สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 ถึง 8 พฤศจิกายน 2540 รวมแล้ว“ขงเบ้งจิ๋ว”เป็นนายกฯ แค่ 349 วันเท่านั้น
“ขุนคลัง”คนแรกของ“บิ๊กจิ๋ว”คือ“อำนวย วีรวรรณ” ส่วน“พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ”เป็นที่ปรึกษาใหญ่ของ“บิ๊กจิ๋ว” โดย“จารย์โต้ง-ไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ”และผมได้เป็นทีมที่ปรึกษาของ“น้าชาติ”ครับ
งานนี้ไพโรจน์ซี้ปึ๊กทั้ง“บิ๊กจิ๋ว-น้าชาติ-อำนวย” จึงเข้าออกบ้านบุคคลเหล่านี้ได้สบายบรื่อ!
แต่“ขุนคลังอำนวย”ก็ต้องเผชิญกับวิกฤติใหญ่ เพราะ นายจอร์จ โซรอส ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยตอนนั้นว่า-อ่อนแอ เพราะตัวเลขการส่งออกหยุดโต และขาดดุลการค้าอย่างมหาศาล อีกทั้งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ก็แตกในห้วงกลางปี 2540 นั่นเป็นโอกาสทองที่โจรสลัดโซรอสจะปล้นค่าเงินบาทไทย
โซรอสขาย“short”หรือทำชอร์ตเซล ด้วยการขายเงินบาทล่วงหน้าไปก่อนที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นโซรอสก็“ทุบ”เงินบาท ทั้งปล่อยข่าวลือเงินบาทจะต้องลดค่าลงแน่นอน ทั้งชวนพวกพ้องให้เทขายเงินบาทออกมา และเข้าไปซื้อดอลลาร์จากธนาคารแห่งประเทศไทย
แบงก์ชาติจึงทุ่มเงินออกมาต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ จนยันการทุบค่าเงินบาทไว้ได้ระยะหนึ่ง ทำให้ รมต.คลังกับแบงก์ชาติเชื่อว่า-ชนะแล้ว จึงมีการเปิดแชมเปญฉลองชัยกันครื้นเครง
แต่แล้วคลื่นเงินทุนโจรสลัดต่างชาติ ก็กลับมาถาโถมโจมตีค่าเงินบาทอีก ปัญหา-คือ-หน้าตักแบงก์ชาติมีเงินเหลือเท่าไหร่..? ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน“อำนวย”ก็ทิ้งเก้าอี้“ขุนคลัง”ไปกลางคัน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540!
รุ่งขึ้น“บิ๊กจิ๋ว”กับ“น้าชาติ”จึงประชุมกันที่“บ้านมนังคศิลา” มีการเสนอคนชื่อ“โอฬาร ชัยประวัติ”มาเป็น“ขุนคลัง”คนใหม่
“จารย์โต้ง”และผมได้ไปพบโอฬาร ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ แต่โอฬารปฏิเสธการเป็น“ขุนคลัง” ไพโรจน์ใช้ความคล่องตัวเข้าบ้านโน้นบ้านนี้ เพื่อเสนอ“ทนง พิทยะ”ให้เป็น“ขุนคลัง”ทันที และไพโรจน์ยังมาคุยกับจารย์โต้งและผมว่า “นงเป็นเพื่อนสนิทเรากับทักษิณที่ไว้ใจได้-สั่งได้”
ตอนนั้น..ทักษิณก็เป็นรมต.ต่างประเทศของรัฐบาล“บิ๊กจิ๋ว”ด้วย!
