xs
xsm
sm
md
lg

ปปช.บี้ทุจริตจำนำข้าว "ปู"ต้องทบทวนก่อนประเทศเจ๊ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวถึงโครงการฝึกอบรมด้านการต่อต้านการทุจริตในระดับภูมิภาค ของประเทศลุ่มน้ำโขง ว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่จะประสานงานกันใกล้ชิดมากขึ้นระหว่าง ไทย จีน สหภาพเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และเวียดนาม เพราะในขณะนี้การทุจริตมิได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศ แต่ยังมีการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งควรจะต้องร่วมมือใกล้ชิด จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้แลกเปลี่ยนเกี่ยวกับกฎหมายของแต่ละประเทศที่ยังไม่ตรงกัน เพื่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างกันมากขึ้น
เนื่องจากในปัจจุบันระบบเป็นสากล ยุโรป มียูโรโซน ซึ่งเราก็จะพิจารณามาปรับใช้ให้ตรงกัน เพื่อจะป้องกันการทุจริต รวมถึงการส่งสินค้าเกษตร ซึ่งพบว่ามีปัญหาเรื่องการสวมสิทธิในโครงการรับจำนำข้าวที่ไทย ทำให้ราคาสูงขึ้นจนเกิดการลักลอบนำเข้าไทย ทำให้มีการทุจริตเกิดขึ้น ทั้งนี้ความร่วมมือระหว่างประเทศจะอยู่ที่การตรวจสอบซึ่งมีองค์กรที่เป็นองค์กรตรวจสอบอยู่ในทุกประเทศ บางประเทศ เช่น พม่า และกัมพูชา อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐ แต่จีนจะเป็นระบบที่เป็นอิสระ อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช. จะพยายามที่จะทำความตกลงระหว่างองค์กร ก่อนที่จะขยายความร่วมมือระดับประเทศต่อไป
สำหรับการร้องเรียนเรื่องการทุจริตจำนำข้าวนั้น นายวิชา กล่าวว่า มีการร้องเรียนและมีการคุยกันในที่ประชุมถึงผลวิจัยของ ทีดีอาร์ไอ ซึ่ง นายนิพนธ์ พัวพงศกร ประธานทีดีอาร์ไอ แสดงตัวเลขที่น่าตกใจมาก โดย ป.ป.ช. จะขอผลวิจัยจากทีดีอาร์ไอ มาศึกษา เพราะข้อมูลที่ ทีดีอาร์ไอ วิจัยได้ว่า งบประมาณจากโครงการนี้ไปถึงมือเกษตรกรจริงเพียง 37 % นั้น ก็ตรงกับผลวิจัยของ ป.ป.ช. ที่เคยมีการเสนอต่อ ครม.มาก่อนหน้านี้ เพื่อทักท้วงการดำเนินโครงการดังกล่าว โดย ดร.สิริลักษณา ได้ชี้เรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ ป.ป.ช. จะลงลึกในรายละเอียเพิ่มเติมว่า ต้นตอเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งที่น่ากลัวคือ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมข้าวไทย เท่ากับว่าจะกระทบกระเทือนต่อระบบครั้งใหญ่ และทำให้ในอนาคตไทยจะตกเป็นรอง จากที่เมื่อก่อนเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน ของเอเซีย ของโลก แต่ขณะนี้ถอยหลังแล้ว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมกู้เงินอีก 4 แสนล้าน เพื่อเตรียมไว้สำหรับรับจำนำข้าว ในฤดูกาลผลิตที่จะถึงนี้ทั้ง ๆ ที่ ป.ป.ช.ได้ท่้วงติงว่า ไม่ควรดำเนินการแล้ว หากมีความเสียหายเกิดขึ้น ครม.ต้องรับผิดชอบอย่างไรนั้น นายวิชา กล่าวว่า ผลวิจัยของทีดีอาร์ไอ มีตัวเลขที่ชัดเจน ดังนั้น ป.ป.ช. จะนำผลการศึกษานี้ไปเสนอต่อรัฐบาลว่า ป.ป.ช. ไม่ได้ท้วงติงเรื่องนี้ลอย ๆ แต่มีองค์กรที่ทำการศึกษาก็พบปัญหาชัดเจน และหากมีความเสียหายเกิดขึ้น และมีผลสะท้อนว่าใครจะต้องรับผิดชอบ ป.ป.ช.ก็ต้องดำเนินการอีกที แต่ตอนนี้ นายเมธี ครองแก้ว กรรมการป.ป.ช. ที่ดูแลเรื่องนี้ พ้นจากตำแหน่งเนื่องจากอายุครบ 70 ปี จึงมีการมอบหมายให้ตนรับผิดชอบ ซึ่งตนจะดูตัวเลขความสูญเสียที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนก่อนว่า ที่มีการประมาณการว่ารัฐจะขาดทุนถึง 1 แสนล้านบาทนั้น ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
