ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ช่วงรุ่งสางของเช้าจันทร์ที่ 3 กันยายน 2555 ขณะที่แฟนคลับข่าวอาชญากรรมกำลังหลับใหล กลับต้องตื่นตะลึงกับข่าวรถหรูเฟอร์รารี่ชนตร.สายตรวจสน.ทองหล่อซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ แถมลากไปไกลกว่า 200 เมตรจากปากซ.สุขุมวิท 47 ถึง 49 จนเสียชีวิต พร้อมมีร่องรอยให้แกะรอยรถต้องสงสัย เพราะพบคราบน้ำมันไหลเป็นทางและสามารถตามไปถึงรถที่ชนแล้วหลบเข้าไปภายในบ้านระดับคฤหาสน์ 3 ไร่
ที่สำคัญคือหลังการตรวจสอบทราบว่าบ้านหลังดังกล่าวเป็นของนายวิทยา อยู่วิทยา เจ้าของประธานบริษัทเรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด บุตรชายนายเฉลียว อยู่วิทยา ที่เพิ่งเสียชีวิตหรือที่รู้จักกันกันดีในนามเจ้าพ่อกระทิงแดง ตระกูลที่มีความมั่งคั่งเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทยในปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิไม่ต่ำกว่า 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 168,435ล้านบาท) จากรายได้ที่มาจากการถือหุ้นในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ธุรกิจโรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ ไม่เว้นแม้แต่การที่ตระกูลอยู่วิทยาเข้าไปเป็น “เจ้าของร่วม” ในบริษัทนำเข้ารถยนต์หรูแห่งหนึ่งที่ได้สิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของแบรนด์รถยนต์เฟอร์รารีในประเทศไทยอีกด้วย
และผู้ที่ก่อเหตุก็คือนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ลูกชายคนสุดท้องในจำนวน 3 คนของนายเฉลิม อยู่วิทยา และ มาดามปุ๋ง-ดารณี อยู่วิทยา โดย นายวรยุทธ เป็นหนุ่มนักเรียนนอกวัย27 ปี จบการศึกษาด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ จากเซนต์มาร์ติน ลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีพี่น้องด้วยกัน 3 คนคือ น.ส.วรางคณา อยู่วิทยา (แชมเปญ) สมรสกับ ม.ล.กอกฤษต กฤดากร 2. นายวาริท อยู่วิทยา (ปอร์เช่) 3. นายวรยุทธ อยู่วิทยา (บอส)
ขณะที่วันเกิดเหตุคือวันที่ 3 ก.ย. 55 นั้นก็เป็นวันเกิดครบรอบ 64 ปีของเฉลิม อยู่วิทยาอีกต่างหาก
ดังนั้น สังคมจึงอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวคือของขวัญกล่องโตจากลูกชาย ตามสโลแกนของบริษัทเป๊ะที่ว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชน!! .
ทั้งนี้ หากคดีนี้จะลงเอยจริง ตามบทสรุปของพล.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างผบช.น.ด้วยการที่ผู้ต้องหาได้รับสารภาพแล้วและยินดีชดใช้ค่าเสียหายทุกประการ จนกระทั่งนายวรยุทธได้การรับประกันตัวออกไปในวงเงิน 5 แสนบาทก็คดีนี้ก็น่าจะยุติได้แล้ว และปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย
แต่สื่อทั้งในและเทศยังกังขาถึงการให้ประกันตัวและพยายามปิดคดีโดยเร็วว่า หากผู้ที่ก่อเหตุไม่ใช่ "ลูกเฉลิม" แต่นามสกุลต่างกัน(อยู่วิทยา-อยู่บำรุง)ไปก่อเหตุฆ่าตร.ที่มียศ ด.ต.(ดาบยิ้ม) เหมือนกัน คดีจะนี้จะลงเอยเฉกเช่นเดียวกับคำประกาศของ"เดอะแจ๊ส" ที่ประกาศกร้าวว่าตร.จะต้องไม่ตายฟรีหรือไม่ ?