ทนงได้เป็นขุนคลังต่อจาก“อำนวย” กลางกระแสทุบค่าเงินบาทของโซรอส ห้วงนั้นแบงก์ชาติได้ออกมาตราการ“หักดิบ” ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 ให้แยกตลาดเงินบาทในประเทศ และนอกประเทศออกจากกัน และห้ามนำเงินบาทออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด เพื่อทำให้นักเก็งกำไรต่างชาติ ที่เป็นคู่สัญญา SWAP ไม่สามารถหาเงินบาทมาคืนแบงก์ชาติตามสัญญาได้
นั่นเป็นการสร้างอำนาจต่อรอง ในยามที่แบงก์ชาติมีทุนสำรองร่อยหรอ จนไม่สามารถหาเงินดอลลาร์สหรัฐมาคืนตามสัญญา SWAP ให้สามารถเจรจาผ่อนปรนกับคู่สัญญา SWAP ได้ ทั้งการทำSWAP เพื่อเพิ่มทุนสำรองในการต่อสู้กับการโจมตีค่าเงิน
แต่ช่วงสุดท้ายของสงครามการปกป้องค่าเงิน และการโจมตีค่าเงินก่อนที่แบงก์ชาติจะพ่ายแพ้นั้นน่าจะเกิดจากการผสมโรงของคนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนเงินสด ที่เป็นเงินบาทไปแลกกับเงินดอลลาร์ที่ชายแดนไทย เพื่อให้นักเก็งกำไรต่างชาตินำเงินบาท ไปคืนแบงก์ชาติของไทยตามสัญญา SWAP ได้สำเร็จ
การเก็งกำไรในช่วงเวลานั้น จึงเกิดขึ้นจากคน 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือกลุ่มที่เก็งกำไร จากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อโจมตีค่าเงินบาท และกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่เก็งกำไรจากการ”รู้ไส้”ค่าเงินบาท
กลุ่มที่เก็งกำไรจากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อโจมตีค่าเงินบาทนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนปลายเดือนมิถุนายน 2540 โดย นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานบริหารบริษัท ทีพีไอ จำกัด (มหาชน)ในขณะนั้น ได้แฉเบื้องหลัง“วิกฤติต้มยำกุ้ง”ว่า
“ในปี 2540 นายจอร์จ โซรอส ได้วางแผนโจมตีค่าเงินบาทของไทย โซรอสได้ติดต่อผ่านบริษัทไฟแนนซ์ใหญ่ เช่น โกลด์แมน แซค-จีอี แคปปิตอล-เลห์แมน บราเธอร์ ให้ร่วมกันซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ บริษัทเหล่านี้ได้มาชวนนายประชัย และนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มบริษัทสื่อสารโทรคมนาคม รายใหญ่ที่สุดของประเทศ 2 คน ให้เข้าร่วมกันซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ด้วย โดยนายโซรอสต้องการส่วนต่าง จากการซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ จำนวน 3 บาท
สำหรับนายประชัยคิดว่า การดำเนินการเช่นนี้ไม่คุ้ม เพราะเป็นการทำลายประเทศ ดังนั้น เขาจึงได้ปฏิเสธไม่ร่วมมือด้วย แต่สำหรับกลุ่มบริษัทธุรกิจสื่อสารนั้น ได้ตกลงร่วมทำการซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ กับกลุ่มโซรอสตั้งแต่ต้นปี 2540 และภรรยานักธุรกิจสื่อสารผู้นั้น ได้นำเงินบาทซึ่งเป็นเงินสดออกไปยังประเทศสิงคโปร์ เพื่อขายให้ต่างชาติ ทำให้ต่างชาติมีเงินบาทมาทำการซื้อ-ขายดอลลาร์ และโจมตีค่าเงินบาทต่อไป....”
เมื่อมีนายทุนสามานย์ไทยบางคน ไปแอบจับมือกับนายทุนสามานย์ต่างชาติ การขายชาติไทยของคนไทยบางคนในครั้งนั้น จึงทำให้คนไทยกับชาติไทยเสียหายวายวอดเป็นประวัติการณ์!
รุ่งสางของวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ฝันร้ายของชาวไทยได้เริ่มขึ้น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี และ นายทนง พิทยะ ที่เป็น“ขุนคลัง”ได้เพียง 11 วัน ก็ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท นำประเทศเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ที่รู้จักกันในนาม“ต้มยำกุ้ง Crisis”ทันที
วันแรกที่ประกาศลอยตัว ค่าเงินบาทขยับลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าลงไปถึง 56 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2541 หรืออ่อนค่าลงไปถึง 124%อีกทั้งยังทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงเหวเหลือเพียง 207 จุด เท่านั้น
เหตุผลหลัก ที่ไทยประกาศลอยตัวค่าเงิน ก็เพราะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของแบงก์ชาติ หดหายไปจาก 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เหลือเพียง 800 ล้านดอลลาร์ หลังถูก“พ่อมดการเงิน”โซรอสโจมตีค่าเงินบาทระลอกแล้วระลอกเล่า
