ASTVผู้จัดการรายวัน – ก.ล.ต.ผุด“โครงการหุ้นกู้SMEs"หวังเพิ่มช่องทางบริษัทขนาดกลาง-เล็กเข้าถึงแหล่งระดมทุน แจง หากยื่นไฟลิ่งขายหุ้นกู้ภายในสิ้นปี 56 ก.ล.ต.-สมาคมตราสารหนี้ ยกเว้นค่าธรรมเนียม “วรพล”เผย ขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำเกณฑ์เสนอขายหุ้นกู้ความเสี่ยงสูง ให้กองทุนลงทุนได้ 100% จากปัจจุบัน15%
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้จัดทำ “โครงการหุ้นกู้SMEs"เพื่อเป็นการให้ทางเลือกให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเข้าถึงแหล่งระดมทุน ในการออกหุ้นกู้หรือ ตั๋วเงิน เพื่อนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัท SMEอยู่จำนวน 3 ล้านราย โดยก.ล.ต.ร่วมมือกับ 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย บริษัททริสเรทติ้ง จำกัด บริษัท ฟิทช์ เทรติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ตลาดตราสารหนี้ (BEX) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ หอการค้าไทย
ทั้งนี้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่ขณะนี้ถึง28 ธันวาคม 2555 ทางบริษัท ฟิทช์เรทติ้ง และ ทริสเรทติ้ง จะมีการลดค่าธรรมเนียมการจัดอันดับความน่าเชื่อในราคาพิเศษให้กับบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ และ หากมีการยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้หรือ ตั๋วเงินภายในเดือนธันวาคม 2556 ก.ล.ต.จะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ และลดค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ลง50% สำหรับการยื่นแบบไฟลิ่งครั้งแรกของการเสนอขายหุ้นกู้ สมาคมตราสารหนี้ไทย จะมีการลดค่ายื่นคำขอขึ้นทะเบียนตราสารหนี้ และ ค่าขึ้นทะเบียนตราสารหนี้รายปีและ ค่าอบรม
สำหรับบริษัทSMEsที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นบริษัทจำกัด หรือ บริษัทมหาชน ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ไม่ร่วมถึงสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินและ มีสินทรัพย์ตามงบการเงินปีล่าสุดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ณ วันที่สมัครเข้าร่วมโรงการ โดยผลการจัดอันดับที่ได้ นอกจากจะเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงบริษัทในเรื่องระบบบัญชี ให้มีความโปร่งใส และทำให้บริษัทสามารถมีแนวการปรับปรุงเพื่อให้ได้รับเรทติ้งในอันดับที่ดีขึ้นในอนาคตรวมถึงได้รับการยอดรับจากผู้ที่ทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และลูกค้า สามารถให้แข่งขันได้
นายวรพล กล่าวว่า ขณะนี้ก.ล.ต.อยู่ระหว่างยกร่างการเสนอขายตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนสูง (ไฮด์ยิวบอนด์) เช่น ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือ ตราสารหนี้ที่มีเรทติ้งต่ำกว่า Invesment Grade ให้กองทุนสามารถเข้าลงทุนได้ 100% จากปัจจุบันที่ลงทุนได้ 15% แต่จะต้องกระจายการลงทุนบริษัทละไม่เกิน 25% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ แต่หากเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อยประเภทAccredited Investors (AI)จะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท และกระจายการลงทุนแต่ละบริษัทที่ออกไม่เกิน15-20%ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยคาดว่าเกณฑ์ดังกล่วจะประกาศออกมาได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้ เพื่อใช้รองรับโครงการหุ้นกู้SMEs