วันรุ่งขึ้นเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ผ่าวดาวเทียม “ฟ็อกซ์ นิวส์”ของสหรัฐฯ ระบุว่า นายวรยุทธ วัย27 ปี ซึ่งเป็นหลานชายของนายเฉลียว อยู่วิทยา ผู้ให้กำเนิดแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อก้องโลก ถูกตำรวจควบคุมตัวหลังจากที่เขาขับรถยนต์หรูเฟอร์รารี่มาด้วยความเร็วพุ่งชนด.ต.วิเชียร ขณะกำลัง
ปฏิบัติหน้าที่ แล้วหลบหนีไปกบดานในบ้านพักในย่านสุขุมวิทของกรุงเทพฯ ขณะที่ร่างของตำรวจผู้เคราะห์ร้ายถูกนายวรยุทธจงใจขับรถลากออกไปตามท้องถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุเป็นระยะทางไกลกว่า 200 เมตร
ขณะที่สื่อต่างประเทศอีกหลายสำนักทั้ง เดลี เมล, สำนักข่าวบีบีซี, หนังสือพิมพ์เทเลกราฟ รวมถึง เว็บไซต์เดอะ มิร์เรอร์ ต่างตั้งข้อสังเกตว่า เพราะเหตุใด ตำรวจไทยจึงยินยอมให้คนร้ายทายาทเศรษฐีรายนี้ได้รับการประกันตัวไปในวงเงิน 500,000 บาท ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่า นายวรยุทธ “มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ก่อเหตุไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นห่วงต่อเหยื่อแม้แต่น้อยทั้งยังจงใจขับรถยนต์หรูของตนลากร่างของตำรวจเคราะห์ร้ายไปเป็นระยะทางไกลอย่างไร้ความปราณี
ขณะเดียวกัน สื่อต่างประเทศยังตั้งข้อสังเกตว่า พบความผิดปกติในคดีนี้ กรณีที่มีคนขับรถรายหนึ่งออกมารับผิดแทนผู้ก่อเหตุตัวจริง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ อาจมีการใช้ “อิทธิพลมืด” เพื่อให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นทายาทนักธุรกิจชื่อดัง รอดพ้นความผิด
5 ก.ย.สื่อยักษ์ใหญ่ อย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ ยังไม่ลดราวาศอก กับคดีทายาท ผู้บริหารบริษัทเครื่องดื่มกระทิงแดง ตั้งก่อข้อถกเถียงถึงความเท่าเทียมทางสังคมตามเว็บไซต์ข่าวและเว็บบอร์ดต่างๆ พร้อมตั้งแง่ถึงวัฒนธรรมการหลุดพ้นโทษของนักธุรกิจผู้มั่งมีและพวกผู้นำทางการเมืองอาจได้รับชัยชนะอีกครั้ง
"นายวรยุทธ อยู่วิทยา วัย 27 ปี หลานชายของนายเฉลียว อยู่วิทยา ผู้ให้กำเนิดแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อก้องโลก ก่อเหตุขับรถเฟอร์รารี่ชนตำรวจเสียชีวิต ย่านใจกลางกรุงเทพฯ เบื้องต้นเขาหลบหนีจากที่เกิดเหตุ แต่ต่อมาก็เข้ามอบตัวและยอมรับว่าขับรถชนตำรวจจริง ก่อนที่จะได้รับการประกันตัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาด้วยวงเงิน 500,000 บาท"
รอยเตอร์ยังระบุด้วยว่า แม้นายวรยุทธยังไม่ได้ถูกนำตัวขึ้นศาล แต่ดูเหมือนว่าประชาชนบนโลกอินเทอร์เน็ต มีเพียงเล็กน้อยที่เชื่อว่าเขาจะถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม
“คุกมีไว้สำหรับคนจนพวกคนรวยไม่เคยถูกลงโทษ เดี๋ยวก็หาแพะมารับบาป” ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรายหนึ่งโพสต์ความเห็นบนเว็บไซต์พันทิป
เช่นเดียวกับความเห็นหนึ่งที่โพสต์บนเว็บไซต์แมนเนเจอร์ออนไลน์ (www.manager.co.th ระบุว่า “บางทีเขาอาจโดนแค่ทัณฑ์บน ค่าของชีวิตคืออะไร” สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน
สื่อมวลชนชื่อดังแห่งนี้รายงานด้วยว่า โทษรอลงอาญาดูเหมือนเป็นบรรทัดฐานการตัดสินสำหรับผู้ทรงอำนาจทางการเมืองและคนไทยที่มีเส้นสายดีไปเสียแล้ว โดยในเดือนกรกฎาคม ด้วยระยะห่างเพียง 5 วัน ส.ส.จากพรรครัฐบาล 2 คน และอดีตรองนายกรัฐมนตรีถูกพบว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งก็ได้รับโทษรอลงอาญา ขณะที่ พล.อ.ธีรเดช มีเพียรรองประธานวุฒิสภา ซึ่งถูกตัดสินว่าขึ้นเงินเดือนตนเองอย่างผิดกฎหมายครั้งที่ดำรงตำแหน่งตรวจการแผ่นดิน ก็รอดพ้นการถูกจำคุกเช่นกัน