นอกจากนี้ยังมีความเสียหายเกี่ยวกับไซโลในเรื่องการดำเนินการทุจริต สร้่างไซโลเพื่อเตรียมรับโครงการรับจำนำข้าว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลขความเสียหายลอยๆ แต่ตนประทับใจที่นายนิพนธ์ ทำเรื่องนี้อย่างละเอียด และตัวเลขที่นำเสนอมีความแน่นอนจริง ๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ป.ป.ช. อยู่ในวิสัยที่จะยับยั้งความเสียหายก่อนที่จะเกิดขึ้นอีกในฤดูกาลผลิตที่จะถึงนี้ได้อย่างไร หรือไม่ นายวิชา กล่าวว่า ต้องให้ทุกเวทีพูดตรงกัน เพราะถ้าพูดตัวเลขเฉพาะคนค้าข้าว ที่ออกมาเตือน รัฐก็มองว่ามีผลประโยชน์เกี่ยวข้อง อาจไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้รัฐบาลหยุด แต่ถ้าองค์กรต่างๆ เห็นตรงกัน โดยเฉพาะภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ที่พยายามทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน ก็จะเป็นเรื่องที่มีน้ำหนักมากขึ้น ในส่วนของตนขอนำเข้าสู่กระบวนการของคณะอนุกรรมการเพื่อพิจารณาก่อน โดยคาดว่าไม่เกินเดือนนี้จะได้บทสรุปว่า จะต้องทำหนังสือทักท้วงถึงรัฐบาลอีกครั้งหรือไม่
สำหรับกรณีการประกาศราคากลาง ที่ ครม.ยังไม่มีมติให้ความเห็นชอบนั้น นายวิชา กล่าวว่า แม้ว่า ครม.จะไม่ให้ความเห็นชอบ แต่ก็ระบุว่า ป.ป.ช. มีอำนาจอยู่แล้วตาม มาตรา 19 ของกฎหมาย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ป.ป.ช.ใช้อำนาจตามมาตรา 19 ก็แสดงให้เห็นว่า เราไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ในการทำงาน เพราะจะไปกดดันทีเดียวแล้วถ้า ครม.ไม่เอาด้วย ไม่รับลูกประสิทธิภาพที่จะให้เกิดผลก็จะไม่มี เพราะ ครม.เป็นคนคุมหน่วยงานของรัฐ ดังนั้นกฎหมายจึงออกมาให้ ครม.เป็นคนรับลูก แต่อย่างไรก็ดีเราคงต้องหาทางเชื่อมตรงนี้ ไม่ปล่อยลอยๆ ไว้แน่ ซึ่งความจริงหน่วยงานต่างๆ ก็มีความกระตือรือร้นที่จะให้ความร่วมมือ ขอเพียงแค่ให้มีการพูดคุยกับหน่วยงานต่างๆ โดยผ่านช่องทางที่น่าจะเป็น ซึ่งอาจใช้ช่องทางรัฐสภาที่เป็นคนออกกฎหมาย ในกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ว่าทางที่ถูกต้องที่สุด ควรจะเป็นอย่างไร เช่น ผ่านช่องทางกรรมาธิการธรรมาภิบาลของวุฒิสภา ที่มีนางสุมล สุตะวิริยะวัฒน์ ส.ว.เพชรบุรี เป็นประธาน ก็ได้เดินทางไปที่ ป.ป.ช. สอบถามเรื่องดังกล่าวแล้ว และมีการนำเรื่องนี้ไปหารือในวุฒิสภาแล้ว
นายวิชา ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาคดีที่มีการร้องเรียน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่าใช้อำนาจโดยมิชอบในการควบคุมสถานการณ์ช่วงเกิดเหตุวุ่นวายในเดือนเมษายน -พฤษภาคม ปี 2553 ว่า ทาง ป.ป.ช. จะต้องรอผลการไต่สวนจากศาลก่อน หลังจากที่ดีเอสไอ ได้มีการส่งสำนวนไปให้ศาลไต่สวน 35 ศพ ว่าอาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ว่าศาลจะมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวอย่างไร ป.ป.ช. จึงจะพิจารณาต่อได้ เพราะข้อมูลที่ได้มายังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพที่ไปจบในชั้นศาล ซึ่งจะต้องมีการพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่ามีความผิดที่เกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือไม่ หรือ เจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมในการกระทำหรือเปล่า เรารอฟังการไต่สวนนี้อยู่ ว่าศาลจะมีคำสั่งอย่งไร มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องจริงหรือไม่ ถ้าเกี่ยวข้องกระทำการในลักษณะไหน อย่างไร ทั้งนี้ยังเชื่อว่า ไม่สามารถมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงได้ เพราะผลสุดท้ายเราต้องยอมรับกระบวนการในชั้นศาลที่จะชี้ในขั้นตอนสุดท้าย เพราะไม่ว่าจะส่งไปอย่างไร ศาลก็ต้องดูว่าจะเชื่อมโยงถึงเจ้าหน้าที่ได้หรือไม่
**ปชป.จี้"ปู"เลิกจำนำข้าว

นายอรรถวิช สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (เงา) แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (เงา) ว่า ได้มีการพิจารณา 3 เรื่องสำคัญ คือ กรณีโยกย้าย พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเรื่องการทุจริตเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ นายนิพนธ์ บุญญามณี ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ไปติดตามเรื่องและรวบรวมข้อมูลเรื่องนี้ต่อ โดยประเด็นเรื่องการทุจริตเงินเยียวยา ก็จะเป็นประเด็นหนึ่งที่จะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจ
นอกจากนี้ ครม.เงา เห็นตรงกันว่า ไม่เห็นด้วยกับโครงการจำนำข้าวในปีงบประมาณพ.ศ. 2556 ที่จะเริ่มในเดือนต.ค.นี้ ต้องใช้เม็ดเงินสูงถึง 405,000 ล้านบาท อีกทั้งโครงการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว ก็ยังมีข้าวที่ค้างอยู่ในสต็อก กว่า 7.5 ล้านตัน แต่ระบายออกไปได้เพียง 2.3 แสนตัน ทำให้มีความเสียหายกว่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งหากรมว.คลัง ยังดึงดันจะทำต่อไป ก็จะเกิดความเสียหายมากขึ้น จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิก แล้วหาวิธีช่วยเหลือเกษตรกรในแนวทางอื่นแทน ซึ่ง ครม.เงามอบหมาย นายจุติ ไกรฤกษ์ ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ไปยื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยตรงภายในสัปดาห์นี้

** จวกรัฐบาลระบายข้าวไม่ออก

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลได้ประกาศระบายข้าว 753,000 ตันออกจากโกดังกลาง ในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งตนมองว่า รัฐบาลต้องการโชว์ว่า สามารถทำได้ตามเป้าหมาย แต่ผลที่กลับมาเห็นได้ว่า ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากระบายข้าวได้เพียง 2 แสนกว่าตันเท่านั้น ต่ำกว่าเป้าหมายไปกว่า 5 แสนตัน เพราะพ่อค้าที่เข้ามาประมูล ไม่เชื่อมั่นในคุณภาพของข้าวในโครงการ ซึ่งในความจริงแล้ว รัฐบาลสามารถควบคุมคุณภาพของข้าวในการรับจำนำได้ แต่ไม่สามารถควบคุมเวลาระบายออกได้ เท่ากับว่า รัฐบาลก็ไม่เชื่อมั่นในข้าวของตัวเอง
ทั้งนี้ การที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาคุยโวว่า รัฐบาลไม่ได้ขาดทุน เป็นการหลอกลวงประชาชนอย่างสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลขาดทุนกว่า 7,000 บาทต่อตัน และเงินที่ขาดทุนไปก็ไม่ได้ไปตกอยู่กับมือของชาวบ้าน แต่เงินกับไปอยู่ในมือของพ่อค้า และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งการประมูลครั้งต่อไปที่จะมีขึ้น สถานการณ์จะยิ่งแย่ไปกว่านี้
“ เมื่อรัฐบาลได้รับซองประมูลจากพ่อค้า ต้องเปิดซองในวันเดียวกันเลย เพราะเมื่อรัฐบาลเอาซองไปเก็บเอาไว้ ก็จะสามารถไปเปิดดูก่อน และไปเรียกเงินใต้โต๊ะจากพ่อค้าได้อีก และที่สำคัญรัฐบาลจะต้องคิดหาวิธีป้องกัน ไม่ให้มีการนำข้าวที่ระบายออกไปแล้วหมุนเวียนกลับมามาอยู่ในโกดังกลางของรัฐบาลอีก” นพ.วรงค์ กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น