ปธ.เครือซีพี เชียร์ปรับค่าแรงเป็น 300 บาท ชี้ควรปรับเป็น 500 บาทด้วยซ้ำ เพื่อสอดคล้องกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น แจงผลกระทบต่อภาคธุรกิจขนาดเล็กแค่ระยะสั้น หลังจากนั้น จะช่วยให้เกิดกำลังซื้อสูงขึ้น ผลประโยชน์จะย้อนกลับมาสู่ผู้ประกอบการและภาคเกษตร เชื่อประเทศไทยยังน่าสนใจสำหรับนักลงทุนต่างชาติ
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ และประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวในการบรรยายพิเศษให้นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ตอนหนึ่งว่า สำหรับนโยบายการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท นับเป็นความกล้าหาญของรัฐบาล เพราะจะช่วยให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รวมถึง ยังสอดคล้องกับราคาสินค้าที่ปรับสูงขึ้นประมาณ 25 เท่าเมื่อเทียบกับ 47 ปีที่แล้ว ซึ่งการปรับขึ้นเป็น 300 บาท ยังน้อยไปด้วยซ้ำ โดยค่าแรงที่เหมาะสม ควรต้องปรับเป็น 500 บาทต่อวัน ซึ่งอนาคตค่าแรงจะต้องทยอยปรับขึ้นในที่สุด
ทั้งนี้ ในส่วนของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่อาจจะได้รับผลกระทบนั้น เชื่อว่า จะเป็นผลกระทบระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนั้นจะได้ประโยชน์จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นด้วย รวมไปถึง ภาคเกษตรจะได้ประโยชน์จากรายได้เพิ่มมากขึ้นไปด้วย ฉะนั้น เพื่อให้เกิดความสมดุลอย่างดีที่สุด ต้องให้มี 3 สูง คือ ค่าแรงสูง จากนั้นปล่อยให้ราคาสินค้าสูง โดยเฉพาะสินค้าเกษตรเพื่อเพิ่มกำลังซื้อ และสุดท้ายต้องเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงด้วย
"ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกันว่า ธุรกิจคือการลงทุน เราต้องยอมเสียในตอนแรก และแน่นอนจะได้คืนตอนหลัง และเมื่อประเทศรวย คนในประเทศก็จะรวยตาม ปัญหาทางสังคม ทางการเมือง ก็จะดีขึ้นด้วย รอดพ้นจากความยากจน คนรวยเพิ่มขึ้น คนระดับกลางเพิ่มขึ้น คนจนลดลง ทั้งนี้ ผมก็อยากจะฝากไปยังรัฐบาลชุดนี้ด้วย ถ้าประเทศใดธุรกิจเอสเอ็มอีไม่เติบโต ประเทศก็ไม่มีวันรวย ประชาชนก็ไม่มีวันรวยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้ประเทศโตขึ้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลง" ประธานเครือซีพี ระบุ
นอกจากนี้ แม้การเมืองยังไม่นิ่ง แต่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้ดี และจากการศึกษาข้อมูลเห็นว่า ไม่มียุคไหนที่ไทยจะมีโอกาสดีและน่าลงทุนที่สุดในเวลานี้แล้ว ซึ่งจากที่ได้พบนักธุรกิจจีน ญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ต้องการเข้ามาลงทุนในไทย เพราะได้สิทธิ์ประโยชน์ทางภาษี และไทยมีความพร้อมมากกว่าประเทศอาเซียนอื่นๆหลายด้าน
