ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลอาญาสั่งเพิกถอนการให้ประกันตัว "เจ๋ง ดอกจิก" พร้อมส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที ยันมีเจตนายุยง ปลุกปั่น ให้คนรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ส่วน นปช. ที่เหลือ สั่งห้ามปลุกปั่น ยั่วยุ และออกนอกประเทศ ด้านทนายยกเลิกยื่นเงินสด 2 ล้านประกันตัว หลังประเมินมีโอกาสวืดสูง
วานนี้ (22 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญานัดสอบถามนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำแนวกลุ่มร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย จำเลยที่ 2 ในคดีร่วมกันก่อการร้าย และพวกรวม 19 คน กรณีที่นายเชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง ประชาธิปัตย์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวนายจตุพร นายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก เลขานุการ รมช.มหาดไทย และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กรณีมีพฤติการณ์เข้าข่ายผิดเงื่อนไขการให้ประกันตัว ขึ้นเวทีปราศรัยที่บริเวณหน้ารัฐสภา กล่าวโจมตีพาดพิง ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องขอให้วินิจฉัยร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ม.291 ขัด ม. 68 ของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการล้มล้างการปกครองหรือไม่
โดยนายนิพิฏฐ์ได้เดินทางมาศาลพร้อม ส.ส. และทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายยศวริศ ได้เตรียมพยานเปิดความ 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.อ.ไกรเลิศ บัวแก้ว รอง ผบก.น.1 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์และควบคุมสถานการณ์การชุมนุมวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา, นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย ในฐานะผู้บังคับบัญชาของตนเอง และนายจรินทร์ สวนแก้ว ประธานมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช ขึ้นเบิกความว่านายยศวริศ มีความจงรักภักดีเนื่องจากร่วมเป็นคณะกรรมการจัดงาน 5 ธันวาฯ และเตรียมวัตถุพยาน คือ วีซีดีบันทึกการปราศรัยเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ช่วงที่ขึ้นเวทีกล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ความยาว 3 นาที และเอกสารถอดคำปราศรัยด้วย
นายยศวริศแถลงต่อศาลว่า การปราศรัยเป็นการพูดตามสไตล์ตลกของตน แต่หลังเกิดเหตุ ตนได้กล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก และได้บอกกับประชาชนว่าอย่าโทรศัพท์ไปก่อกวนครอบครัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทุกท่าน ซึ่งก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น และไม่มีประชาชนคนใดคนหนึ่งโทรศัพท์ไปรบกวนตุลาการและครอบครัวเลยแม้แต่คนเดียว ที่สำคัญหมายเลขโทรศัพท์ที่ได้นำไปประกาศก็ไม่ได้มีการตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่
ทั้งนี้ ยืนยันว่าตนไม่มีเจตนายุยงปลุกปั่นสร้างความวุ่นวาย ในทางกลับกันตนได้ประสานกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาชุมนุมบริเวณศาลอาญา โดยขอร้องให้คนเสื้อแดงอยู่ในระเบียบวินัยของศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้มีรัฐบาลเพื่อไทยและตนเป็นสมาชิกอยู่ รวมทั้งตนมีตำแหน่งเป็นเลขานุการ ช่วยงาน รมช.มหาดไทย จึงไม่มีเจตนากระทำการวุ่นวาย ตนไม่มีอะไรมากนอกจากขอความเมตตาจากศาล ซึ่งหากมีการกระทำผิดพลาด ตนขออภัย และน้อมรับปฏิบัติตามคำสั่งศาลอย่างเต็มใจและเคร่งครัด
ขณะที่นายวิญญัติแถลงต่อศาลขอสอบถามนายยศวริศเพิ่มเติม และจะนำพยานขึ้นเบิกความเพียง 3 ปาก พร้อมเปิดหลักฐานวีซีดีในวันปราศรัยให้ศาลดูเพิ่มเติมประมาณ 2-3 นาที
