xs
xsm
sm
md
lg

จาก “อยู่บำรุง” ถึง “อยู่วิทยา” คุกไทยมีไว้ใส่คนจน!!?

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

วรยุทธ อยู่วิทยา
โดย : ผู้กองตั้ง

ช่วงรุ่งสางของเช้าจันทร์ที่ 3 ขณะที่แฟนคลับข่าวอาชญากรรมกำลังหลับใหล ต้องตกตะลึงกับข่าวรถหรูเฟอร์รารีชนตำรวจสายตรวจ สน.ทองหล่อ ซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่ แถมลากไปไกลกว่า 200 เมตรจากปากซอยสุขุมวิท 47 ถึง 49 จนเสียชีวิต จึงไม่น่าจะใช่อุบัติเหตุธรรมดา หรือเพราะมีเจตนาจงใจฆ่า...

แต่เมื่อพบร่องรอยรถต้องสงสัยและสามารถตามไปถึงจุดรถซิ่งที่ชนแล้วหลบเข้าไปภายในบ้านระดับคฤหาสน์ 3 ไร่ และจากตรวจสอบทราบว่าเป็นบ้านของนายวิทยา อยู่วิทยา เจ้าของประธานบริษัท เรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด บุตรชายนายเฉลียว อยู่วิทยา ที่เพิ่งเสียชีวิตหรือที่รู้จักกันกันดีในนามเจ้าพ่อกระทิงแดง ตระกูลที่มีความมั่งคั่งเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทยในปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ไม่ต่ำกว่า 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 168,435 ล้านบาท) ยิ่งเขย่าขวัญให้เจ้าพ่อธุรกิจทุกวงการสงสัยว่า กำลังเกิดอะไรขึ้นกับคนในตระกูลนี้

หันกลับมามองย้อนพฤติกรรม ทายาทของนักธุรกิจ-การเมืองหรือแวดวงคนบันเทิง ทำไมมักจะมีข่าวคราวออกไปเชิงในลบมากกว่าด้านบวก

นั่นก็เพราะเขาเหล่านั้นถือว่าเป็นทายาทของบุคคลสาธารณะ เมื่อมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือกระทำผิดกฏหมาย ก็มีสิทธิ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์และตรวจสอบหนักเป็นทวีคูณ

แฉประวัตินายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ลูกชายคนสุดท้องในจำนวน 3 คนของเจ้าพ่อเรดบูลผู้โด่งดังทั่วโลก เฉลิม อยู่วิทยา และมาดามปุ๋ง-ดารณี อยู่วิทยา โดยนายวรยุทธเป็นหนุ่มนักเรียนนอกวัย 27 ปี จบการศึกษาด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์จากเซนต์มาร์ติน ลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีพี่น้องด้วยกัน 3 คนคือ น.ส.วรางคณา อยู่วิทยา (แชมเปญ) สมรสกับ ม.ล.กอกฤษต กฤดากร 2. นายวาริท อยู่วิทยา (ปอร์เช่) 3. นายวรยุทธ อยู่วิทยา (บอส)

อุปนิสัยส่วนตัวของบอส จากแหล่งข่าวคนใกล้ชิดกับครอบครัวอยู่วิทยา บอกว่าโดยปกติบอสเป็นคนเรียบร้อยมาก ไม่ค่อยออกไปสังสรรค์นอกบ้าน และไม่ดื่มแอลกอฮอลล์ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอยู่ที่บ้านกับคุณแม่ และเลี้ยงหลานสาวคนเดียวของครอบครัวอยู่วิทยา คือน้องเฟอร์-กฤษตินา ซึ่งเป็นลูกของพี่สาว วรางคณา

แหล่งข่าวคนเดิมยังบอกอีกว่า ด้วยความที่เป็นครอบครัวคนดังเพราะฉะนั้นครอบครัวของเฉลิมอยู่วิทยา รวมถึงลูกๆทุกคนมักจะจัดงานสังสรรค์ภายในบ้านมากกว่าที่จะออกไปรวมพลกันนอกบ้าน เพราะเกรงว่าจะเป็นข่าวใหญ่โต

ที่สำคัญวันเกิดเหตุ 3 ก.ย. 55 เป็นวันเกิดครบรอบ 64 ปีของเจ้าพ่อเรดบูลเฉลิม อยู่วิทยาซึ่งเหตุการณ์นี้ คงเป็นของขวัญกล่องโตจากลูกชาย ตามสโลแกนของบริษัทเป๊ะที่ว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชน!!