อนึ่งนักลงทุน AI ประกอบด้วยผู้ลงทุน 2 ประเภท ได้แก่ (1) ผู้ลงทุนสถาบัน* เช่น ธนาคารพาณิชย์ กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น และ (2) ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด (High Net Worth) โดยกรณีเป็นบุคคลธรรมดาต้องมีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป สามารถพิจารณารวมกับคู่สมรสได้ ส่วนกรณีเป็นนิติบุคคลต้องมีส่วนของผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้จัดทำ “โครงการหุ้นกู้SMEs"เพื่อเป็นการให้ทางเลือกให้บริษัทขนาดกลางและเล็กเข้าถึงแหล่งระดมทุน ในการออกหุ้นกู้หรือ ตั๋วเงิน เพื่อนำไปใช้ในการขยายธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันมีบริษัท SMEอยู่จำนวน 3 ล้านราย โดยก.ล.ต.ร่วมมือกับ 8 หน่วยงาน ประกอบด้วย บริษัททริสเรทติ้ง จำกัด บริษัท ฟิทช์ เทรติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด สมาคมตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ตลาดตราสารหนี้ (BEX) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ หอการค้าไทย
ทั้งนี้บริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการสามารถสมัครได้ตั้งแต่ขณะนี้ถึง28 ธันวาคม 2555 ทางบริษัท ฟิทช์เรทติ้ง และ ทริสเรทติ้ง จะมีการลดค่าธรรมเนียมการจัดอันดับความน่าเชื่อในราคาพิเศษให้กับบริษัทที่เข้าร่วมโครงการ และ หากมีการยื่นขออนุญาตเสนอขายหุ้นกู้หรือ ตั๋วเงินภายในเดือนธันวาคม 2556 ก.ล.ต.จะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นคำขอ และลดค่าธรรมเนียมการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ลง50% สำหรับการยื่นแบบไฟลิ่งครั้งแรกของการเสนอขายหุ้นกู้ สมาคมตราสารหนี้ไทย จะมีการลดค่ายื่นคำขอขึ้นทะเบียนตราสารหนี้ และ ค่าขึ้นทะเบียนตราสารหนี้รายปีและ ค่าอบรม
สำหรับบริษัทSMEsที่สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นบริษัทจำกัด หรือ บริษัทมหาชน ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย แต่ไม่ร่วมถึงสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบธุรกิจทางการเงินและ มีสินทรัพย์ตามงบการเงินปีล่าสุดไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ณ วันที่สมัครเข้าร่วมโรงการ โดยผลการจัดอันดับที่ได้ นอกจากจะเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงบริษัทในเรื่องระบบบัญชี ให้มีความโปร่งใส และทำให้บริษัทสามารถมีแนวการปรับปรุงเพื่อให้ได้รับเรทติ้งในอันดับที่ดีขึ้นในอนาคตรวมถึงได้รับการยอดรับจากผู้ที่ทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และลูกค้า สามารถให้แข่งขันได้
นายวรพล กล่าวว่า ขณะนี้ก.ล.ต.อยู่ระหว่างยกร่างการเสนอขายตราสารหนี้ที่มีผลตอบแทนสูง (ไฮด์ยิวบอนด์) เช่น ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูง หรือ ตราสารหนี้ที่มีเรทติ้งต่ำกว่า Invesment Grade ให้กองทุนสามารถเข้าลงทุนได้ 100% จากปัจจุบันที่ลงทุนได้ 15% แต่จะต้องกระจายการลงทุนบริษัทละไม่เกิน 25% ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ แต่หากเสนอขายให้กับนักลงทุนรายย่อยประเภทAccredited Investors (AI)จะต้องมีเงินลงทุนขั้นต่ำครั้งแรกไม่ต่ำกว่า 5 แสนบาท และกระจายการลงทุนแต่ละบริษัทที่ออกไม่เกิน15-20%ของมูลค่าสินทรัพย์สุทธิ โดยคาดว่าเกณฑ์ดังกล่วจะประกาศออกมาได้ภายใน 2-3 เดือนจากนี้ เพื่อใช้รองรับโครงการหุ้นกู้SMEs
อนึ่งนักลงทุน AI ประกอบด้วยผู้ลงทุน 2 ประเภท ได้แก่ (1) ผู้ลงทุนสถาบัน* เช่น ธนาคารพาณิชย์ กองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เป็นต้น และ (2) ผู้ลงทุนรายใหญ่ที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด (High Net Worth) โดยกรณีเป็นบุคคลธรรมดาต้องมีสินทรัพย์สุทธิตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีรายได้ต่อปีตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป สามารถพิจารณารวมกับคู่สมรสได้ ส่วนกรณีเป็นนิติบุคคลต้องมีส่วนของผู้ถือหุ้นตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป หรือมีเงินลงทุนในหลักทรัพย์ตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป