เป็นข่าวดังไปทั่วกับกรณีนักธุรกิจดังอย่าง “ตัน ภาสกรนที” ยอมทุ่มเงินเป็นรางวัลให้กับตัวแทนนักกีฬาไทยบนเวทีโอลิมปิกครั้งล่าสุด เป็นจำนวนเงินกว่า 35.3 ล้าบาท
มองย้อนกลับไป นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นักธุรกิจคนนี้แสดงความ “ใจถึง” ออกมา เพราะก่อนหน้านั้น เจ้าตัวก็เคยทุ่มเงินถึง 40 ล้านบาทในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในบ้านเราเมื่อปีก่อนมาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่หลายคนมองว่าเขาเป็น “พ่อพระใจบุญ” แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่อดจะตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าการให้ของเขานั้นแอบแฝงอะไรอยู่หรือไม่?
โดยเฉพาะเมื่อมองไปยัง “สถานการณ์” ที่เขาเลือกที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ซึ่งเจ้าตัวก็ออกปากยอมรับว่า เป็น “เคสบายเคส”
“ปกติในการทำธุรกิจของผม ไม่มีนโยบายสนับสนุนเรื่องของกีฬาเป็นหลัก กรณีนี้มันคือเคสบายเคส ผมมาเกี่ยวข้องกับกีฬา 2 ครั้ง ครั้งแรกคือ น้องวิว เทควันโด (เยาวภา บุรพลชัย เหรียญทองแดงจากกีฬาโอลิมปิก เอเธนส์เกมส์ 2004) ผมเห็นเขากลับมาเศร้าๆ เหงา ไม่มีใคร ตอนไปรับผมก็เลยให้รางวัลเขาไป 1 ล้านบาท ยืนยันว่า ผมไม่ได้เอาเขามาถ่ายรูป มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ของสินค้าอะไรเลย ผมก็เลยให้เงินเป็นกำลังใจเขา กับครั้งนี้ก็เหมือนกัน ผมไม่ได้คิดว่าจะเข้ามาช่วยตั้งแต่แรก เผอิญว่าช่วงนั้นผมอยู่นิวยอร์ก ก็คิดว่าเอ๊ะ ปีนี้เมืองไทยจะไม่ได้เหรียญทองรึเปล่า”
“เราอยู่นิวยอร์กก็เห็นเขาเชียร์กีฬากัน เวลาที่ธงชาติของเขาขึ้น ทุกคนจะมีความสุขมาก แต่เราคนเดียวที่เรานั่งอยู่เหงาๆ ห่อเหี่ยว ก็เลยคิดแบบสั่นๆ เร็วๆ เลยว่าเอาเงินรางวัล 10 ล้านมากระตุ้น เผื่อเฮือกสุดท้ายนักกีฬาของเราจะสู้ แล้วได้เหรียญทองกลับมาให้ประเทศไทย มันเป็นเรื่องของความภูมิใจของประเทศไทย เรื่องของชื่อเสียง ความสุขของคนไทยทั้งประเทศ ผมก็ช่วยได้แค่นี้แหละครับ ตอนนั้นก็คิดแล้วว่า คงช่วยไว้ไม่ทันแล้ว คงต้องอัดไปแรงๆ หน่อย ตอนนั้นตั้งเป้าว่าจะได้สัก 2-3 เหรียญ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้สักเหรียญทอง แต่ก็ไม่เป็นไร”