ขณะที่หนี้ต่างประเทศก็สูงถึง 130% ของจีดีพี และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น ดังนั้น เมื่อประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ภาระหนี้ก็พุ่งพรวดขึ้นอีกเท่าตัว
ต้องยอมรับว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ ทำให้เจ้าสัวเมืองไทยหายไปถึง 65% เป็นจุดสิ้นสุดของอภิมหาธุรกิจครอบครัว เช่น บริษัททีพีไอ ธุรกิจปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ของตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ อวสานราชาแห่งชิพ“ชาญ อัศวโชค” และเจ้าพ่อโรงเหล็ก สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ต้องใช้สโลแกน 3 ไม่ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” รวมทั้งการล่มสลายของธนาคารศรีนคร นครธน มหานคร และนำมาซึ่งการปิดกิจการ 56 ไฟแนนซ์อีกด้วย
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ ยังส่งผลสะเทือนให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในประเทศมาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ มากบ้างน้อยบ้างอีกด้วย
ประเทศไทยจึงต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงิน จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 จำนวน 14,500 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อนำเงินจำนวนนี้ มาแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอันหมายถึงคนไทย ได้สูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจให้ IMFไปแล้ว
ท่ามกลางความล่มจมของคนไทยทั้งชาติในวิกฤติ“ต้มยำกุ้ง” ตระกูล“ชินวัตร”กลับรวยอู้ฟู่มีเงินกำไรมาเล่นการเมือง จนได้เป็นใหญ่และรวยหลายแสนล้านบาทในวันนี้ เพราะมี“จิ้งจกบางตัว”มากระซิบให้รู้ความลับสุดยอดของชาติไทยนั่นเอง
ความลับสุดยอดของชาติไทยนี้ มีคนนั่งประชุมอยู่แค่ 4 คนคือ นายกฯ “บิ๊กจิ๋ว” ขุนคลัง“ทนง” รมต.สำนักนายกฯ“โภคิน พลกุล” และผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ “เริงชัย มะระกานนท์”เท่านั้น
ถามว่า..ใครใน 4 คนนี้สนิทกับ“ทักษิณ”บ้าง คำตอบ คือ 3 คนครับ ยกเว้นคนชื่อ“เริงชัย”!
ใครหว่า..คาบข่าว ที่”ทนง”กำลังจะประกาศลอยค่าเงินบาท ไปบอกคนในตระกูล“ชินวัตร”???
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2539 ถึง 8 พฤศจิกายน 2540 รวมแล้ว“ขงเบ้งจิ๋ว”เป็นนายกฯ แค่ 349 วันเท่านั้น
“ขุนคลัง”คนแรกของ“บิ๊กจิ๋ว”คือ“อำนวย วีรวรรณ” ส่วน“พล.อ.ชาติชาย ชุนหะวัณ”เป็นที่ปรึกษาใหญ่ของ“บิ๊กจิ๋ว” โดย“จารย์โต้ง-ไกรศักดิ์ ชุนหะวัณ”และผมได้เป็นทีมที่ปรึกษาของ“น้าชาติ”ครับ
งานนี้ไพโรจน์ซี้ปึ๊กทั้ง“บิ๊กจิ๋ว-น้าชาติ-อำนวย” จึงเข้าออกบ้านบุคคลเหล่านี้ได้สบายบรื่อ!
แต่“ขุนคลังอำนวย”ก็ต้องเผชิญกับวิกฤติใหญ่ เพราะ นายจอร์จ โซรอส ได้ประเมินเศรษฐกิจไทยตอนนั้นว่า-อ่อนแอ เพราะตัวเลขการส่งออกหยุดโต และขาดดุลการค้าอย่างมหาศาล อีกทั้งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ก็แตกในห้วงกลางปี 2540 นั่นเป็นโอกาสทองที่โจรสลัดโซรอสจะปล้นค่าเงินบาทไทย
โซรอสขาย“short”หรือทำชอร์ตเซล ด้วยการขายเงินบาทล่วงหน้าไปก่อนที่ 25 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นโซรอสก็“ทุบ”เงินบาท ทั้งปล่อยข่าวลือเงินบาทจะต้องลดค่าลงแน่นอน ทั้งชวนพวกพ้องให้เทขายเงินบาทออกมา และเข้าไปซื้อดอลลาร์จากธนาคารแห่งประเทศไทย
แบงก์ชาติจึงทุ่มเงินออกมาต่อต้านอย่างสุดฤทธิ์ จนยันการทุบค่าเงินบาทไว้ได้ระยะหนึ่ง ทำให้ รมต.คลังกับแบงก์ชาติเชื่อว่า-ชนะแล้ว จึงมีการเปิดแชมเปญฉลองชัยกันครื้นเครง
แต่แล้วคลื่นเงินทุนโจรสลัดต่างชาติ ก็กลับมาถาโถมโจมตีค่าเงินบาทอีก ปัญหา-คือ-หน้าตักแบงก์ชาติมีเงินเหลือเท่าไหร่..? ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน“อำนวย”ก็ทิ้งเก้าอี้“ขุนคลัง”ไปกลางคัน เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2540!