จากนั้นทนายความได้นำนายฐานิสร์ขึ้นแถลงต่อศาลว่า จากการทำงานร่วมกับนายยศวริศ 1 ปี เห็นว่านิสัยส่วนตัวนายยศวริศจะเป็นคนสนุกสนานร่าเริง อารมณ์ดี ไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว และไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคม นายยศวริศได้ทำหน้าที่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ มีความรับผิดชอบงานได้เป็นอย่างดี โดยตนมอบหมายให้นายยศวริศแก้ไขปัญหาผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งกรณีที่มีการชุมนุมของผู้ประสบอุทกภัย นายยศวริศก็มีความสามารถเข้าไปไกล่เกลี่ยได้เป็นอย่างดี ส่วนที่นายยศวริศวิจารณ์การทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและรวบรวมรายชื่อถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าทำตามสิทธิ์ขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญเห็นว่าสามารถทำได้ เพราะการวิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา ก็มีนักวิชาการ ประชาชนทั่วไปวิจารณ์จำนวนมาก และหลังวันที่ 7-8 มิ.ย.ที่มีการปราศรัยพร้อมทั้งรวบรวมรายชื่อถอดถอนตุลาการ ก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
พร้อมทั้งได้นำนายจรินทร์แถลงเป็นปากสุดท้ายว่า ตนรู้จักนายยศวริศผ่านสมาคมตลก และเคยเชิญนายยศวริศช่วยดูแลงานเฉลิมพระเกียรติ 12 สิงหา โดยมอบหมายให้ดูแลเรื่องตลกเพื่อนำมาแสดงให้ความบันเทิงกับประชาชน ซึ่งนายยศวริศก็ร่วมงานเต็มที่มาโดยตลอด นายยศวริศเป็นผู้มีการศึกษามีวุฒิภาวะย่อมรู้อะไรควรหรือไม่ควร หากทำอะไรไม่ควร เมื่อสำนึกและออกมายอมรับ ประเพณีคนไทยที่เมื่อคนทำผิดแล้วขออภัย สังคมก็ควรจะยอมรับได้
ต่อมาทนายความของนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง จำเลยที่ 11 ได้แถลงต่อศาลว่าจำเลยที่ 11 ป่วยรักษาตัวที่โรงพยาบาลพระราม 9 และมีใบรับรองแพทย์ยื่นต่อศาล จึงขอเลื่อนการสอบถามจำเลยที่ 11 ออกไปก่อน ศาลพิเคราะห์แล้วอนุญาตให้นัดสอบถามจำเลยที่ 11 วันที่ 29 พ.ย.นี้ พร้อมกับจำเลยที่ 3, 4, 5, 9, 10 ที่เป็น ส.ส.ภายหลัง ศาลสอบถามนายยศวริศเสร็จ ได้นัดฟังคำสั่งเวลา 15.00 น.
ต่อมาเวลา 15.00 น. แกนนำนปช.และจำเลยคนอื่นๆ เริ่มทยอยเดินทางมาฟังคำสั่งศาล อาทิ นายจตุพร นายณัฐวุฒิ น.พ.เหวง ส่วนนายก่อแก้ว นายการุณ นายวิภูแถลง แกนนำที่เป็นส.ส.ไม่ได้เดินทางมา
จากนั้น ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำสั่ง ระบุว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยเบื้องต้นว่าสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญ และนายนิพิฏฐ์ มีอำนาจยื่นคำร้องและหนังสือขอเพิกถอนปล่อยชั่วคราวจำเลยหรือไม่ และศาลอาญามีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทุกคนระหว่างการพิจารณา และศาลกำหนดเงื่อนไขให้จำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24 ต้องปฏิบัติในระหว่างที่ได้รับอนุญาตปล่อยชั่วคราวตามป.วิอาญา มาตรา 122 วรรคสอง เพื่อไม่ให้จำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24 ไปก่อให้เกิดภัยอันตรายหรือความเสียหายใดๆ
หลังจากที่ศาลได้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอันมีจุดประสงค์เพื่อคุ้มครองคู่ความกับผู้มีส่วนได้เสียในคดี และประชาชนทั่วไปตลอดจนสังคมส่วนรวมให้ปลอดภัยจากอันตรายและความเสียหายใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการฝ่าฝืนเงื่อนไขของจำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24
ดังนั้น จำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24 จึงต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขเหล่านั้นอย่างเคร่งครัด และศาลต้องควบคุมตรวจสอบตลอดเวลาว่าจำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24 ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขหรือไม่เพียงใด หากมีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24 ได้ปฏิบัติฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวหรือไม่เพียงใด และมีเหตุให้ศาลเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวของจำเลยที่ 1 2 6 7 8 12-24 หรือไม่ คู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีจึงย่อมมีอำนาจยกปัญหาขึ้นให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยได้ และหากปัญหาดังกล่าวได้ปรากฏต่อสาธารณชนได้รับทราบทั่วไปอย่างกว้างขวางและศาลก็ได้รับทราบเช่นกัน แต่ไม่มีคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสียในคดีนั้นยกปัญหานั้นให้ศาลพิจารณา ศาลในฐานะผู้อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 2 6 7 8 12 -24 ก็ย่อมมีอำนาจยกปัญหานั้นขึ้นพิจารณาวินิจฉัยได้เอง
