1. เรื่องระหว่างหลักการกับบุคคล การปะทะกันทางความคิดใน 2 ประเด็น ระหว่าง “รัฐธรรมนูญไม่ดี เสนอยกร่างใหม่” กับ “ของเดิมดีอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่คน”การติดยึดติดข้างใดข้างหนึ่งเป็นความเห็นสุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง แต่ขอให้พิจารณาด้วยทางสายกลาง คือพิจารณาไปตามเหตุปัจจัยตามกฎอิทัปปัจจยตา เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี หรือเมื่อสิ่งนี้เป็นเหตุ สิ่งนี้เป็นผล หรือ เมื่อระบอบมิจฉาทิฐิ (เพราะไม่มีหลักการปกครอง) ก็จะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลมิจฉาทิฐิ จะเป็นปัจจัยให้แผ่กระจายความมิจฉาทิฐิ ความไม่ถูกต้องออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมด
ในทางตรงกันข้ามเมื่อระบอบการเมืองเป็นสัมมาทิฐิเพราะมีหลักธรรมการปกครอง) ก็จะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลมีความชอบธรรม จะเป็นปัจจัยให้แผ่กระจายความถูกต้องดีงาม ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในประเทศ
พระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจธรรมอันลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมพ้นทุกข์ จะเห็นได้ว่าก่อนจะบวชเป็นภิกษุล้วนเป็นผู้มีความทุกข์และเห็นผิดมาก่อน แต่เมื่อได้รับฟังคำสั่งสอนก็เปลี่ยนมาเป็นความเห็นถูก รู้แจ้งสัจธรรม เพราะอาศัยหลักการที่ดีนั่นเอง
อุปมา เมื่อคลองคดเคี้ยว น้ำย่อมคดตาม คลองก็คือระบอบฯ น้ำก็คือรัฐบาล จะเห็นได้ว่า เมื่อรัฐบาลฯนี้ เข้าบริหารประเทศใหม่ๆ ประชาชนต่างก็ชื่นชม แต่เมื่อบริหารประเทศผ่านไป 1 ปี ปรากฏว่า รัฐบาลฯนี้ ได้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้เขียนได้เคยเตือนผู้นำรัฐบาลนี้ไว้มากแล้ว แต่รัฐบาลไม่เคยฉุกคิด ผู้เขียนเองไม่มีส่วนได้เสียทางการเมือง คิดและเขียนอย่างมีภารกิจมุ่งขจัดมิจฉาทิฐิ เพื่อให้เกิดความมั่นคงของชาติและความผาสุกของปวงชนในชาติ
2. เรื่องระหว่างรัฐประหารกับการปฏิวัติ สองคำนี้มีจินตภาพที่แตกต่างกันมากและตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงรัฐประหารเป็นการกระทำที่เป็นไปในทางลบ กระทำการโดยปิดลับสุดๆ และจะเกิดขึ้นในระบอบการเมืองที่เป็นเผด็จการต่อประชาชนเท่านั้น แนวทางรัฐประหารไม่สามารถจะแก้ปัญหาประเทศชาติได้ ทั้งจะเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น และขอให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติทางการเมืองแม้แต่ครั้งเดียว นับตั้งแต่ พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา มีแต่รัฐประหารเท่านั้น แต่หนังสือพิมพ์ และผู้สื่อข่าว บางส่วนหรือนักการเมือง มักจะพูดและเขียนว่า “ปฏิวัติรัฐประหาร” ซึ่งเป็นการพูดและเขียนไม่ถูกต้องตามหลักวิชารัฐศาสตร์จึงควรแก้ไขจะได้ไม่อายเขา และพบว่า“รัฐประหารเกิดขึ้น จากเงื่อนไขต่ำทรามของระบอบเผด็จการรูปแบบต่างๆ และนักการเมืองปล้นชาติ” และจะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยและธรรมาธิปไตยอย่างเด็ดขาด