รุ่งขึ้น“บิ๊กจิ๋ว”กับ“น้าชาติ”จึงประชุมกันที่“บ้านมนังคศิลา” มีการเสนอคนชื่อ“โอฬาร ชัยประวัติ”มาเป็น“ขุนคลัง”คนใหม่
“จารย์โต้ง”และผมได้ไปพบโอฬาร ที่สำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ แต่โอฬารปฏิเสธการเป็น“ขุนคลัง” ไพโรจน์ใช้ความคล่องตัวเข้าบ้านโน้นบ้านนี้ เพื่อเสนอ“ทนง พิทยะ”ให้เป็น“ขุนคลัง”ทันที และไพโรจน์ยังมาคุยกับจารย์โต้งและผมว่า “นงเป็นเพื่อนสนิทเรากับทักษิณที่ไว้ใจได้-สั่งได้”
ตอนนั้น..ทักษิณก็เป็นรมต.ต่างประเทศของรัฐบาล“บิ๊กจิ๋ว”ด้วย!
ทนงได้เป็นขุนคลังต่อจาก“อำนวย” กลางกระแสทุบค่าเงินบาทของโซรอส ห้วงนั้นแบงก์ชาติได้ออกมาตราการ“หักดิบ” ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2540 ให้แยกตลาดเงินบาทในประเทศ และนอกประเทศออกจากกัน และห้ามนำเงินบาทออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด เพื่อทำให้นักเก็งกำไรต่างชาติ ที่เป็นคู่สัญญา SWAP ไม่สามารถหาเงินบาทมาคืนแบงก์ชาติตามสัญญาได้
นั่นเป็นการสร้างอำนาจต่อรอง ในยามที่แบงก์ชาติมีทุนสำรองร่อยหรอ จนไม่สามารถหาเงินดอลลาร์สหรัฐมาคืนตามสัญญา SWAP ให้สามารถเจรจาผ่อนปรนกับคู่สัญญา SWAP ได้ ทั้งการทำSWAP เพื่อเพิ่มทุนสำรองในการต่อสู้กับการโจมตีค่าเงิน
แต่ช่วงสุดท้ายของสงครามการปกป้องค่าเงิน และการโจมตีค่าเงินก่อนที่แบงก์ชาติจะพ่ายแพ้นั้นน่าจะเกิดจากการผสมโรงของคนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขนเงินสด ที่เป็นเงินบาทไปแลกกับเงินดอลลาร์ที่ชายแดนไทย เพื่อให้นักเก็งกำไรต่างชาตินำเงินบาท ไปคืนแบงก์ชาติของไทยตามสัญญา SWAP ได้สำเร็จ
การเก็งกำไรในช่วงเวลานั้น จึงเกิดขึ้นจากคน 2 กลุ่มหลัก กลุ่มแรกคือกลุ่มที่เก็งกำไร จากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อโจมตีค่าเงินบาท และกลุ่มที่สองคือกลุ่มที่เก็งกำไรจากการ”รู้ไส้”ค่าเงินบาท
กลุ่มที่เก็งกำไรจากการตั้งใจร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อโจมตีค่าเงินบาทนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นก่อนปลายเดือนมิถุนายน 2540 โดย นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานบริหารบริษัท ทีพีไอ จำกัด (มหาชน)ในขณะนั้น ได้แฉเบื้องหลัง“วิกฤติต้มยำกุ้ง”ว่า
“ในปี 2540 นายจอร์จ โซรอส ได้วางแผนโจมตีค่าเงินบาทของไทย โซรอสได้ติดต่อผ่านบริษัทไฟแนนซ์ใหญ่ เช่น โกลด์แมน แซค-จีอี แคปปิตอล-เลห์แมน บราเธอร์ ให้ร่วมกันซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ บริษัทเหล่านี้ได้มาชวนนายประชัย และนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทย รวมทั้งกลุ่มบริษัทสื่อสารโทรคมนาคม รายใหญ่ที่สุดของประเทศ 2 คน ให้เข้าร่วมกันซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ด้วย โดยนายโซรอสต้องการส่วนต่าง จากการซื้อขายเงินบาทและดอลลาร์ จำนวน 3 บาท
สำหรับนายประชัยคิดว่า การดำเนินการเช่นนี้ไม่คุ้ม เพราะเป็นการทำลายประเทศ ดังนั้น เขาจึงได้ปฏิเสธไม่ร่วมมือด้วย แต่สำหรับกลุ่มบริษัทธุรกิจสื่อสารนั้น ได้ตกลงร่วมทำการซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ กับกลุ่มโซรอสตั้งแต่ต้นปี 2540 และภรรยานักธุรกิจสื่อสารผู้นั้น ได้นำเงินบาทซึ่งเป็นเงินสดออกไปยังประเทศสิงคโปร์ เพื่อขายให้ต่างชาติ ทำให้ต่างชาติมีเงินบาทมาทำการซื้อ-ขายดอลลาร์ และโจมตีค่าเงินบาทต่อไป....”