ต่อมา มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า มีเหตุสมควรที่จะเพิกถอนการปล่อยชั่วคราวนายยศวริศ จำเลยที่ 7 หรือไม่ เมื่อพิเคราะห์คำร้องและหนังสือขอให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7 ประกอบคำแถลงของนายนิพิฎฐ์ ผู้ร้องและคำแถลงของจำเลยที่ 7 แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.2555 จำเลยที่ 7 ได้ขึ้นกล่าวปราศรัยเวทีหน้ารัฐสภาในขณะที่มีแนวร่วม นปช.ร่วมฟังอยู่เป็นจำนวนมาก โดยวิพากษ์วิจารณ์และติชมการปฎิบัติหน้าที่ของตุลการศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ในประเด็นดังกล่าวจำเลยที่ 7 ไม่ได้ปฏิเสธว่าบุคคลที่อยู่ในแผ่นวีซีดีตามหลักฐานไม่ใช่ตัวจำเลยที่ 7 และเสียงที่พูดออกมานั้นไม่ใช่เสียงของจำเลยที่ 7 เอง ขณะที่จำเลยที่ 7 แถลงต่อศาลยอมรับว่าได้อ่านข้อมูลส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัวขณะกล่าวปราศรัยบนเวทีจริง เพียงแต่จำเลยที่ 7 เห็นว่าเป็นเรื่องที่หน้าสนุกสนานชวนให้ผู้ฟังรู้สึกตลกขบขัน อันเป็นลักษณะนิสัยของจำเลยที่ 7
เมื่อพิจารณาถ้อยคำการกล่าวปราศรัยของจำเลยที่ 7 ในวันดังกล่าว ประกอบกับน้ำเสียงและการแสดงสีหน้าท่าทางของจำเลยที่ 7 แล้ว ส่อให้เห็นถึงเจตนาที่จะยุยง ปลุกปั่น ให้ผู้ฟังรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งก่อนที่จำเลยที่ 7 จะนำข้อมูลส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัวมาเปิดเผยในเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน จำเลยที่ 7 ยังกล่าวถ้อยคำตอนหนึ่งทำนองว่า “ให้แวะเวียนไปเยี่ยม เอาดอกไม้ไปเยี่ยม โทรศัพท์ไปคุยและให้ไปจัดการ” อันเป็นการพูดที่อาจทำให้ผู้ฟังที่กำลังอยู่ในอารมณ์ที่เกลียดชังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 7 ประสงค์จะให้มีการก่อความวุ่นวาย สร้างความเดือดร้อนรำคาญหรือกระทำการอันตรายต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัว และถือได้ว่าเป็นการคุกคามกดดันแก่บุคคลที่ถูกกล่าวอ้าง อีกทั้งเป็นการกดดันการทำหน้าที่ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งการนำข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่นมาเปิดเผยโดยไม่มีเหตุจำเลยก็ไม่ใช่วิสัยปกติของบุคคลทั่วไป
การกระทำของจำเลยที่ 7 ที่นำข้อมูลส่วนตัวของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและครอบครัวมาเปิดเผยเช่นนี้ ยิ่งแสดงออกถึงเจตนาร้ายของจำเลยที่ 7 ที่ต้องการให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในบ้านเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และเป็นการไม่นำพาต่อเงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่งไว้
แม้ภายหลังจำเลยที่ 7 จะกล่าวขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ไม่อาจทำให้การกระทำที่ได้ทำลงไปแล้วกลับคืนมาได้ ถือว่าจำเลยที่ 7 กระทำผิดเงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวที่ศาลกำหนดไว้แล้วว่าไม่ให้กระทำการใดอันก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง โดยไม่จำต้องมีเหตุร้ายใดๆ เกิดขึ้นหรือต้องให้ผู้ที่ถูกพาดพิงไปแจ้งความดำเนินคดีกับจำเลยที่ 7 เสียก่อน เมื่อพิจารณาประกอบถ้อยคำจำเลยที่ 7 ซึ่งอ้างว่าเมื่อระลึกได้ในภายหลังว่ากระทำไม่เหมาะสมแล้วจึงได้กล่าวขอโทษ กับการที่จำเลยที่ 7 เห็นว่าสิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นเรื่องของความตลกขบขัน ได้แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 7 ไร้ซึ่งความยับยั้งชั่งใจในการใคร่ครวญว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำก่อนที่จะกระทำการใดๆ ไป
ดังนั้น จึงยังไม่แน่ว่าหากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7 อีกต่อไปแล้วจะไปก่อเหตุวุ่นวายประการอื่นใดอีก อีกทั้งคำปราศรัยดังกล่าวยังถือได้ว่าเป็นการกล่าวถ้อยคำไปยังสาธารณชนที่เป็นการละเมิดหรือกระทบสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลใดโดยตรง นอกจากนี้ ยังถือได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 7 เป็นการยั่วยุปลุกปั่น ปลุกระดมเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน การกระทำของจำเลยที่ 7 จึงถือได้ว่าเป็นการผิดเงื่อนไขที่ศาลกำหนดไว้ และยังถือได้ว่าจำเลยที่ 7 อาจก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น จึงมีเหตุสมควรที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7 จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 7
