xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รักร้าว “บิ๊กตู่-ปูแดง”? กองทัพลุยฟ้องทนายเสื้อแดง กระทบชิ่งทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การรุกไล่ให้ทหารตกเป็น “จำเลย” ในคดีเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ที่มีผู้เสียชีวิตถึง 91 ศพ เข้มข้นขึ้นตามลำดับ นับตั้งแต่การยื่นฟ้องคดีสลายการชุมนุมฯ ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศของกลุ่มแนวร่วมประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (นปช.) ที่มีนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม รับเป็นทนายความฟ้องคดี โดยได้รับค่าจ้างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เรื่อยมาจนถึงการเปิดฉากป้ายสีกองทัพว่าทหารสั่งฆ่าประชาชนในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนายตำรวจในระบอบทักษิณ และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พยายามสร้างข่าวว่า ทหารใช้พลแม่นปืนหรือสไนเปอร์ยิงใส่ประชาชน

ถึงแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก หรือ “บิ๊กตู่” จะออกมาฮึ่มฮั่มปรามให้หยุด แต่ทางดีเอสไอ ก็ทำเป็นเหมือนหมูไม่กลัวน้ำร้อน อาจเพราะมีแบ็คดีหรือมีใบสั่งไฟเขียวให้ลุยเต็มที่ก็อาจเป็นไปได้

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ดีเอสไอไม่เพียงไม่หยุด แต่ยังหยามผู้นำกองทัพด้วยการเรียกทหารมือสไนเปอร์มาสอบสวนอีกต่างหาก พร้อมกันนั้น ก็มีขบวนการปล่อยเอกสารลับคำสั่งแนวทางปฏิบัติในการใช้อาวุธเพื่อรักษาความปลอดภัย โดยตัดทอนเนื้อหาขั้นตอนปฏิบัติโดยรวมจากเบาไปหาหนัก เพื่อจงใจชี้ให้เห็นว่ากองทัพมีการขออนุญาตและได้รับอนุมัติจากศูนย์อำนวยการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้ใช้สไนเปอร์จริง

กรณีป้ายสีกองทัพใช้สไนเปอร์ฆ่าผู้ชุมนุม จึงเป็นปมร้าวลึกที่กำลังจะขยายผลจนอาจลุกลามถึงขั้นแตกหักระหว่างกองทัพกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะปฏิบัติการครั้งนี้ย่อมถูกมองได้ว่าไม่เพียงคนรัฐบาลเท่านั้นที่ลงมือแต่ยังโยงใยไปถึงเครือข่ายที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนเสื้อแดงหรือนช.ทักษิณ ชินวัตร ที่แสดงท่าทีเป็นปรปักษ์กับกองทัพอย่างชัดแจ้งมาโดยตลอด

การทวงคืนศักดิ์ศรีของบิ๊กตู่เพื่อตอบโต้กรณีสไนเปอร์นั้น เขารุกกลับด้วยการให้กรมพระธรรมนูญ แจ้งความนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของกลุ่มเสื้อแดงในข้อหาหมิ่นประมาททำให้กองทัพได้รับความเสียหายและเสื่อมเสียชื่อเสียง เมื่อวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา จากกรณีที่นายอัมสเตอร์ดัม พร้อมพวกได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2555 โดยบางตอนของการปราศรัย ระบุว่า กองทัพได้ซื้ออาวุธจากสหรัฐฯ เพื่อมาเข่นฆ่าประชาชน รัฐบาลอเมริกายังมาฝึกสอนสไนเปอร์ในไทย และเขาจะเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของอำมาตย์ให้ชาวโลกได้รู้ถึงการไม่มีความยุติธรรมโดยจะไม่หยุดจนกว่าจะเอาตัวผู้กระทำผิดมารับผิด

อาการเชื่องช้าของกองทัพที่เพิ่งหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาฟ้องทนายคนเสื้อแดง หลังเหตุการณ์ผ่านไปเกือบ 3 เดือน ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ฟ้องแก้เกี้ยวหรือไม่ หรือถ้าหากไม่ถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนก็อาจจะปล่อยผ่านเลยไปเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นายอัมสเตอร์ดัม กล่าวหาและโจมตีกองทัพในลักษณะเช่นนี้

โดยก่อนหน้าทนายเสื้อแดงผู้นี้ออกมาป้ายสีกองทัพมาแล้วหลายครั้ง ข้อสังเกตดังกล่าวทำให้แม่ทัพใหญ่ ออกมาแจกแจงว่าที่ใช้เวลานานเพราะต้องทำตามกระบวนการขั้นตอน ขณะที่ “เสธ.ไก่อู” พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก เหน็บว่า กองทัพทำงานอย่างเป็นระบบมีขั้นตอนไม่เหมือนสื่อบางสื่อที่คิดแล้วเขียนเลย

อย่างไรก็ตาม การฟ้องร้องของกองทัพ กลับคล้ายเป็นเหมือนการเติมเชื้อไฟ เพราะคล้อยหลังไม่กี่วัน นายอัมสเตอร์ดัม ได้ถือโอกาสที่กองทัพยื่นฟ้องสร้างราคาให้กับตัวเองและทำคะแนนกับ นช.ทักษิณ ผู้เป็นนายจ้าง ด้วยการออกแถลงการณ์ตอบโต้ พล.อ.ประยุทธ์ ทันควัน แถมสอนมวยด้วยว่าถ้าจะรักษาศักดิ์ศรีกองทัพควรทำเช่นใด ซ้ำยังเน้นย้ำถึงการออกคำสั่งให้ใช้พลซุ่มยิงและพลแม่นปืนยิงพลเรือน

คำแถลงของนายอัมสเตอร์ดัม ระบุว่า ความเคลื่อนไหวล่าสุดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเพียงความพยายามที่จะข่มขู่คุกคาม และต้องการ “ปิดปาก” ใครก็ตาม ที่ต้องการค้นหาคำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2010 ที่กลุ่มผู้ประท้วงซึ่งไร้อาวุธมากกว่า 90 ชีวิตต้องถูกยิงทิ้งจากฝีมือของพลซุ่มยิง (สไนเปอร์) ของกองทัพ

นอกจากคำแถลงผ่านเว็บไซต์ส่วนตัวดังกล่าวแล้ว อัมสเตอร์ดัม ยังออกจดหมายเปิดผนึกถึงผู้บัญชาการทหารบกของไทยอีกหนึ่งฉบับว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ ต้องการปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิของทหารในสังกัดจริง พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรหยุด “แก้ตัว” เสียที และควรใช้ช่วงเวลาที่ตัวเองยังพอมีเหลืออยู่ในเก้าอี้ผบ.ทบ. เพื่อสร้างกองทัพบกของไทยให้เป็นสถาบันที่น่าเคารพ ด้วยการนำตัวผู้เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนมารับโทษ รวมถึงควรมีการสืบสวนหาความจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้องเหมาะสมและยุติธรรม

ศึกฟ้องร้องระหว่างกองทัพกับนายอัมสเตอร์ดัม จึงเป็นการตอกลิ่มความขัดแย้งระหว่างปีกกองทัพกับฝั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีคนเสื้อแดงกับ นช.ทักษิณค้ำ บัลลังก์อยู่อย่างเด่นชัด โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 ม.ค. 2554 นายอัมสเตอร์ดัม ก็ได้เป็นทนายความให้กลุ่ม นปช. ยื่นฟ้องคดีสลายการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยฟ้องเป็นคดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ในคำฟ้องคดีมีการกล่าวหาว่า ช่วงมีการปราบการชุมนุมทหารได้ใช้กระสุนจริงรวมทั้งอุปกรณ์สงครามในการรบ ซึ่งขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน และกองทัพยังจงใจที่จะสลายการชุมนุมและเข่นฆ่าแกนนำคนเสื้อแดงทั้งไม่ได้มีการเปิดทางหนี จึงมองว่าเป็นการวางแผนอย่างชัดเจนและเมื่อแผนการล้มเหลวจึงมีการใช้ทีมสไนเปอร์ยิงมายังผู้ชุมนุมด้วย

การทำงานของนายอัมสเตอร์ดัม ที่กะเล่นงานกองทัพและรัฐบาลอภิสิทธิ์ถึงขั้นฟ้องศาลโลกนั้น ดำเนินการตามคำขอของนช.ทักษิณ โดย ทักษิณ ได้เขียนไว้ในบทนำหนังสือสมุดปกขาว สังหารหมู่ที่กรุงเทพ ว่า "ผมได้ขอให้สำนักกฎหมาย อัมสเตอร์ดัม แอนด์ เปรอฟ เข้ามาทำการศึกษากรณีของการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เมษายน และ 19 พฤษภาคม 2553 ว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยตามมาตรฐานกฎหมายระหว่างประเทศหรือไม่ ผมยังได้ขอให้สำนักกฎหมายดังกล่าวศึกษากระบวนการทำลายระบอบประชาธิปไตยที่มุ่งเป้ามาที่กลุ่มคนเสื้อแดง และศึกษานัยยะของเหตุการณ์เหล่านั้นภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ โลกควรจะได้เข้าใจว่าในประเทศไทยประชาธิปไตยที่แท้จริงกำลังถูกทำร้าย"

ทางนายอัมสเตอร์ดัม ก็ยืนยันผ่านการทวิตข้อความเมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2555 ว่า ยังคงมุ่งมั่นทำงานเพื่อประกันว่าลูกความของผม (นปช.) จะได้รับความเป็นธรรม และยืนยันว่ายังได้รับว่าจ้างจาก ดร.ทักษิณ โดยมีงานหลักคือการนำรัฐบาลไทยปี พ.ศ. 2553 ขึ้นศาลไอซีซี (ศาลอาญาระหว่างประเทศ)

การนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกของกลุ่มคนเสื้อแดง ถึงจะมีข้อถกเถียงทางกฎหมายเรื่องขอบเขตอำนาจศาลเนื่องจากไทยไม่ได้เป็นภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ จึงไม่มีอำนาจรับพิจารณาคดี แต่นายอัมสเตอร์ดัมก็เชื่อว่า อาจเป็นไปได้ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศจะมีอำนาจพิจารณาคดีในประเทศที่เหตุการณ์เลวร้ายขึ้นแม้ประเทศนั้นจะไม่เป็นภาคีของศาลอาญาระหว่างประเทศก็ตาม

ไม่เพียงกองทัพเท่านั้นที่กระเทือนจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มนปช.และนช.ทักษิณ ผ่านทางนายอัมสเตอร์ดัม ทางพรรคประชาธิปัตย์ ก็ร้อนรนจนต้องส่งนายกษิต ภิรมย์ ไปร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในเรื่องกระบวนการฆ่าตัดตอนตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อเป็นการตอบโต้ พร้อมให้ข้อมูลต่อศาลเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบและค้นหาความจริงในเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้มีการเพิกเฉยแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้วการสร้างแรงกดดันต่อกองทัพด้วยเรื่องสไนเปอร์ในช่วงฤดูกาลโยกย้ายนายทหารใหญ่ประจำปีที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ อาจเป็นเกมต่อรองตำแหน่งที่ฟากรัฐบาลและพวกต้องการส่งคนของตนขึ้นมาเป็นใหญ่เพื่อรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมทางการเมืองหรือรัฐประหารหลงยุค

เพราะต้องไม่ลืมว่าก่อนหน้านี้ รัฐบาลโดยนายทหารในสายพรรคเพื่อไทยและทีมกุนซือของพล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม มีความพยายามแก้ไขพ.ร.บ.กลาโหม เพื่อให้ฝ่ายการเมืองสามารถล้วงลูกโยกย้ายทหารได้สะดวกจนหวิดจะกลายเป็นเรื่องทำให้ฟากรัฐบาลต้องถอยฉากยกธงขาวมาแล้ว ยกนั้นถือว่าทหารชนะขาดลอย แต่ศึกป้ายสียกใหม่ที่เล่นกันเป็นขบวนการนี้ ไม่แน่ว่า บิ๊กตู่จะเอาอยู่หรือไม่ ?

ปล.โปรดอย่าถามนายกฯ ปู เพราะเธอจะบอกว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้น “หนูไม่รู้ หนูไม่รู้”

หมายเหตุ - 'ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์' มีแฟนเพจแล้วนะครับ ขอเชิญร่วมพูดคุยและแสดงความคิดกันได้ที่ http://www.facebook.com/Astvmanagerweekend
กำลังโหลดความคิดเห็น