“ผมก็เลยนำเงินส่วนนึงของ 2 เหรียญที่คิดว่าจะได้ ก็คือ 10 ล้านบาท ไปให้กับโรงพยาบาลทหารผ่านศึก แล้วอีก 10 ล้านให้เป็นกองทุนการศึกษาให้กับลูกทหารตำรวจที่เสียชีวิตใน 3 จังหวัดภาคใต้ พอให้คนที่ได้แล้วคนที่ไม่ได้เราก็ให้ไปด้วย เพราะทุกคนก็ตั้งใจทำ ตั้งใจฝึกฝน ก็เลยให้ทุกคนหมด ตกลงใช้ไปประมาณ 35 ล้านกว่าๆ เป็นเงินบริษัท 15 ล้าน ที่เหลือเป็นเงินส่วนตัวที่ผมไปขอเมียมา อย่างที่บอก ตอนแรกอิชิตันขาดทุน ปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสัก 10 กว่าล้าน ก็เอาตรงนี้แหละครับมาให้พวกเขา”
ไม่สนคนมองสร้างภาพ-ทำการคลาดเพื่อหวังผลทางธุรกิจ
“ผมว่าทุกวันนี้โลกเราก็เปลี่ยนไปเยอะ ธุรกิจก็มีการแข่งขันกันมากขึ้น รวมถึงถ้าคิดว่าจะมีคนจนน้อยลงแต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ คนจนกับคนรวยยังห่างกันมากขึ้นด้วยซ้ำไป ผมว่าเมืองไทยคนรวยเยอะ แต่คนรวยส่วนใหญ่จะขี้เหนียว แต่ไม่ใช่ทุกคนนะครับ แต่กลับกัน คนที่ใจถึงกลับกลายเป็นคนจน คนที่มีเงินน้อยจะใจป้ำกว่า ถ้าจะเห็นในช่วงเหตุการณ์ต่างๆ ในเรื่องของการช่วยสังคม บางคนบริจาค 500 บาท ผมว่ามันยังดูมากกว่าการบริจาค 100 ล้าน เพราะ 500 ของเขา อาจจะเป็นหลายๆ เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนทั้งๆ ที่เขาไม่มีเงินเก็บด้วยซ้ำไป ผมเลยสนับสนุนการทำธุรกิจ วันนี้และอนาคตอยากให้คนรุ่นใหม่ทำธุรกิจ แล้วก็ทำประโยชน์ให้กับคนอื่น”
“ผมเองอาจจะเป็นตัวอย่างเล็กๆ บางคนจะมองว่าผมสร้างภาพ เป็นการตลาด ก็แล้วแต่คนจะคิดเลยครับ แต่ในมุมของผมนั้น ผมกำลังสร้างเทรนด์ สร้างค่านิยมใหม่ๆ ให้เป็นตัวอย่างเล็กๆ สำหรับคนที่ทำธุรกิจ ผมว่าเราทำเพื่อตัวเองมาพอแล้ว มีเงินเหลือกินเหลือใช้แล้ว ฉะนั้นเราก็ควรจะเผื่อแผ่แบ่งปันให้คนอื่นบ้าง อย่าคิดแต่จะเอาอย่างเดียว ต้องเผื่อแผ่ด้วย เงินส่วนที่เกินจากเราใช้แล้ว มันมีประโยชน์มหาศาล เงินมันมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการจะใช้มันเท่านั้น เอามาเก็บไว้ไม่มีประโยชน์ ถ้าเราพอแล้ว มันก็เป็นส่วนเกิน”
“ผมบอกว่า การทำการตลาดแบบเดิม หรือแบบนี้ไม่มีอะไรถูกผิด การโฆษณาแบบเดิมก็ดี ผมเองไม่เคยคิด ไม่เคยวัดว่าแบบไหนมันจะดีกว่ากัน ผมว่าถ้าเราจะทำเรื่องของการช่วยเหลือคนอื่น แล้วเราคิดว่ามันเป็นการตอบแทน วัดคุณค่าของการลงทุนตรงนี้ผมว่าอย่าทำเลย มันจะไม่ได้อะไรเลย แต่ถ้าคุณทำด้วยเจตนาดี ความตั้งใจดี ไม่ปฎิเสธว่าสุดท้ายคุณก็ได้ผลพลอยได้ ผมเรียกมันแบบนั้นดีกว่า อันนี้แน่นอน เป็นสิ่งที่ดีที่ผมได้กับตัวเองครับ เราทำอะไรเราก็ได้อย่างนั้น ไม่มีใครทำไม่ดีแล้วจะได้ดี ไม่มีแน่นอน คนทำดีย่อมได้ดีเสมอ แต่เราอย่าไปวัดมูลค่า เพราะมันคิดเป็นเงินไม่ได้”