แต่ทั้งนี้ ในการอนุญาตปล่อยชั่วคราวจำเลยที่ 1 2 6 8 12-24 ศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวในระยะเวลาที่ต่างกัน เงื่อนไขการปล่อยชั่วคราวไม่เหมือนกัน
ดังนั้น จึงเห็นสมควรกำหนดเงื่อนไขอนุญาตการปล่อยชั่วคราวจำเลยดังกล่าวเสียใหม่ โดยให้มีเงื่อนไขเดียวกันว่า ห้ามจำเลยที่ 1 2 6 8 12-24 กระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้อื่นหรือยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง หรืออาจก่อให้เกิดอันตราย กระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียงและความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือกระทำการใดๆ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมายแผ่นดิน และห้ามจำเลยดังกล่าวเดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายหลังศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประกันตัว นายยศวริศมีสีหน้าเคร่งเครียด โดยภรรยาเดินเข้ามาสวมกอดให้กำลังใจ รวมทั้งแกนนำนปช.คนอื่นๆ ก็เดินเข้ามาปลอบใจ โดยให้คำมั่นว่าจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ส่วนแกนนำคนอื่นๆ ที่มาฟังคำสั่งศาล อาทิ นายจตุพร นายณัฐวุฒิ นายวีระกานต์ นายสุพร นพ.เหวง และนางธิดา ต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด โดยเฉพาะนายจตุพรที่มีใบหน้า และดวงตาแดงกล่ำ และได้หารือกับนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายยศวริศ ขอให้ยื่นขอประกันนายยศวริศทันที โดยใช้หลักทรัพย์จำนวน 2 ล้านบาท และอ้างชื่อของนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย และพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม เป็นผู้ควบคุมความประพฤติของนายยศวริศ หากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ภายหลังศาลมีคำสั่งถอนประกันนายยศวริศแล้ว เจ้าหน้าที่จากกรมราชทัณฑ์ 4 นายได้ควบคุมตัวนายยศวริศออกจากห้องพิจารณาคดี โดยนายยศวริศได้มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีความเห็นอย่างไรต่อคำสั่งศาล นายยศวริศไม่ได้ตอบใดๆ กลับมา และเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวลงลิฟท์ด้านหลังเพื่อลงไปยังห้องควบคุมใต้ถุนศาลอาญา จากนั้นได้นำตัวขึ้นรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพติดฟิล์มทึบ และเจ้าหน้าที่คอมมานโดนั่งประกบคู่ไปด้วย โดยมีรถตำรวจกองปราบประกับหน้าและหลังเพื่อคุ้มกัมความปลอดภัย จากนั้นจึงขับรถออกไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพทันที โดยใช้เส้นทางด้านหลังศาลอาญาไปทาง ถ.วิภาวดีรังสิต ไม่ผ่านกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ชุมนุมอยู่ด้านหน้าศาลอาญา
ต่อมานายวิญญัติ ได้ปรึกษากับทีมทนายนปช..ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ได้กลับมาแจ้งให้แกนนำ นปช. ทราบว่า หากจะยื่นในวานนี้ (22 ส.ค.) เลย อาจจะไม่เป็นผลดี เนื่องจากคำสั่งศาลจะต้องมีผลบังคับใช้ก่อน และการยื่นโดยยังไม่มีผลบังคับ หากศาลปฏิเสธการยื่นขอประกันจะส่งผลให้การยื่นในครั้งต่อไปเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
นายวิญญัติกล่าวภายหลังการหารือว่า ทางทนายจะไม่ยื่นขอประกันตัว โดยจะไปประชุมกับทีมทนายความของ นปช. เพื่อดูรายละเอียดของคำสั่งศาลอย่างละเอียดอีกครั้ง พร้อมทั้งอาจเชิญพยานบุคคลที่ให้การเป็นประโยชน์มาให้ถ้อยคำต่อศาล เช่น บุคคลในรัฐบาลรับรองพฤติกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือรมว.ยุติธรรม หากมีการยื่นขอประกันตัวนายยศวริศ โดยเบื้องต้นหากมีการยื่นประกันจะยื่นต่อศาลชั้นต้นก่อนโดยใช้เงินสดจำนวน 2 ล้านบาท และหากศาลชั้นต้นไม่ยินยอมให้ประกันจะยื่นขอประกันต่อศาลอุทธรณ์อีกครั้ง ส่วนจะเป็นวันใดยังไม่สามารถระบุได้