xs
xsm
sm
md
lg

เจ้าสัวซีพีชี้ทางรอดไทย แนะรุกยานยนต์-เกษตร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - เจ้าสัวซีพี แนะทางรอดประเทศไทย ต้องพลิกวิกฤตเป็นโอกาส รับมือเศรษฐกิจโลกปีหน้าเผาจริง จี้รัฐบาลเร่งลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐาน รุกอุตสาหกรรมยานยนต์ ชูท่องเที่ยว พร้อมปรับพื้นที่เกษตรหันปลูกยาง อ้อย มัน ปาล์ม เหตุได้ราคาดีกว่าข้าว ออกปากหนุนจำนำช่วยชาวนาได้จริง “ดร.โกร่ง”แนะไทยเร่งลงทุน ชี้ทำตอนนี้มีแต่ได้ของถูก

นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เปิดเผยในการปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “จุดเปลี่ยนการค้าโลก : ไทยจะเดินอย่างไร” ในโอกาสเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 92 ปี กระทรวงพาณิชย์ วานนี้ (20 ส.ค.) ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะยังไม่แย่ คิดว่าปีหน้าจะแย่กว่านี้ แต่ต้องไม่ท้อใจ ต้องมองให้เป็นโอกาส เพราะวิกฤตจะตามมาด้วยโอกาส รัฐบาลต้องเตรียมพร้อมตั้งรับ ต้องเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ ต้องเร่งลงทุน และส่งเสริมนักธุรกิจไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ไทยมีทุนสำรองสะสม 1.8 แสนล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 13 ของโลก มีหนี้ระยะสั้นไม่กี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ไม่เหมือนตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่มีหนี้สูงกว่าแสนล้านเหรียญสหรัฐ และเป็นหนี้ระยะสั้น รัฐบาลต้องเอาเงินออกมาใช้ ต้องลงทุนในเรื่องที่เป็นประโยชน์กับประเทศ เช่น ท่าเรือ คมนาคม โลจิสติกส์ ท่าเรือ ชลประทาน รถไฟรางคู่ความเร็วสูง หรือใช้เงินส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบทำเอทานอล เพราะได้ราคาดีกว่าการปลูกข้าวทั้งนั้น แต่จะต้องมีแผนรองรับใน 5-10 ปี จะใช้วัตถุดิบเหล่านี้มาผลิตเอทานอลเท่าไร และจะลดการนำเข้าน้ำมันได้ปีละเท่าไร

“แบงก์ชาติอย่ากังวลภาวะเงินเฟ้อมากไป เพราะว่า ผลกระทบมาจากราคาน้ำมัน ที่ไทยไม่สามารถควบคุมได้ และเห็นว่าควรจะนำเงินทุนสำรองที่มีอยู่สูงมาก ไปลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะดีกว่า”

นายธนินท์กล่าวว่า การรับจำนำข้าว เห็นด้วยกับรัฐบาล เพราะไปถามเกษตรกร เกษตรกรบอกว่าจำนำดีกว่าประกัน ไม่ได้พูดแทนเกษตรกร เพราะการขายข้าวราคาถูก ขอถามว่าเอาเงินใครไปสู้ เอาเงินชาวนาไปสู้ หรือเอาเงินนักธุรกิจไปสู้ การสู้ก็ต้องมากดราคาชาวนา ซื้อถูกไปขายถูก ทำง่าย นักธุรกิจค้าข้าวพอใจ แต่จำนำ ซื้อแพง ขายแพง ทำยาก มีโอกาสขาดทุน พ่อค้าไม่พอใจ โดยรัฐบาลต้องหาทางช่วยเหลือพ่อค้าที่ได้รับผลกระทบด้วย

สำหรับนโยบายที่รัฐบาลควรจะผลักดัน ขอให้เน้นในเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์ เพราะปัจจุบัน ไทยเป็นที่ 4 ของโลก รองจากจีนที่ผลิตได้ 18 ล้านคัน ญี่ปุ่น 8.3 ล้านคัน และเกาหลีใต้ 4 ล้านคัน ส่วนไทย 1.4 ล้านคัน รัฐบาลจะต้องตั้งเป้าให้เป็นที่ 3 หรือที่ 2 ของโลก เพราะมีโอกาสสูง โดยขณะนี้อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกส่วนใหญ่ก็มาลงทุนในไทยแล้ว ก็ต้องไปถามว่า ถ้าจะให้มาลงทุนมากกว่านี้ จะให้ไทยสนับสนุนด้านไหน สนับสนุนอะไร แต่เห็นว่า ควรจะเริ่มที่จะพัฒนาคนเพื่อรองรับ ต้องสร้างคนที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยร่วมกับสถาบันการศึกษาสร้างขึ้นมา

ส่วนอีกเรื่อง จะต้องส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยว ต้องวางแผนในการดึงนักท่องเที่ยวจากจีน หากคน 10% ของจีนหรือ 130 ล้านคนมาเที่ยวไทย จะเกิดอะไรขึ้น รัฐบาลต้องคิด ต้องหาแรงจูงใจ เช่น จะเอาโรงแรมที่ไหนให้อยู่ จะมีแหล่งช็อปปิ้งที่ไหนให้ไปซื้อสินค้า โดยรัฐบาลต้องมองในเรื่องเขตเศรษฐกิจพิเศษปลอดภาษี อาจจะให้เช่าที่ดินได้ 99 ปี เพื่อดึงให้มาลงทุน
และให้เป็นแหล่งซื้อสินค้าของนักท่องเที่ยว

นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดจิ๋ว เล็ก และกลาง ออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน เช่น กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม เพราะธุรกิจเหล่านี้ไปแล้วจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ทุกวันนี้เขายังขาด ทั้งขาดข้อมูล ขาดเงินทุน รัฐบาลต้องช่วย

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในขณะที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ไทยต้องเร่งการลงทุน แต่ปัญหา คือ ไทยยังคิดว่าประเทศขาดดุลอยู่ ทั้งๆ ที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัดมาตั้งแต่ต้มยำกุ้ง หรือ 15 ปีมาแล้ว เพราะไทยไม่ลงทุนเลย ขณะนี้เงินออมมีเกือบ 1 ล้านล้านบาท จึงจำเป็นต้องเร่งลงทุน เพื่อสร้างเครื่องอำนวยความสะดวกพื้นฐาน กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ เพราะเอกชนต้องการลงทุน แต่ถึงจุดที่เดินต่อไม่ได้แล้ว ดังนั้น รัฐบาลต้องลงทุนถนนหนทาง รถไฟ สนามบิน ท่าเรือน้ำลึก และถ้าตัดสินใจลงทุน ก็ต้องประกาศให้เอกชนรู้ด้วยว่ารัฐจะทำอะไร เพื่อให้เอกชนเดินตามไปได้

”เรารวยตอนคนอื่นจนเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะได้ของถูกมาลงทุน เราพูดถึงรถไฟความเร็วสูง มีคนวิ่งขาขวิดแล้ว 5 ประเทศ พูดถึงมาตรการป้องกันน้ำท่วม ก็วิ่งกันล้มลุกคลุกคลานเหมือนกัน ตอนนี้ทุกประเทศต้องการงาน เพื่อจุนเจือการว่างงานของเขา เราต้องเร่งตอนนี้ให้จบ”

นายวีรพงษ์กล่าวอีกว่า เรื่องเงินเฟ้อ ทำอะไรมากไม่ได้ ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกโลก ของแพง ต้องเพิ่มรายได้ ไม่ใช่กดราคา ต้องเร่งให้คนมีรายได้สูง และไม่เห็นด้วยกับแบงก์ชาติ ถึงวิธีคิดของเขา แต่ผมเป็นปัญญาชน ความเห็นต่าง ก็ทำงานด้วยกันได้ ไม่งั้นจะพากันลงเหวหมด ขณะที่การเมืองไม่รู้จะทำยังไง ไม่อยากพูดในสิ่งที่ทำอะไรไม่ได้ พูดในเรืองที่ทำได้ดีกว่า อย่างการค้า การเงิน เชื่อว่า ถ้าทำแนวนี้ได้อีก 20 ปีประเทศไทยจะไม่เป็นประเทศไทยแบบทุกวันนี้แน่นอน.
กำลังโหลดความคิดเห็น