ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-สู้อุตส่าห์ทุ่มเงินหลายสิบล้านแจกจ่ายให้นักกีฬาโอลิมปิกเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ กระทั่ง "เสี่ยตัน" ตัน ภาสกรนที เจ้าของชาเขียวพร้อมดื่ม "อิชิตัน" ได้รับคำชื่นชมจากสังคมอย่างล้นหลามจนเหมือนกับว่าเขาได้รับเหรียญทองโอลิมปิกนั่นทีเดียว แต่พอถึงพาราลิมปิก ซึ่งเป็นกีฬาโอลิมปิดสำหรับคนพิการ พลันที่เสี่ยตันบอกว่า ไม่ให้เพราะคงทำบุญได้ไม่ทุกวัดเท่านั้นกระแสก็ตีกลับรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หวาดไม่ไหว จนต้องเปลี่ยนใจมาอัดฉีดให้เหรียญทองละล้าน
ทั้งนี้ เสียงวิพากษ์วิจารณ์นักการตลาดมือทองอย่างเสี่ยตันดังกระหึ่มเมื่อ Super บันเทิง "ASTV ผู้จัดการ" ได้นำบทสัมภาษณ์พิเศษมาเสนอ
“อย่ามาคาดหวังว่าผมจะต้องทำตลอดนะ อย่างพาราลิมปิกเกมส์ (พาราลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 29 ส.ค. - 9 ก.ย. 55) หรือเอเชี่ยนเกมส์อะไรพวกนี้ ผมไม่มีนะครับ เราทำบุญทุกวัดไม่ได้ ผมเองเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ยังต้องดูแลลูกเมีย ผมเป็นเจ้าของบริษัทก็ยังต้องดูแลลูกน้อง แล้วยังต้องดูแลมูลนิธิผมอีก เราก็เลือกทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ แล้วเราก็มีความสุข ทุกอย่างดีหมดครับ เรามาแบ่งกันทำ ไม่ต้องแย่งกันทำ”
ที่สำคัญ เสี่ยตันยังบอกว่า การบริจาคเพื่อทำความดีของเขาเป็นแค่ตัวอย่างในการสร้างค่านิยมใหม่สำหรับคนที่ทำธุรกิจ เมื่อมีเงินเหลือกินเหลือใช้ก็ควรจะเผื่อแผ่แบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ไม่ใช่คิดแต่จะเอาอย่างเดียว ส่วนสิ่งที่ตนเองทำถ้าจะมีคนบอกว่าเป็นการสร้างภาพ ทำการตลาดก็แล้วแต่จะคิด
“ผมเองอาจจะเป็นแค่ตัวอย่างเล็กๆ บางคนจะมองว่าผมสร้างภาพ เป็นการตลาด ก็แล้วแต่คนจะคิดเลยครับ แต่ในมุมของผมนั้น ผมกำลังสร้างเทรนด์ สร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้เป็นตัวอย่างเล็กๆ สำหรับคนที่ทำธุรกิจ ผมว่าเราทำเพื่อตัวเองมาพอแล้ว มีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ฉะนั้นเราก็ควรจะเผื่อแผ่แบ่งปันให้คนอื่นบ้าง อย่าคิดแต่จะเอาอย่างเดียว ต้องเผื่อแผ่ด้วย เงินส่วนที่เกินจากเราใช้แล้ว มันมีประโยชน์มหาศาล เงินมันมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการจะใช้มันเท่านั้น เอามาเก็บไว้ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราพอแล้ว มันก็เป็นส่วนเกิน”
"ผมไม่ได้มองในเรื่องของการตลาดอะไรมากมาย แต่ถ้าว่ามันได้ผลไหม ผมว่ามันได้ผลมากที่สุด แต่ถ้าคุณคิดถึงแต่ผลกำไร มันจะทำให้คุณกดดันและเป็นทุกข์ ก็คิดอะไรใหม่ๆ ออกมาไม่ได้ แต่สำหรับผม ผมมองมันเป็นผลพลอยได้ ความสุขเป็นสิ่งที่ผมตั้งหวังไว้ มันก็แค่นี้เอง ผมยึดเอาความสุขเป็นที่ตั้ง”
“ผมบอกว่าการทำการตลาดแบบเดิม หรือแบบนี้ไม่มีอะไรถูกผิด การโฆษณาแบบเดิมก็ดี ผมเองไม่เคยคิด ไม่เคยวัดว่าแบบไหนมันจะดีกว่ากัน ผมว่าถ้าเราจะทำเรื่องของการช่วยเหลือคนอื่น แล้วเราคิดว่ามันเป็นการตอบแทน วัดคุณค่าของการลงทุนตรงนี้ผมว่าอย่าทำเลย มันจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าคุณทำด้วยเจตนาดี ความตั้งใจดี ไม่ปฏิเสธว่าสุดท้ายคุณก็ได้ผลพลอยได้ ผมเรียกมันแบบนั้นดีกว่า อันนี้แน่นอน เป็นสิ่งที่ดีที่ผมได้กับตัวเองครับ เราทำอะไรเราก็ได้อย่างนั้น ไม่มีใครทำไม่ดีแล้วจะได้ดี ไม่มีแน่นอน คนทำดีย่อมได้ดีเสมอ แต่เราอย่าไปวัดมูลค่า เพราะมันคิดเป็นเงินไม่ได้”
“คือเรามีความสุขในการทำไงครับ พอเราทำไปแล้วเรายิ่งมีความสุข ทุกอย่างมันก็จะตามเข้ามาเอง มันก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรมากครับสำหรับผม ถ้าทำแล้วมีความทุกข์อย่าทำ ผมพอแล้ว ผมมีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ทุกข์จะเงินมากเงินน้อย แต่ถ้าเราสุขแล้วมันก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีเรื่องเครียด กังวล อย่างในเฟซบุ๊กเอง ผมมีแจกของ พาไปดูหนัง หรือกิจกรรมการกุศลต่างๆ ก็ทำแบบไม่ได้คิดอะไร ผมทำเพราะว่าผมมีความสุข มันก็เท่านั้นเองครับ"
อันที่จริงจะว่าไปแล้ว เสี่ยตัน ถือเป็นตัวอย่างที่ดีของนักธุรกิจที่ทำเพื่อสังคมที่ไม่ใช่คิดแต่จะเอาเปรียบเอากำไรอย่างเดียว แต่การยึดเอาความสุขจากการให้เป็นที่ตั้งของเสี่ยตันที่เขาพร่ำบอก มักจะถูกมองด้วยความคลางแคลงมาแต่ไหนแต่ไหน และเมื่อทุกความเคลื่อนไหวเขามีความสามารถในการทำให้อยู่ในความสนใจของสังคมตลอด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อเขาเอ่ยคำว่าไม่ให้นักกีฬาพาราลิมปิก ก็เลยเป็นเรื่อง
เสียงก่นด่าจึงโหมกระหน่ำซัดเข้าเต็มเหนี่ยว ชนิดที่ทำให้เสี่ยอิชิตันถึงกับทรุดลงไปกองกับพื้นเลยทีเดียว
"พาราลิมปิกไม่ช่วย เพราะยอดคนดูน้อย คนให้ความสนใจน้อย สรุป...การทำบุญของแกก็พิสูจน์ชัดว่า เป็นการโฆษณาอย่างนึงแค่นั้นเอง อาจจะประหยัดเงินกว่าลงตามสื่อด้วยซ้ำ แถมได้ภาพว่าเป็นคนดีช่วยสังคมอีก...,
"ถ้าเป็นผม ผมจะเลือกทำบุญกับวัดที่ยังไม่ค่อยมีคนทำบุญครับ คุณตัน" , เสี่ยน่าจะมีน้ำใจให้นักกีฬาที่เค้าพยายามกว่าคนปรตินะคะ...
กระนั้นก็ดี ถึงแม้จะมีคนหมั่นไส้ ไม่ชอบใจเพราะเชื่อว่าเสี่ยตันสร้างภาพ ทำอีเวนต์ ทำการตลาดให้กับสินค้าของตัวเอง แต่ก็มีบางเสียงที่ให้กำลังใจและมอง ตัน ต่างมุม "อย่าไปว่าคุณตันเขาเลย เขาให้ก็เงินของเขาเงิน ตั้งมากมายที่เขาให้ไปหลายอย่าง เราสงสารและให้เงินช่วยทุกคนบนโลกไม่ได้นะครับ ควรจะชมเชยเขามากกว่าที่ยังสละทรัพย์ส่วนนึงให้สังคม ไม่หาเงินอย่างหน้ามืดตามัวโดยไม่ให้สังคมบ้างเลย เป็นกำลังใจให้คุณตันครับ"
แต่ในท้ายที่สุดแล้ว หลังจากเรื่องราวไม่มอบเงินสนับสนุนนักกีฬาคนพิการที่เข้าร่วมแข่งขันพาราลิมปิกจนกลายเป็นทอล์ก ออฟ เดอะทาวน์ และถูกโจมตีอย่างหนักในสังคมออนไลน์ ล่าสุด “เสี่ยตัน” ประกาศผ่าน เฟซบุ๊ค สื่อสังคมออนไลน์ของตนเอง ว่า “นอกจากครอบครัว ผมต้องดูแลบริษัท และมูลนิธิตันปัน ผมจึงขอเป็นกำลังใจส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งให้กับทัพนักกีฬาพาราลิมปิกเกมส์ ตามกำลังของผม โดยไม่ไปเบียดเบียนบริษัทและภรรยา เพราะบริษัทเพิ่งตั้งตัวใหม่ จึงขอมอบกำลังใจให้กับนักกีฬาพาราลิมปิก เหรียญทอง เหรียญละ 1,000,000 บาท, เหรียญเงิน เหรียญละ 500,000 บาท และเหรียญทองแดง เหรียญละ 300,000 บาท”
“การให้กำลังใจและสนับสนุนขอให้เป็นหน้าที่ของทุกคนๆ ช่วยกัน มากน้อยไม่เป็นไร แต่ทำแล้วต้องไม่เดือดร้อนนะ”
อย่างนี้เรียกว่า เป็นการไหวตัวของเสี่ยตัน เมื่อรู้ว่า กระแสสังคมเริ่มตีกลับและรู้เท่าทันนักการตลาดชั้นเซียนอย่าง ตัน ภาสกรนที
หมายเหตุ : ตอนนี้ 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีเว็บเพจแล้วนะครับ ขอเชิญมิตรรักนักอ่านร่วมพูดคุยและแสดงความคิดเห็นกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend