xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กป้อม-บิ๊กป๊อก” หายหัวสถาปนาทหารเสือราชินี - “บิ๊กตู่” ปลอบอดีตทหารพบดีเอสไอคดีม็อบแดง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ภาพจากแฟ้ม)
ผบ.ทบ.เผยส่ง จนท.กรมพระธรรมนูญไปดูแลอดีต จนท.ทหารเข้าพบดีเอสไอซักฟอกสลายเสื้อแดง ลั่นไม่หนักใจ แต่หวั่นสังคมเข้าใจทหารผิด ยันไม่มีเจตนาทำร้ายประชาชน ส่วนงานสถาปนา ร.21 รอ. ทหารเสือราชินีคึกคัก แต่ไร้เงา “ประวิตร-อนุพงศ์”

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ให้สัมภาษณ์  

วันนี้ (21 ส.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวถึงกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เชิญเจ้าหน้าที่ทหารที่ทำหน้าที่พลระวังป้องกันในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 ว่า เท่าที่ทราบเขารับราชการเป็นพลทหารและมียศเป็นสิบตรีกองประจำการ เกษียณไปแล้ว โดยทางดีเอสไอมีอำนาจที่จะเรียกไปสอบสวนก็ต้องมารายงานตัวและให้ข้อมูล อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ากำลังพลจะเกษียณไปแล้ว ทางกองทัพบกจะจัดส่งเจ้าหน้าที่กรมพระธรรมนูญไปดูแล คอยให้ความมั่นใจกับเขา เพราะเขาเป็นอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปลดประจำการไปแล้ว และเป็นกองหนุน ซึ่งความผูกพันที่เรามีให้กันไม่ใช่เฉพาะในส่วนของทหารที่รับราชการอยู่ เมื่อเกษียณอายุราชการไปแล้วก็ยังมีชารมทหารกองหนุนอยู่ มีการติดตามดูแลเอาใจใส่ ใครเดือดร้อนกลับมาให้ผู้บังคับบัญชาเก่าดูแล ซึ่งตนได้มอบหมายความรับผิดชอบไปแล้ว เพราะฉะนั้นเราไม่ได้เกรงกลัวอะไร จะผิดจะถูกก็เป็นเรื่องของกฎหมายและเป็นอำนาจในการเรียก โดยที่ผ่านมากองทัพบกก็ให้ความร่วมมือทุกประการ ไม่เคยปกปิดหรือพูดในสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง

เมื่อถามว่า พยานหลักฐานที่มีอยู่สามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่เจ้าหน้าที่ที่บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมถึงประชาชนที่มั่นในว่าไม่ได้เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐได้มากน้อยแค่ไหน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องคำนึงในหลายส่วน ทั้งวัตถุพยาน พยายามบุคคล รวมถึงการพิสูจน์นิติทางวิทยาศาสตร์ นำสิ่งเหล่านี้มาประกอบกันก่อนจะเข้าสู่กระบวนการตัดสิน หากมีพยานก็ต้องไปดูว่าพยานเชื่อถือได้หรือไม่ และในห้วงที่ผ่านมาหายไปไหน แล้วในวันนี้ถึงปรากฏตัวขึ้นมามากมาย รวมทั้งพยานของอีกฝ่ายหายไปไหนหมดก็ต้องไปว่ากัน

“ผมคิดว่าสังคมทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ในส่วนของทหารไม่ได้หวั่นไหวอะไรทั้งสิ้น เพียงแต่สิ่งที่ผมพยายามอธิบายให้เข้าใจ ไม่อยากให้เอาประเด็นนี้มาทำให้บ้านเมืองวุ่นวาย ซึ่งเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องว่ากันไป ซึ่งเหมือนกับคดีอื่นๆ ถ้านำเรื่องนี้มาเป็นเรื่องใหญ่ บ้านเมืองก็วุ่นวาย เรื่องคดีก็ต้องต่อสู้กันไป คิดว่าไม่ได้มาตัดสินในวัน 2 วันนี้อยู่แล้ว ใครมีพยามหลักฐานก็เอามาประกอบ ศาลให้โอกาสทุกฝ่ายอยู่แล้ว และตอนนี้ก็ไม่ได้เป็นผู้ต้องหา ก็ต้องชี้แจงกันไป ผมและทหารทุกคนไม่ได้หนักใจอะไร เพียงแต่ถ้าพูดกันไปมากๆ สังคมจะเข้าใจว่าการกระทำความผิดได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมไทย” พล.อ.ประยุทธ์กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวอีกว่า การทำงานที่ผ่านมาไม่ใช่เฉพาะแต่ในส่วนของทหาร หรือใครคนใดคนหนึ่ง แต่ทำกันเป็นรูปแบบคณะทำงาน และเป็นกฎหมาย จะผิดจะถูกก็ไปว่าในกระบวนการยุติธรรม สำหรับข้อมูลหลักฐานของกองทัพบกที่ส่งไปให้พนักงานสอบสวน บางส่วนหายไปไม่ได้รับการพิจารณานั้นไม่น่าเป็นห่วงอะไร เพราะเป็นหลักฐานที่ต้องลงบันทึกประจำวัน อาจจะพูดว่าไม่เห็น ไม่มีก็พูดได้ แต่หลักฐานมีอยู่จริง เราส่งอะไรไปอย่างไรก็ต้องมี ถ้าหลักฐานที่ส่งไม่ได้ถูกบันทึกไว้ก็ใช้ไม่ได้ จะต้องมีการบันทึกทั้งคนส่งและคนรับ บางครั้งผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานอาจจะไม่ทราบ จนไม่ได้พูดถึง ซึ่งต้องมีแต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็หากันใหม่ รวบรวมกันได้ เพราะหลักฐานก็ต้องมีสำเนาทุกเรื่อง ทั้งนี้ไม่อยากให้นำหลักฐานมาตีแผ่ น่าจะนำไปพูดคุยกันในศาลมากกว่า ถ้าเอามาพูดกันตามสื่อก็ไม่มีอะไรดีกับใคร เป็นเรื่องกันแค่ 2 ฝ่าย แต่ทำไมต้องนำเรื่องดังกล่าวมายัดให้คนทั้งประเทศรับรู้ทุกวัน ตนคิดว่าประชาชนก็เครียด แทนที่จะเอาเวลาไปทำมาหากิน ต้องมานั่งฟังเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องระหว่างคน 2 กลุ่ม ตอนนี้เศรษฐกิจโลกก็แย่ลง จีดีพีก็ต่ำลงไปอีก ราคายางพาราก็แย่ลง อยากให้ช่วยกันไปทำตรงนี้ดีกว่า นั้นก็เป็นทุกข์กันอยู่แล้ว มาเจอเรื่องนี้ก็เป็นทุกข์เข้าไปอีกแล้วจะอยู่กันอย่างไร

พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตทำอย่างไรให้สงบเงียบ และให้กระบวนการยุติธรรมทำงานไป และให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วนทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชน ที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นสีไหนตนไม่เคยแยกและไม่เคยสั่งว่าถ้าเป็นสีนั้นสีนี้ไม่ต้องไปช่วย ช่วยทุกสี การที่จะมามองว่าทหารทำร้ายประชาชนอย่างเดียว คิดว่าไม่ถูก อยากให้กลับไปหาว่าจริงๆแล้วใครทำร้ายใคร ใครเป็นเจ้าหน้าที่ ใครเป็นผู้ก่อเหตุ ไปหากันให้เจอว่าใครก่อเรื่อง อย่างไรก็ตาม ไม่อยากไปพาดพิงว่าใครเป็นพวกใคร แต่ระหว่างคนดีกับคนร้าย แยกกันให้ออกและไปหาให้เจอ ซึ่งเหตุการณ์ในปี 2553 ทุกคนในประเทศก็เห็นว่าเป็นอย่างไร ทหารไม่ได้มีเจตนาที่จะไปทำร้ายประชาชน ทุกคนไปทำตามหน้าที่ เมื่อถามว่า ผบ.ทบ.น้อยใจที่ทำงานมากแต่ถูกว่ากล่าว พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่เคยน้อยใจ เพราะไม่ใช่คนใจน้อย หัวก็ไม่ล้านด้วย”

จากนั้นเมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ได้เป็นประธานในพิธีวันสถาปนากรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ (ร.21 รอ.) ครบรอบ 62 ปี โดยมีอดีตผู้บังคับกรม ร.21รอ. เช่น พล.อ.นิพนธ์ ภารัญนิตย์, พล.อ.อาชวินทร์ เศวตเศรณี มาร่วมงาน ทั้งนี้ ยังมีนายทหารที่เคยรับราชการใน ร.21 รอ. ซึ่งถือเป็นทหารเสือราชินีมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เช่น พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กระทรวงกลาโหม, พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร แม่ทัพภาคที่ 1, พล.ต.วลิต โรจนภักดี รองแม่ทัพภาคที่ 1, พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.ร.2 รอ.) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าในพิธีสถาปนา ร.21 รอ. ครั้งนี้ ทาง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีต รมว.กลาโหม และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. ซึ่งถือว่าเป็นทหารเสือราชินี และเป็นอดีต ผบ.ร.21รอ.ที่เคยมาร่วมงานทุกปี แต่ปรากฏว่าปีนี้ไม่ได้เดินทางมาร่วมงานแต่อย่างใด

โดย พล.อ.ประยุทธ์กล่าวก่อนเดินทางมาร่วมพิธีว่า ถือเป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชา ที่จะเดินทางไปร่วมงานวันสถาปนาเพื่อให้เกียรติหน่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตนเคยรับราชการอยู่ ใน ร.21 รอ. ก็ต้องไปสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชา บางคนก็ใกล้จะเกษียณอายุ นอกนั้นเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย อย่างไรก็ตาม ช่วงนี้ตนจะพยายามไปตรวจเยี่ยมหน่วยทหารในส่วนของหน่วยที่รับภารกิจพิเศษให้ทำงานตามที่รัฐบาลได้มอบหมายมา ทั้งนี้ ความตั้งใจของตนอยากให้เป็นกองทัพทันสมัย ทำงานอย่างเต็มกำลัง สิ่งที่อยากจะทำคือยากให้กำลังพลมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนคิดถึงคนอื่นมากกว่าคิดถึงตัวเอง ตนไม่ใช่คนดี 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าดีก็คงเป็นพระ ก็เป็นปุถุชนคนธรรมดา มีโมโห เป็นคนมีเหตุผล ใช้สมองในการตัดสินใจไม่ใช่ความรู้สึก
กำลังโหลดความคิดเห็น