xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ไม่มีความชั่วใดที่คนโกหกทำไม่ได้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสพอสมควร สำหรับ “การโกหกในบางเรื่อง” จนกระทั่งมีเสียงเรียกร้องจากสมาชิกวุฒิสภา และคนอื่นๆให้เขาลาออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง

ตำแหน่งที่เขาภูมิใจที่สุดในชีวิต และมักใช้ข่มขู่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เสมอในการกดดันให้เดินตามก้น

ทั้งในเรื่องอัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยน

นั่นแสดงให้เห็นว่า...เขามีปัญหาเรื่องการยอมรับในการทำหน้าที่ ทั้งจากคนในพรรคเพื่อไทย และนอกพรรค

ด้วยเหตุที่ “เข้าทางประตูหลัง” จนกลายเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

แต่ไม่เคยมีใครเขาเรียกว่า หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

รัฐบาลยิ่งลักษณ์คิดผิดตั้งแต่ตั้ง “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” เข้าร่วมรัฐบาลเพื่อตอบแทนบุญคุณในเรื่อง “หุ้น” และ “ค่าเงินบาท”

ทำให้กิตติรัตน์อ้าง white lie เพื่อโกหกประชาชน

ทั้งๆที่ เขามักอ้างประชาชน เพื่อข่มขู่ธนาคารแห่งประเทศไทยทุกครั้งที่มีการพูดถึงอัตราแลกเปลี่ยน และอัตราดอกเบี้ย

นั่นจึงทำให้ พระกิตติศักดิ์ กิตฺติโสภโณ ผู้ประสานงานกลุ่มพุทธทาสศึกษา ได้ให้ความเห็นว่า มีพุทธพจน์เกี่ยวกับการโกหก ใจความว่า "ไม่มีความชั่วใดที่คนโกหกทำไม่ได้" นั่นหมายถึง หากคนคนนั้นเป็นคนพูดโกหกเสียแล้ว ไม่ว่าเขากระทำความชั่วเช่นไร ก็สามารถใช้ความชั่วมากลบเกลื่อน หรือปิดบังความจริง ได้ทั้งสิ้น

นอกจากนั้น ยังมีพุทธพจน์ที่กล่าวไว้ว่า "อย่าประมาทในความชั่วแม้เพียงเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่า หากเริ่มต้นด้วยความชั่วที่เจ้าตัวเชื่อว่าเล็กน้อย หรือผู้อื่นสรุปความไปว่าเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญนัก ต่อไปก็อาจพัฒนาขึ้นไปสู่เรื่องใหญ่ๆ เช่น สมัยเป็นนักเรียน บางคนโกงเงินที่ครูสั่งให้รวบรวมจากเพื่อนในห้อง พอโตขึ้นเรียนมหาวิทยาลัย ก็โกงเงินทำกิจกรรมนักศึกษา”

“พอเรียนจบมีโอกาสรับราชการ หรือเล่นการเมือง ก็อาจโกงเงินงบประมาณ โดยปราศจากสำนึกผิดชอบชั่วดี เป็นต้น ด้วยเหตุที่เคยชินกับความชั่วที่เคยทำมาแล้ว หรือเชื่อเสียแล้วว่าไม่เป็นไรหรอก คงไม่มีใครจับได้ หรือถ้าจับได้ไล่ทันก็ค่อยโกหกกลบเกลื่อนเอา”

กิตติรัตน์ ประกาศต่อหน้านักธุรกิจและนักลงทุนในการสัมมนาหัวข้อ "โรดแมพสู่อนาคตประเทศไทย" เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยยอมรับว่า เป้าการส่งออกในปีนี้เติบโตไม่ถึง 15% อย่างที่ตนคาดการณ์ก่อนหน้านี้แน่นอน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะตนพูดในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ รมว.คลัง จึงได้รับอนุญาตให้พูดไม่จริงในบางเรื่องได้ ซึ่งการตั้งเป้าที่ระดับดังกล่าว ก็เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ

“หากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผมพูดความจริงไปว่าตัวเลขการส่งออกของไทยจะเติบโตไม่ถึง 15% ก็จะทำให้ความมั่นใจของนักลงทุนมีปัญหาได้ ดังนั้น ผมในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และ รมว.คลัง เค้าอนุญาตให้ผมพูดไม่จริงได้ในบางเรื่อง หากเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ดี เหมือนภาษาอังกฤษที่เรียกว่า White lie ที่แปลว่า โกหกสีขาว” กิตติรัตน์ อ้างคนที่อนุญาติให้โกหก โดยไม่ได้อ้างประชาชนเหมือนที่ผ่านมา