ส่วนคำว่า “ปฏิวัติ” เป็นจินตภาพ(concept)ที่เป็นไปในทางดี กระทำการโดยเปิดเผยเป็นไปในทางก้าวหน้า เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆ การปฏิวัติทางการเมืองสร้างระบอบประชาธิปไตย เช่น ใน ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส มาเลเซีย และการปฏิวัติสังคมนิยม เช่น สหภาพโซเวียต รัสเซีย จีน เวียดนาม ลาว เป็นต้น
ต่อไปจะได้อธิบายกระบวนการวิวัฒนาการทั้งทางนามธรรมและรูปธรรมมี2 ลักษณะ คือ
1) แบบค่อยเป็นค่อยไป (evolution)
2) แบบก้าวกระโดด (leap or revolution)
มีข้อสังเกตว่า การจะทำให้วัตถุบริสุทธิ์ด้วยน้ำมือของมนุษย์นั้น จะต้องทำให้เดือด หรือถึงจุดหลอมเหลว หรือทำให้ขัดแย้งอย่างถึงที่สุดเสียก่อน จึงจะทำการเปลี่ยนแปลง ดัดแปลงได้ตามที่ต้องการ(มาร์กซ์ (Marx) เจ้าลัทธิคอมมิวนิสต์, เลนิน ผู้นำการปฏิวัติคอมมิวนิสต์โซเวียตรัสเซีย, เหมา เจ๋อตุง ผู้นำการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนแดง ได้นำไปประยุกต์เป็นทฤษฏีปฏิวัติแนวทางรุนแรงด้วยกำลังอาวุธ โค่นล้มทำลายสถาบันองค์ประกอบแห่งรัฐและนายทุน แล้วสถาปนารัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ขึ้นแทน)
แต่ในทางนามธรรมหรือทางจิต จะทำให้บริสุทธิ์ได้นั้น จะต้องกลั่นจิตให้สงบ และไม่ให้ติดยึดในสังขารทั้งปวง (ข้อนี้ เป็นแนวทางการปฏิวัติสังคมแนวทางสันติ เช่น พระพุทธเจ้า, พระเจ้าอโศกมหาราชภายหลังมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว, มหาตมะคานธี ผู้นำยุคใหม่ของอินเดีย, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของยุคสมัยนั่นๆ)
ประเทศไทยยังไม่เคยผ่านการปฏิวัติแม้เพียงครั้งเดียวเพื่อแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ สักวันหนึ่งก็จะต้องปฏิวัติอย่างแน่นอน แต่จะปฏิวัติด้วยแนวทางลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ้งได้ทำแนวร่วมกับรัฐบาลในขณะนี้ หรือเป็นแนวทางธรรมาธิปไตยอันเป็นแนวทางของพระพุทธเจ้าและของชาวพุทธทุกคน
ทั้งนี้ จะเป็นแนวทางวัตถุรุนแรงหรือจะเลือกแนวทางสันติด้วยธรรมาธิปไตยอันเป็นชัยชนะของทุกคนและเพื่อสันติภาพโลก ก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของผู้นำและประชาชน
3. เรื่องการสร้างระบอบการเมือง ขอย้ำว่าผู้ปกครองไทย 18 รุ่น ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นการจัดความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง เอาหางมาเป็นหัว ส่วนหัวไม่มี หัวหายไป คือยังไม่ได้มีระบอบฯ หรือหลักการปกครอง เมื่อไม่มีหลักการปกครอง เป็นบทตั้งหรือเป็นบททั่วไปอันเป็นหลักประกันของปวงชนในแผ่นดิน ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีแต่ด้านวิธีการปกครองเพียงด้านเดียว จึงเป็นรัฐธรรมนูญระบอบเผด็จการ และเมื่อมาใช้กับรูปการปกครองคือระบบรัฐสภาจึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” นี่คือเหตุแห่งความพินาศของแผ่นดิน
การจัดความสัมพันธ์อย่างถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร?
1) เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า
เราชาวไทยส่วนใหญ่ (94.75%) นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ที่ตราตรึงประทับอยู่ในใจของชาวไทยพุทธทั้งปวงเราควรพิจารณาวิธีการขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้ง เช่น กฎอิทัปปัจจยตา, กฎปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจ4ได้รู้แจ้งโลกและพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงคือตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองและทรงบัญญัติและสอนอริยสัจ4, มรรคมีองค์8, โพธิปักขิยธรรม37เป็นต้น
จนกระทั่งมีพระอรหันตสาวกมากถึง1,250 องค์ก็ยังไม่มีพระวินัยใดๆเลย สักข้อหนึ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ตรัสสอนหลักธรรมก่อนหรือหลักการก่อน (ระบอบ) ต่อมาเมื่อสาวกมากขึ้นจึงค่อยๆบัญญัติพระวินัย (ธรรมนูญ) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามข้อเท็จจริงที่สาวกได้ปฏิบัติอันไม่สมควรแก่สมณสารูป
ร่วมกันสมมติว่าถ้าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยก่อนพระพุทธศาสนาก็คงไม่ได้เกิดขึ้นมาในโลกเป็นแน่แท้พึงใคร่ครวญพิจารณากันดูเถิด ท่านนักการเมืองและนักวิชาการทั้งหลายก็เหมือนกับที่ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้คล้อยตามเอาแบบอย่างมิจฉาทิฐิตามๆกันมาอย่างโง่ๆด้วยการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่กลับได้ระบอบเผด็จการทุกครั้งไปและเมื่อพวกเขาคิดจะพัฒนาระบอบประชาธิปไตยทั้งๆที่ความเป็นจริงระบอบประชาธิปไตยยังไม่ได้เกิดขึ้นจึงเป็นการกระชับระบอบเผด็จการให้มากขึ้นๆประชาชนก็เดือดร้อนมากขึ้นๆ จนลงๆ มากขึ้นนั่นเอง
สรุป ในเบื้องต้นควรกำหนดหลักการปกครอง หรือจุดมุ่งหมายขึ้นมาก่อน อุปมาว่า เราจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายขึ้นมาก่อน สมมติว่า จุดมุ่งหมายคือ กรุงเทพฯ ส่วนวิธีการที่จะไปให้ถึงกรุงเทพฯ เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน หรือจะไปทางน้ำ จะไปด้วยวิธีไหนๆ ไปถึงกรุงเทพฯ ได้ ตามกำลังความสามารถของแต่ละบุคคล จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ โดยไม่มีหลักการปกครอง มีแต่วิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) หมายความว่า จะไปด้วยวิธีการใดๆ ก็ไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ส่วนผู้ปกครองอาจจะไปด้วยเครื่องบิน แล้วบินไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่รู้ว่าไปลงที่ไหน น้ำมันหมดถัง ก็โหม่งโลกทุกทีไป
2) แบบอย่างจากต่างประเทศพอจะเป็นแบบอย่างเพื่อการศึกษา
- ประเทศสหรัฐอเมริกาสร้างระบอบประชาธิปไตยใช้รูปการปกครองระบบประธานาธิบดีซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยใช้เวลาสร้างระบอบประมาณ14ปีจึงได้ร่างรัฐธรรมนูญเฟสเดอรัลสเตท (Federal state) เป็นผลสำเร็จ (ค.ศ. 1776-1789)