หากคดีนี้จะลงเอยจริง ตามบทสรุปของ พล.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น.ด้วยการที่ผู้ต้องหาได้รับสารภาพและยินดีชดใช้ค่าเสียหายทุกประการ จนกระทั่งนายวรยุทธได้การรับประกันตัวออกไปในวงเงิน 5 แสนบาทก็น่าจะยุติได้แล้ว

แต่ยังเป็นที่น่ากังขาทั้งสื่อในและเทศ ถึงการให้ประกันตัวและพยายามปิดคดีโดยเร็วว่า หากผู้ก่อเหตุไม่ใช่ “ลูกเฉลิม” แต่นามสกุลต่างกัน (อยู่วิทยา-อยู่บำรุง)ไปก่อเหตุฆ่าตำรวจที่มียศ ด.ต.เชียร-ยิ้มเหมือนกัน คดีจะนี้จะลงเอยเฉกเช่นเดียวกับคำประกาศของ “เดอะแจ๊ส” ที่ประกาศกร้าวว่าตร.จะต้องไม่ตายฟรีหรือไม่?

วันรุ่งขึ้นเครือข่ายสถานีโทรทัศน์ผ่าวดาวเทียม “ฟ็อกซ์นิวส์” ของสหรัฐฯ ระบุว่า นายวรยุทธ วัย 27 ปี ซึ่งเป็นหลานชายของนายเฉลียว อยู่วิทยา ผู้ให้กำเนิดแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อก้องโลก ถูกตำรวจควบคุมตัวหลังจากที่เขาขับรถยนต์หรูเฟอร์รารีมาด้วยความเร็วพุ่งชน ด.ต.วิเชียร ขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ แล้วหลบหนีไปกบดานในบ้านพักในย่านสุขุมวิทของกรุงเทพฯ ขณะที่ร่างของตำรวจผู้เคราะห์ร้ายถูกนายวรยุทธจงใจขับรถลากออกไปตามท้องถนน ห่างจากจุดเกิดเหตุเป็นระยะทางไกลกว่า 200 เมตร

ขณะที่สื่อต่างประเทศอีกหลายสำนักทั้ง เดลีเมล์, สำนักข่าวบีบีซี, หนังสือพิมพ์เทเลกราฟ รวมถึงเว็บไซต์เดอะมิร์เรอร์ ต่างตั้งข้อสังเกตว่าเพราะเหตุใดตำรวจไทยจึงยินยอมให้คนร้ายทายาทเศรษฐีรายนี้ได้รับการประกันตัวไปในวงเงิน 500,000 บาท ด้วยเหตุผลเพียงแค่ว่านายวรยุทธ “มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง” ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ก่อเหตุไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นห่วงต่อเหยื่อแม้แต่น้อย ทั้งยังจงใจขับรถยนต์หรูลากร่างของตำรวจเคราะห์ร้ายไปเป็นระยะทางไกลอย่างไร้ความปรานี

ขณะเดียวกัน สื่อต่างประเทศยังตั้งข้อสังเกตว่า พบความผิดปกติในคดีนี้ กรณีที่มีคนขับรถรายหนึ่งออกมารับผิดแทนผู้ก่อเหตุตัวจริง ทำให้เกิดข้อสงสัยว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่อาจมีการใช้ “อิทธิพลมืด” เพื่อให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นทายาทนักธุรกิจชื่อดังรอดพ้นความผิด

ทั้งนี้ ข้อมูลจากนิตยสาร “ฟอร์บส์” สื่อดังด้านธุรกิจและการเงินของสหรัฐฯ ระบุว่า ตระกูล “อยู่วิทยา” ถือเป็นตระกูลที่มีความมั่งคั่งเป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทยในปีนี้ โดยมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิไม่ต่ำกว่า 5,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 168,435 ล้านบาท) จากรายได้ที่มาจากการถือหุ้นในธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง Red Bull ธุรกิจโรงพยาบาล อสังหาริมทรัพย์ ไม่เว้นแม้แต่การที่ตระกูลอยู่วิทยา เข้าไปเป็น “เจ้าของร่วม” ในบริษัทนำเข้ารถยนต์หรูแห่งหนึ่ง ที่ได้สิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับอนุญาตของแบรนด์รถยนต์เฟอร์รารีในประเทศไทยอีกด้วย

5 ก.ย.สื่อยักษ์ใหญ่อย่างสำนักข่าวรอยเตอร์ ยังไม่ลดราวาศอกกับคดีทายาทผู้บริหารบริษัทเครื่องดื่มกระทิงแดง ตั้งก่อข้อถกเถียงถึงความเท่าเทียมทางสังคมตามเว็บไซต์ข่าวและเว็บบอร์ดต่างๆ พร้อมตั้งแง่ถึงวัฒนธรรมการหลุดพ้นโทษของนักธุรกิจผู้มั่งมีและพวกผู้นำทางการเมืองอาจได้รับชัยชนะอีกครั้ง

“นายวรยุทธ อยู่วิทยา วัย 27 ปี หลานชายของนายเฉลียว อยู่วิทยา ผู้ให้กำเนิดแบรนด์เครื่องดื่มชูกำลังชื่อก้องโลก ก่อเหตุขับรถเฟอร์รารีชนตำรวจเสียชีวิต ย่านใจกลางกรุงเทพฯ เบื้องต้นเขาหลบหนีจากที่เกิดเหตุ แต่ต่อมาก็เข้ามอบตัวและยอมรับว่าขับรถชนตำรวจจริง ก่อนที่จะได้รับการประกันตัวในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาด้วยวงเงิน 500,000 บาท”

รอยเตอร์ยังระบุอีกว่า แม้นายวรยุทธยังไม่ได้ถูกนำตัวขึ้นศาล แต่ดูเหมือนว่าประชาชนบนโลกอินเทอร์เน็ต มีเพียงเล็กน้อยที่เชื่อว่าเขาจะถูกลงโทษตามกระบวนการยุติธรรม “คุกมีไว้สำหรับคนจนพวกคนรวยไม่เคยถูกลงโทษ เดี๋ยวก็หาแพะมารับบาป” ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตรายหนึ่งโพสต์ความเห็นบนเว็บไซต์พันทิป

เช่นเดียวกับความเห็นหนึ่งที่โพสต์บนเว็บไซต์ Manager.co.th ระบุว่า “บางทีเขาอาจโดนแค่ทัณฑ์บน ค่าของชีวิตคืออะไร” สำนักข่าวรอยเตอร์รายงาน

สื่อมวลชนชื่อดังแห่งนี้รายงานด้วยว่า โทษรอลงอาญาดูเหมือนเป็นบรรทัดฐานการตัดสินสำหรับผู้ทรงอำนาจทางการเมืองและคนไทยที่มีเส้นสายดีไปเสียแล้ว

ในเดือนกรกฎาคม ด้วยระยะห่างเพียง 5 วัน ส.ส.จากพรรครัฐบาล 2 คน และอดีตรองนายกรัฐมนตรีถูกพบว่ามีความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งก็ได้รับโทษรอลงอาญา ขณะที่ พล.อ.ธีรเดช มีเพียร รองประธานวุฒิสภา ซึ่งถูกตัดสินว่าขึ้นเงินเดือนตนเองอย่างผิดกฎหมายครั้งที่ดำรงตำแหน่งตรวจการแผ่นดิน ก็รอดพ้นการถูกจำคุกเช่นกัน

เช่นเดียวกับคดีที่ น.ส.แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่เมื่อวันศุกร์ (31) มีคำพิพากษารอลงอาญา ฐานเป็นเหตุแห่งการเสียชีวิตของประชาชน 9 คนในปี 2010 จากกรณีที่เธอขับรถชนท้ายรถตู้โดยสารคันหนึ่ง คดีนี้ก่อความเดือดดาลในโลกสังคมออนไลน์ที่ไม่พอใจว่าทำไมเด็กสาวรายนี้ที่มาจากครอบครัวชนชั้นสูงถึงรอดพ้นโทษจำคุก แถมยังถูกห้ามขับรถแค่ 7 เดือนเท่านั้น

