ ตำรวจสมัยก่อนมีหลายคนที่จบมาจากสก็อตแลนด์ยาร์ด

เมื่อ 60-70 ปีที่แล้ว มีธรรมเนียมว่าใครที่จบได้ที่หนึ่งจะได้ไปอยู่โรงพักจักรวรรดิ ที่สองอยู่โรงพักสำราญราษฎร์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อก่อนศูนย์กลางทางการค้าอยู่แถวๆ สะพานหัน และสำเพ็ง เป็นย่านที่มีคนจีนอยู่เป็นจำนวนมาก

พล.ต.อ.เผ่า เป็นผู้สร้างอาณาจักรตำรวจ มีรถถัง พลร่ม และทำให้ตำรวจมีลักษณะกึ่งทหาร ต่อมาทหารภายใต้การนำของ พล.อ.สฤษดิ์ เกรงว่า พล.ต.อ.เผ่าจะมีอำนาจมากเกินไป และเมื่อเกิดการปฏิวัติ พ.ศ. 2500 แม้พล.ต.อ.เผ่าจะไม่ได้เคลื่อนไหวคัดค้าน แต่ก็ได้รับการขอร้องให้ออกนอกประเทศไปอยู่สวิตเซอร์แลนด์ บรรดาพ่อค้าจีนสมัยนั้นที่อยู่ฝ่าย พล.ต.อ.เผ่า ก็ต้องค่อยๆ แปรพักตร์ไปอาศัยบารมีของจอมพลสฤษดิ์

เวลานั้นจอมพลสฤษดิ์มีอำนาจมาก คุมกองทัพไว้ได้หมด ผมเคยได้ยินเรื่องเล่าว่ามีคนคิดโค่นอำนาจจอมพลสฤษดิ์ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ใช้วิธีส่งผู้หญิงไปให้แยะๆ จอมพลสฤษดิ์ ชอบกินเหล้าอยู่แล้ว คนพวกนี้ก็คิดว่าทำอะไรไม่ได้ก็ให้สุขภาพทรุดโทรมจนตายไปเอง ซึ่งก็เป็นจริงเพราะจอมพลสฤษดิ์อายุสั้นมาก

ตำรวจใหญ่ที่นึกถึงบุญคุณทักษิณจะผิดหรือเปล่า การไปหาผู้ซึ่งหนีคดีเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ไม่บังควร แต่การออกมาเปิดเผยเช่นนี้ก็แสดงว่าเขาไม่เกรงกลัวอะไรเลย

หากเขาคิดเช่นนี้แล้วประชาชนจะเหลืออะไรเล่าครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น