เช่นเดียวกับคดีที่ น.ส.แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่เมื่อวันศุกร์ (31) มีคำพิพากษารอลงอาญา ฐานเป็นเหตุแห่งการเสียชีวิตของประชาชน 9 คนในปี 2010 จากกรณีที่เธอขับรถชนท้ายรถตู้โดยสารคันหนึ่ง คดีนี้ก่อความเดือดดาลในโลกสังคมออนไลน์ที่ไม่พอใจว่าทำไมเด็กสาวรายนี้ที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูงถึงรอดพ้นโทษจำคุก แถมยังถูกห้ามขับรถแค่ 7 เดือนเท่านั้น
ขณะเดียวกัน รอยเตอร์ระบุอีกว่ายังมีอีกหลายคดีที่ไม่เคยแม้กระทั่งถูกส่งไปถึงมือศาล ด้วยรัฐมนตรีหรือข้าราชการระดับสูงบางส่วนถูกพบว่าพัวพันกับการคอรัปชันจนต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่พวกเขากลับไม่ต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทางอาญา แถมบางกรณีแค่คำขอโทษก็ดูเหมือนจะพอเพียงแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักแสดงคนดัง “พลอย” เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ ถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษี ได้ร่ำไห้ต่อหน้าสื่อมวลชนและกล่าวโทษ สำนักบัญชีสำหรับความผิดพลาดโดยสุจริต แม้ก่อนหน้านี้เพิ่งโพสต์ภาพตนเองเคียงข้าง เป๊ก-สัณชัย ลูกชายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ลงบนสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมกับข้อความใต้ภาพว่า “อย่ามามีเรื่องกับพวกเรานะว้อย”
รอยเตอร์ระบุว่า การอ้างเหตุผลด้วยถ้อยคำ “บกพร่องโดยสุจริต” เคยถูกใช้โดยทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเช่นกัน โดยตอนนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2001 ครั้งที่เขาถูกชำระคดีฐานซุกหุ้นมูลค่า 4,500 ล้านบาท ไว้กับคนรับใช้และนักธุรกิจรายหนึ่ง
แต่พออีกคดี หลังจากถูกรัฐประหารโค่นล้มในปี 2006 ทักษิณถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ฐานผลประโยชน์ขัดแย้งในอีก 2 ปีต่อมา อดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ซึ่งหลบหนีไปยังต่างแดนกลับกล่าวอ้างว่าคำพิพากษามีแรงจูงใจทางการเมือง เช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่
สำนักข่าวดังแห่งนี้รายงานต่อว่า ประเด็นเรื่องผลประโยชน์ขัดแย้งก็ก่อเสียงคร่ำครวญในสังคมไทยเช่นกัน โดยเมื่อเดือนที่แล้วการโยกย้ายลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จากทหารสู่ตำรวจจุดชนวนความไม่พอใจในหมู่นักการเมืองฝ่ายค้าน และก็ไม่ใช่แค่ประเด็นเกื้อหนุน
ญาติมิตรเท่านั้น
เพราะว่าก่อนหน้านี้นายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้รับการชำระคดีในปี 2004 ฐานยิงตำรวจชั้นผู้น้อยรายหนึ่งเสียชีวิต ณ ไนต์คลับท่ามกลางฝูงชน ด้วยเหตุผลหลักฐานไม่เพียงพอ และแม้ตอนนั้นนายดวง จะถูกปลดออกจากราชการฐานละทิ้งหน้าที่ เนื่องจากเขาหลบหนีการจับกุมไปยังมาเลเซีย แต่ไม่กี่ปีต่อมาก็มีการคืนยศให้เขาตามเดิม
นั่นคือบทสรุปในสายตาของสื่อต่างชาติ ที่สะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมชั้นสอบสวน ที่เชื่อว่าหากผู้ต้องหาหรือทายาทเป็นผู้มีอิทธิพลไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจหรือการเมือง สำนวนคดีความก็จะอ่อนลงตามพลังเงิน ไม่ต้องพูดถึงกระบวนการในชั้นศาลเมื่อสำนวนอ่อนสุดท้ายก็ยกฟ้องหรืออย่างดีก็แค่รอลงอาญาตามระเบียบ..... คำถามจึงมีว่าคุกมีไว้ใส่คนจนเท่านั้นหรือ ?