“คือเรามีความสุขในการทำไงครับ พอเราทำไปแล้วเรายิ่งมีความสุข ทุกอย่างมันก็จะตามเข้ามาเอง มันก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรมากครับสำหรับผม ถ้าทำแล้วมีความทุกข์อย่าทำ ผมพอแล้ว ผมมีความสุข กินอิ่ม นอนหลับ ไม่ทุกข์จะเงินมากเงินน้อย แต่ถ้าเราสุขแล้วมันก็จะไม่มีทุกข์ ไม่มีเรื่องเครียด กังวล อย่างในเฟซบุ๊คเอง ผมมีแจกของ พาไปดูหนัง หรือกิจกรรมการกุศลต่างๆ ก็ทำแบบไม่ได้คิดอะไร ผมทำเพราะว่าผมมีความสุข มันก็เท่านั้นเองครับ"
"ผมไม่ได้มองในเรื่องของการตลาดอะไรมากมาย แต่ถ้าว่ามันได้ผลไหม ผมว่ามันได้ผลมากที่สุด แต่ถ้าคุณคิดถึงแต่ผมกำไร มันจะทำให้คุณกดดันและเป็นทุกข์ ก็คิดอะไรใหม่ๆ ออกมาไม่ได้ แต่สำหรับผม ผมมองมันเป็นผลพลอยได้ ความสุขเป็นสิ่งที่ผมตั้งหวังไว้ มันก็แค่นี้เอง ผมยึดเอาความสุขเป็นที่ตั้ง”
หวังเป็นตัวอย่างที่ดีให้คนอื่นทำตาม
“อย่างที่บอกว่า ผมไม่ได้มองเรื่องของความคุ้มค่ากับการลงทุนอะไร แต่สิ่งที่ผมเห็นจากการที่ผมทำแบบนี้เลยคือ บริษัทหลายๆ บริษัทสนใจเรื่องของกีฬาขึ้นอย่างแน่นอน ในโอลิมปิกครั้งต่อไป อีกอันที่เห็นผลเลยทันทีคือเยาวชนสนใจเล่นกีฬามากขึ้น เห็นได้จากมีคนมาบอกผมว่า ตามสมาคมกีฬาต่างๆ ตอนนี้ยังไม่ได้เปิดรับนักกีฬา แต่ว่ามีคนมาสมัครมากกว่า 2 พันคนได้ แทบทุกที่ มันเป็นการกระตุ้นให้คนสนใจเรื่องนี้ขึ้น”
“แล้วผมประกาศไปแล้วว่าอีก 4 ปีข้างหน้า ถ้าได้เหรียญทองผมยินดีจ่ายให้อีกเหรียญละ 10 ล้าน ครั้งที่แล้วผมยอมรับว่าผมทำไม่สำเร็จ เพราะผมมาประกาศตอนท้าย มันผลักดันไม่ขึ้นแล้ว ซึ่งผมเป็นคนที่ถ้าจะทำอะไรแล้ว ถ้ายังไม่ได้ ผมก็จะไม่ล้มเลิกง่ายๆ ผมก็จะต้องได้สักเหรียญทองก่อน ผมเชื่อเลยว่าโอลิมปิก 4 ปีข้างหน้าก็จะมีคนมุ่งมั่นที่จะฝึกฝน มุ่งมั่นกับตรงนี้มากขึ้น ผมถือว่าตรงนี้เป็นผลพลอยได้ ส่วนเรื่องอิชิตันของผมก็ปล่อยไป ผมไม่ได้คิดเพราะถ้ามัวแต่จะไปคิดถึงผลกำไรของบริษัท มันไปต่อไม่ได้หรอก เราปล่อยให้มันไปตามเหตุการณ์และธรรมชาติของมันดีกว่า”
“อย่างที่เคยทราบกันชัดเจนว่า ผมตั้งอิชิตันขึ้นมา เพื่อทำธุรกิจ แล้วเอากำไรไปให้กับทำประโยชน์ในเรื่องของการศึกษาและสิ่งแวดล้อม ส่วนเรื่องน้ำท่วมกับกีฬานี่เป็นเฉพาะกรณี คือบางอย่างก็รอเราไม่ได้เหมือนกันนะ ใครช่วยได้ก็เข้าไปช่วยกัน หลังจากนี้ผมจะเดินหน้าเรื่องของการแจกทุนการศึกษาแล้ว แล้วก็เรื่องของการปลูกต้นไม้ ตอนนี้ก็ปลูกต้นไม้ที่จังหวัดของตัวเอง 30 ไร่ ที่จังหวัดชลบุรี แล้วก็ทุนการศึกษากับโรงเรียนอนุบาลบ่อทอง 35 ล้าน ต่อไปที่จะทำคือให้ทุนการศึกษาลูกของทหาร ตำรวจ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้”