เมื่อมีนายทุนสามานย์ไทยบางคน ไปแอบจับมือกับนายทุนสามานย์ต่างชาติ การขายชาติไทยของคนไทยบางคนในครั้งนั้น จึงทำให้คนไทยกับชาติไทยเสียหายวายวอดเป็นประวัติการณ์!
รุ่งสางของวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ฝันร้ายของชาวไทยได้เริ่มขึ้น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรี และ นายทนง พิทยะ ที่เป็น“ขุนคลัง”ได้เพียง 11 วัน ก็ประกาศลอยตัวค่าเงินบาท นำประเทศเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญ ที่รู้จักกันในนาม“ต้มยำกุ้ง Crisis”ทันที
วันแรกที่ประกาศลอยตัว ค่าเงินบาทขยับลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 32 บาทต่อดอลลาร์ และอ่อนค่าลงไปถึง 56 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อต้นเดือนมกราคม 2541 หรืออ่อนค่าลงไปถึง 124%อีกทั้งยังทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดิ่งลงเหวเหลือเพียง 207 จุด เท่านั้น
เหตุผลหลัก ที่ไทยประกาศลอยตัวค่าเงิน ก็เพราะเงินทุนสำรองระหว่างประเทศของแบงก์ชาติ หดหายไปจาก 4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ เหลือเพียง 800 ล้านดอลลาร์ หลังถูก“พ่อมดการเงิน”โซรอสโจมตีค่าเงินบาทระลอกแล้วระลอกเล่า
ขณะที่หนี้ต่างประเทศก็สูงถึง 130% ของจีดีพี และในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ระยะสั้น ดังนั้น เมื่อประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ภาระหนี้ก็พุ่งพรวดขึ้นอีกเท่าตัว
ต้องยอมรับว่า วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ ทำให้เจ้าสัวเมืองไทยหายไปถึง 65% เป็นจุดสิ้นสุดของอภิมหาธุรกิจครอบครัว เช่น บริษัททีพีไอ ธุรกิจปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ของตระกูลเลี่ยวไพรัตน์ อวสานราชาแห่งชิพ“ชาญ อัศวโชค” และเจ้าพ่อโรงเหล็ก สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ต้องใช้สโลแกน 3 ไม่ “ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย” รวมทั้งการล่มสลายของธนาคารศรีนคร นครธน มหานคร และนำมาซึ่งการปิดกิจการ 56 ไฟแนนซ์อีกด้วย
วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ ยังส่งผลสะเทือนให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ในประเทศมาเลย์เซีย อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ รัสเซีย และประเทศอื่นๆ มากบ้างน้อยบ้างอีกด้วย
ประเทศไทยจึงต้องเข้ารับความช่วยเหลือทางการเงิน จากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ IMF เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2540 จำนวน 14,500 ล้านดอลลาร์ฯ เพื่อนำเงินจำนวนนี้ มาแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอันหมายถึงคนไทย ได้สูญเสียอธิปไตยทางเศรษฐกิจให้ IMFไปแล้ว
ท่ามกลางความล่มจมของคนไทยทั้งชาติในวิกฤติ“ต้มยำกุ้ง” ตระกูล“ชินวัตร”กลับรวยอู้ฟู่มีเงินกำไรมาเล่นการเมือง จนได้เป็นใหญ่และรวยหลายแสนล้านบาทในวันนี้ เพราะมี“จิ้งจกบางตัว”มากระซิบให้รู้ความลับสุดยอดของชาติไทยนั่นเอง
ความลับสุดยอดของชาติไทยนี้ มีคนนั่งประชุมอยู่แค่ 4 คนคือ นายกฯ “บิ๊กจิ๋ว” ขุนคลัง“ทนง” รมต.สำนักนายกฯ“โภคิน พลกุล” และผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ “เริงชัย มะระกานนท์”เท่านั้น
ถามว่า..ใครใน 4 คนนี้สนิทกับ“ทักษิณ”บ้าง คำตอบ คือ 3 คนครับ ยกเว้นคนชื่อ“เริงชัย”!
ใครหว่า..คาบข่าว ที่”ทนง”กำลังจะประกาศลอยค่าเงินบาท ไปบอกคนในตระกูล“ชินวัตร”???