ขณะเดียวกัน รอยเตอร์ระบุอีกว่ายังมีอีกหลายคดีที่ไม่เคยแม้กระทั่งถูกส่งไปถึงมือศาล ด้วยรัฐมนตรีหรือข้าราชการระดับสูงบางส่วนถูกพบว่าพัวพันกับการคอร์รัปชันจนต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่พวกเขากลับไม่ต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทางอาญา แถมบางกรณีแค่คำขอโทษก็ดูเหมือนจะพอเพียงแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักแสดงคนดัง “พลอย” เฌอมาลย์ บุณยศักดิ์ ถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษี ได้ร่ำไห้ต่อหน้าสื่อมวลชนและกล่าวโทษสำนักบัญชีสำหรับความผิดพลาดโดยสุจริต แม้ก่อนหน้านี้เพิ่งโพสต์ภาพตนเองเคียงข้าง เป๊ก-สัณชัย ลูกชายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ลงบนสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมกับข้อความใต้ภาพว่า “อย่ามามีเรื่องกับพวกเรานะว้อย”

รอยเตอร์ระบุว่า การอ้างเหตุผลด้วยถ้อยคำ “บกพร่องโดยสุจริต” เคยถูกใช้โดยทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยเช่นกัน โดยตอนนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี 2001 ครั้งที่เขาถูกชำระคดีฐานซุกหุ้นมูลค่า 4,500 ล้านบาท ไว้กับคนรับใช้และนักธุรกิจรายหนึ่ง

แต่พออีกคดี หลังจากถูกรัฐประหารโค่นล้มในปี 2006 ทักษิณถูกตัดสินจำคุก 2 ปี ฐานผลประโยชน์ขัดแย้งในอีก 2 ปีต่อมา อดีตนายกรัฐมนตรีรายนี้ซึ่งหลบหนีไปยังต่างแดนกลับกล่าวอ้างว่าคำพิพากษามีแรงจูงใจทางการเมือง เช่นเดียวกับคดีอื่นๆ ที่ยังคั่งค้างอยู่

สำนักข่าวดังแห่งนี้รายงานต่อว่า ประเด็นเรื่องผลประโยชน์ขัดแย้งก็ก่อเสียงคร่ำครวญในสังคมไทยเช่นกัน โดยเมื่อเดือนที่แล้วการโยกย้ายลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จากทหารสู่ตำรวจจุดชนวนความไม่พอใจในหมู่นักการเมืองฝ่ายค้าน และก็ไม่ใช่แค่ประเด็นเกื้อหนุนญาติมิตรเท่านั้น

เพราะว่าก่อนหน้านี้นายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ก็ได้รับการชำระคดีในปี 2004 ฐานยิงตำรวจชั้นผู้น้อยรายหนึ่งเสียชีวิต ณ ไนต์คลับท่ามกลางฝูงชน ด้วยเหตุผลหลักฐานไม่เพียงพอ และแม้ตอนนั้นนายดวง จะถูกปลดออกจากราชการฐานละทิ้งหน้าที่ เนื่องจากเขาหลบหนีการจับกุมไปยังมาเลเซีย แต่ไม่กี่ปีต่อมาก็มีการคืนยศให้เขาตามเดิม

นั่นคือบทสรุปในสายตาของสื่อต่างชาติ ที่สะท้อนถึงความไม่ยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมชั้นสอบสวนที่เชื่อว่าหากผู้ต้องหาหรือทายาทเป็นผู้มีอิทธิพลไม่ว่าจะเป็นด้านธุรกิจหรือการเมือง สำนวนคดีความก็จะอ่อนลงตามพลังเงินไม่ต้องพูดถึงกระบวนการในชั้นศาลเมื่อสำนวนอ่อนสุดท้ายก็ยกฟ้องหรืออย่างดีก็แค่ลงอาญาตามระเบียบ...คำถามจึงมีว่าคุกมิไว้ใส่คนจนเท่านั้นหรือ!!?
กำลังโหลดความคิดเห็น