กิตติรัตน์ บอกอย่างไม่ละอายว่า ขณะนี้รัฐบาลได้มีการตั้งเป้าการส่งออกของไทยในปีนี้ว่าจะสามารถขยายตัวได้ถึง 9 % เนื่องจากปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจในต่างประเทศ และภาคการผลิตของไทยที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เป็นเครื่องสะท้อนสำคัญว่าตัวเลขการส่งออกที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ 15% จะยิ่งเป็นไปได้ยากขึ้น โดยตัวเลขที่รัฐบาลได้ประเมินใหม่นี้ยังสูงกว่าที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ประเมินไว้ที่ 7.3% เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ จึงเชื่อว่าสุดท้ายตัวเลขการส่งออกจะเติบโตได้ตามเป้าแน่นอน

ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปีนี้ยังมั่นใจว่าจะเติบโตได้ถึง 7 % แม้ว่าสภาพัฒน์จะประเมินไว้ที่ 5.5-6 % เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายในการบริหารประเทศโดยการลดการพึ่งพาการส่งออกเพียงอย่างเดียวลง และมาเน้นยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐ การบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน เพื่อให้เกิดความสมดุลมากขึ้น

กิตติรัตน์ไม่เพียงแต่โกหก ยังลามปามไปยังส่วนที่ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง โดยเขาพูดถึงนโยบายการเงิน “ผมได้เคยระบุไว้ก่อนหน้าที่จะวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปจะส่งผลกระทบกับภาคส่งออกของไทยแล้วว่า อยากเห็นค่าเงินบาทที่อ่อนลงกว่าในขณะนั้น เป็นผมที่ได้ส่งสัญญาณอ่อนๆ ว่าภาคการส่งออกจะมีปัญหา หากไม่มีมาตรการใดมารองรับผู้ประกอบการในภาคส่งออกก็จะได้รับผลกระทบอย่างหนัก"

เขาบอกว่า เขาพูดชี้นำเรื่องทิศทางค่าเงินบาท ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าในฐานะรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการดำเนินการของ ธปท. แต่อยากให้เข้าใจว่าตนในฐานะรัฐบาลมีหน้าที่รับผิดชอบทั้งประเทศ (อ้างคนทั้งประเทศอีกแล้ว)

“ ดังนั้น จะมีองค์กรบางแห่งอ้างความเป็นอิสระสูงในการดำเนินการอย่างเดียวไม่ได้ ดังนั้น หลังจากนี้ผมหวังว่าหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่จูงใจให้ภาคเอกชนเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นได้” กิตติรัตน์ ไม่ทิ้งนิสัยดั้งเดิม

ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อธิบายทิศทางดอกเบี้ยในระหว่างการปาฐกถาในหัวข้อ"ความท้าทายตลาดการเงินไทยในตลาดทุนโลก" ว่า ทิศทางดอกเบี้ยของไทยต่อจากนี้ไปเป็นไปได้ทั้งนั้น ไม่ว่าขึ้นหรือลง

“แต่ธปท.ในฐานะผู้ดำเนินนโยบายจะดูแลดอกเบี้ยให้เหมาะสม ไม่ให้ดอกเบี้ยเป็นปัญหาเหมือนสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันดอกเบี้ยเป็น 0 % ไม่สามารถกระตุ้นดูแลระบบเศรษฐกิจได้ ซึ่งปัจจุบันดอกเบี้ยของไทยที่ 3 % ยังถือว่าเหมาะสมไม่เป็นอุปสรรคในการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ดอกเบี้ยไทยเราก็มีโอกาสลดลงได้ ถ้าเศรษฐกิจโลกชะงัก” นี่คือคำตอบจากทัศนะของผู้ว่าฯแบงก์ชาติ

เสียงก่นด่า รุมประนาม การโกหกของกิตติรัตน์ มีกระจายทั่วโซเชี่ยลมีเดีย แต่ที่น่าสนใจก็คือ การวิจารณ์ของอดีต รมว.คลัง

ทนง พิทยะ อดีตรมว.คลังคนหนึ่ง บอกอย่างตรงไปตรงมาว่า “การเป็น รมว.ไม่ควรพูดโกหก แต่ควรพูดในแง่การเตือนประชาชนมากกว่าที่จะไปให้ความหวังของประชาชน โดยส่วนตัวมองว่า ไม่จำเป็นที่จะต้องโกหก เพราะ รมว. มีสิทธิที่จะพูดว่า เป้าหมายแบบนี้อยู่ในเงื่อนไขอะไรบ้าง ถ้าเป็นเงื่อนไขแบบนี้เราควรต้องเฝ้าดู และคอยเตือนประชาชนว่าสถานการณ์เริ่มแย่ลง”