- ประเทศมาเลเซีย ผู้นำและประชาชนร่วมกันปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติและได้เอกราชจากประเทศอังกฤษปีพ. ศ. 2497การสร้างระบอบประชาธิปไตยแบบมาเลเซียใช้เวลาถึง8-9ปีได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปีพ. ศ. 2506ประเทศก็ราบรื่นก้าวหน้ามาตลอดตามลำดับกระทั่งก้าวหน้ากว่าประเทศไทยอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งที่เป็นประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเพราะเขาสร้างระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้องและสำเร็จ นั่นเอง และมีข้อสังเกตว่า นับแต่ พ. ศ. 2506 เป็นต้นมา 49 ปีแล้ว ประเทศมาเลเซียไม่เคยมีรัฐประหาร เกิดขึ้นเลย (ดูซะ ไอ้พวกอยากร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย โง่แสบสัน)
- ประเทศลาวพรรคคอมมิวนิสต์ลาวได้รับชัยชนะในสงครามปฏิวัติในปีพ.ศ.2818 พรรคคอมมิวนิสต์ลาวได้สร้างระบอบการเมืองสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบลาวขึ้นและได้กำหนดระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบลาวใช้เวลาถึง16ปีได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ในปีพ. ศ. 2534มีข้อสังเกตว่า จนถึงปัจจุบันประเทศลาวยังไม่เคยมีรัฐประหาร เกิดขึ้นเลย
ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าลอกเลียนแบบตะวันตก แต่ลอกเอาเฉพาะวิธีการอันเป็นเปลือกนอกคือ หมวดและมาตรา อันที่จริงระบอบหรือหลักการปกครองก็คือจุดมุ่งหมายหรือยุทธศาสตร์ ส่วนวิธีการก็คือหนทาง (มรรคา) หรือยุทธวิธี
แต่เมื่อมีแต่ด้านวิธีการ ก็เท่ากับว่า เรามีแต่หนทางหรือทางที่จะไป และไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย จึงเป็นรัฐธรรมนูญไร้ทิศทางผิดไปจากวิถีธรรมโดยสิ้นเชิง เมื่อนำมาใช้ปกครอง บริหารประเทศ จึงไร้ทิศทาง รัฐบาลไปทางหนึ่ง ประชาชน 64 ล้านคนก็ 64 ล้านจุดมุ่งหมายสับสน ลักษณะอย่างนี้ รู้ได้ชัดว่าระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ ใครขึ้นมาบริหารประเทศก็จะไปไม่รอดอย่างแน่นอนผิดซากเช่นเดิม
“เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็ไม่มีหนทาง เมื่อไม่มีหนทาง ก็ไม่มีความก้าวหน้า อุปมา พายเรือในอ่างน้ำ”รัฐบาล ปูเสฉวน ก็ได้แต่กู้ กู้ และก็กู้มาบริหารประเทศ
นักวิชาการบางคนเป็นผู้ค้ำระบอบปัจจุบัน ทั้งที่ระบอบปัจจุบันนี้ เป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา คือเหตุแห่งการทำลายความมั่นคงของชาติ ให้ค่อยๆ ทรุดลงๆ ดุจปลวกกินบ้าน กว่าจะรู้ตัวก็ปล้นชาติไปเท่าไรแล้ว
“ธรรมาธิปไตย หลักรัฐศาสตร์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของไทยและโลกในอนาคต”พึงพิจารณาเถิด