“ปีหน้าเราก็จะมาคัดเลือกกัน จริงๆ ผมอยากคัดเลือกเองด้วยซ้ำ ทุนเราไม่ได้ให้เฉพาะคนที่เรียนเก่ง แต่เราให้กับคนที่ตั้งใจเรียนและทำตัวดีด้วย เราจะส่งเสริมไม่ใช่เฉพาะค่าเรียน แต่เราจะดูแลเขายังเขาเรียนจบ ดูแลทุกอย่าง แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องเป็นคนดี เราไม่มีเงื่อนไขอะไรที่จะต้องให้เรา แต่ยังไงก็ตามแต่ อย่าคาดหวังว่าผมจะช่วยทำให้การศึกษาดีขึ้น หมื่นทุนสำหรับผมก็มหาศาลแล้วนะครับ”
ยันชัดเจน กีฬาอย่าง “พาราลิมปิก เอเชี่ยนเกมส์” ไม่ช่วย บอกตนคงทำบุญทุกวัดไม่ได้
“แต่อย่ามาคาดหวังว่าผมจะต้องทำตลอดนะ อย่างพาราลิมปิกเกมส์ (พาราลิมปิกเกมส์ 2012 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ 29 ส.ค.-9 ก.ย.55) หรือเอเชี่ยนเกมส์อะไรพวกนี้ ผมไม่มีนะครับ เราทำบุญทุกวัดไม่ได้ ผมเองเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็ยังต้องดูแลลูกเมีย ผมเป็นเจ้าของบริษัทก็ยังต้องดูแลลูกน้อง แล้วยังต้องดูแลมูลนิธิผมอีก เราก็เลือกทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ แล้วเราก็มีความสุข ทุกอย่างดีหมดครับ เรามาแบ่งกันทำ ไม่ต้องแย่งกันทำ”
“ทำดีไม่ต้องอาย แต่อย่าคิดว่าผมจะต้องทำทุกอย่าง ยอมรับว่ามีคนเข้ามา แต่ผมไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำเยอะ เคสบายเคสไป ผมไม่ได้เหรียญทอง ผมไม่เลิก มันเป็นนิสัยผมไงครับ ปีนี้ไม่ได้ อีก 4 ข้างหน้าผมมั่นใจว่าต้องได้แน่นอน ซึ่งตอนนี้คนก็คาดหวังและเป็นแรงบันดาลใจใหม่ๆ กับการได้มารับเงินรางวัลกับผม สิ่งนี้ผมถือว่ามันเป็นผลพลอยได้จากการที่ผมทำความดี”
“ตัวผมไม่ได้หวังไร ผมเองก็แค่อยากจะได้ความสุขให้กับตัวเอง ความสุขให้การเป็นผู้ให้ วันนึงที่คุณเป็นผู้รับ คนที่ได้รับมีความสุขมากแค่ไหน เชื่อได้เลยว่าคนที่เป็นผู้ให้มีความสุขมากกว่านั้นเยอะ ความสุขไม่ใช่เงินอย่างเดียว จริงอยู่เงินมันช่วยทำให้เรามีความสุขมากในขณะนึง แต่ความสุขที่แท้จริงมันไม่ได้มาจากตัวเงินที่เพิ่มขึ้น หรือทรัพย์สินที่ทำให้เราเกิดความสุข แต่มันอยู่ที่ใจข้างในของเรามากกว่า ถ้ามันเกิดความสุข การรู้สึกว่าเราพอแล้ว เราได้ทำในสิ่งที่เราอยากจะทำมันคือความสุข ผมเองเป็นคนจนที่รวยความสุข คนรวยบางคนอาจจะจนมากเลยนะครับ สำหรับความสุข เพราะเขายังไม่รู้จักพอ”