แม้กระทั่ง “ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล” อดีต รมว.การคลัง ในยุคยิ่งลักษณ์ 1 ก็วิจารณ์พฤติกรรมเด็กเลี้ยงแกะของกิตติรัตน์ว่า “เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และไม่จำเป็น เพราะจะทำให้ประชาชนและนักวิเคราะห์ต่างประเทศขาดความน่าเชื่อถือ ต่อจากนี้ไปคนที่ฟังดูก็จะแยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นเรื่องโกหก ตรงไหนเป็นข้อเท็จจริง”

“ในปี 2540 ที่ไทยลอยตัวค่าเงินบาท และไม่ได้แสดงตัวเลข ต่างชาติทั่วไปจึงเกิดความเข้าใจผิดว่าไทยยังมีเงินทุนสำรองอยู่เยอะ หลังจากนั้นเราก็ถูกประณามจากแบงก์ชาติประเทศอื่นๆ ซึ่งกว่าเราจะฟื้นความเชื่อมั่นตรงนั้นมาได้ก็ใช้เวลานาน ฉะนั้นถ้าเรามีปัญหาอะไรก็ควรเปิดเผยแบบตรงไปตรงมา รวมทั้งอธิบายสาเหตุถึงที่มาที่ไปและมาตรการต่างๆ ก็จะมีทางแก้ปัญหาจากหนักเป็นเบาได้ ผมคิดว่าวิธีแบบนี้น่าจะสร้างความเชื่อมั่นได้มากกว่า” นายธีระชัย กล่าว

ธีระชัย ยังบอกอีกว่า ไม่เคยเห็นประเทศไหนเขาทำกัน และเท่าที่ได้ติดตามและเคยทำงานมาก่อน ไม่เคยพบประเทศใดๆ ใช้วิธีโกหกประชาชน ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่รู้จัก

เขายังตั้งข้อสังเกตว่า นายกิตติรัตน์ เคยระบุว่าจะขยายตัวเลขการส่งออกได้ในอัตราที่สูงลิ่ว ซึ่งตอนนั้นก็ไม่มีใครเชื่ออยู่แล้ว โดยคนที่เข้าใจทฤษฎีเศรษฐศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจก็คงงงอยู่ว่าเหตุใดนายกิตติรัตน์จึงพูดเช่นนั้น ซึ่งการบริหารเศรษฐกิจนั้นไม่จำเป็นต้องแสดงตัวเลข ไม่ต้องแสดงตัวว่าเราจะต้องทำอะไรในลักษณะที่จะเป็นอภินิหาร

“ถ้าเราไปพยายามจะแสดงอภินิหารหรือไปบีบบังคับให้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องกดค่าเงินให้อ่อนลงเพื่อมาช่วยในการส่งออก ผมคิดว่าไม่มีทาง และไม่จำเป็น” อดีตขุนคลัง กล่าว

สอดคล้องกับความเห็นของ “กรณ์ จาติกวณิช” อดีต รมว.คลัง ที่บอกว่า “ปัจจัยสำคัญของการปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่มีความสำคัญนั่นคือความน่าเชื่อถือ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในตำแหน่ง รมว.คลัง คำพูดทุกคำเกี่ยวกับตัวเลขทางเศรษฐกิจถือว่าสำคัญมาก เพราะนักลงทุนจะใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจในการลงทุนด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล

“เมื่อผู้นำสูงสุดทางด้านเศรษฐกิจ มีทัศนคติว่าสามารถนำตัวเลขทางเศรษฐกิจที่เป็นเท็จมาเสนอได้ จะทำให้มีผลกระทบกับอำนาจหน้าที่และบารมีในตำแหน่งที่ทำอยู่ได้จนไม่มีได้รับความเชื่อถือในที่สุด”อดีต รมว.คลัง วิจารณ์ถึงความเชื่อถือของเด็กเลี้ยงแกะ

นั่นหมายความว่า ศรีธนญชัยแบบกิตติรัตน์ กำลังถูกสังคมลงโทษ

ไล่ให้กลับไป “โกหกคนในบ้าน” แทนโกหกคนทั้งประเทศ !!
กิตติรัตน์ ณ ระนอง
 ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
 ทนง พิทยะ
กำลังโหลดความคิดเห็น