ในทางตรงกันข้ามเมื่อระบอบการเมืองเป็นสัมมาทิฐิเพราะมีหลักธรรมการปกครอง) ก็จะเป็นปัจจัยให้รัฐบาลมีความชอบธรรม จะเป็นปัจจัยให้แผ่กระจายความถูกต้องดีงาม ออกไปสู่ส่วนที่สัมพันธ์เกี่ยวพันกันทั้งหมดในประเทศ
พระพุทธเจ้าทรงประกาศสัจธรรมอันลึกซึ้ง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมพ้นทุกข์ จะเห็นได้ว่าก่อนจะบวชเป็นภิกษุล้วนเป็นผู้มีความทุกข์และเห็นผิดมาก่อน แต่เมื่อได้รับฟังคำสั่งสอนก็เปลี่ยนมาเป็นความเห็นถูก รู้แจ้งสัจธรรม เพราะอาศัยหลักการที่ดีนั่นเอง
อุปมา เมื่อคลองคดเคี้ยว น้ำย่อมคดตาม คลองก็คือระบอบฯ น้ำก็คือรัฐบาล จะเห็นได้ว่า เมื่อรัฐบาลฯนี้ เข้าบริหารประเทศใหม่ๆ ประชาชนต่างก็ชื่นชม แต่เมื่อบริหารประเทศผ่านไป 1 ปี ปรากฏว่า รัฐบาลฯนี้ ได้เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้เขียนได้เคยเตือนผู้นำรัฐบาลนี้ไว้มากแล้ว แต่รัฐบาลไม่เคยฉุกคิด ผู้เขียนเองไม่มีส่วนได้เสียทางการเมือง คิดและเขียนอย่างมีภารกิจมุ่งขจัดมิจฉาทิฐิ เพื่อให้เกิดความมั่นคงของชาติและความผาสุกของปวงชนในชาติ
2. เรื่องระหว่างรัฐประหารกับการปฏิวัติ สองคำนี้มีจินตภาพที่แตกต่างกันมากและตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิงรัฐประหารเป็นการกระทำที่เป็นไปในทางลบ กระทำการโดยปิดลับสุดๆ และจะเกิดขึ้นในระบอบการเมืองที่เป็นเผด็จการต่อประชาชนเท่านั้น แนวทางรัฐประหารไม่สามารถจะแก้ปัญหาประเทศชาติได้ ทั้งจะเพิ่มปัญหาให้มากขึ้น และขอให้เข้าใจอย่างถูกต้องว่าประเทศไทยไม่เคยมีการปฏิวัติทางการเมืองแม้แต่ครั้งเดียว นับตั้งแต่ พ. ศ. 2475 เป็นต้นมา มีแต่รัฐประหารเท่านั้น แต่หนังสือพิมพ์ และผู้สื่อข่าว บางส่วนหรือนักการเมือง มักจะพูดและเขียนว่า “ปฏิวัติรัฐประหาร” ซึ่งเป็นการพูดและเขียนไม่ถูกต้องตามหลักวิชารัฐศาสตร์จึงควรแก้ไขจะได้ไม่อายเขา และพบว่า“รัฐประหารเกิดขึ้น จากเงื่อนไขต่ำทรามของระบอบเผด็จการรูปแบบต่างๆ และนักการเมืองปล้นชาติ” และจะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่มีระบอบประชาธิปไตยและธรรมาธิปไตยอย่างเด็ดขาด
ส่วนคำว่า “ปฏิวัติ” เป็นจินตภาพ(concept)ที่เป็นไปในทางดี กระทำการโดยเปิดเผยเป็นไปในทางก้าวหน้า เช่น การปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆ การปฏิวัติทางการเมืองสร้างระบอบประชาธิปไตย เช่น ใน ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส มาเลเซีย และการปฏิวัติสังคมนิยม เช่น สหภาพโซเวียต รัสเซีย จีน เวียดนาม ลาว เป็นต้น
ต่อไปจะได้อธิบายกระบวนการวิวัฒนาการทั้งทางนามธรรมและรูปธรรมมี2 ลักษณะ คือ
1) แบบค่อยเป็นค่อยไป (evolution)
2) แบบก้าวกระโดด (leap or revolution)
มีข้อสังเกตว่า การจะทำให้วัตถุบริสุทธิ์ด้วยน้ำมือของมนุษย์นั้น จะต้องทำให้เดือด หรือถึงจุดหลอมเหลว หรือทำให้ขัดแย้งอย่างถึงที่สุดเสียก่อน จึงจะทำการเปลี่ยนแปลง ดัดแปลงได้ตามที่ต้องการ(มาร์กซ์ (Marx) เจ้าลัทธิคอมมิวนิสต์, เลนิน ผู้นำการปฏิวัติคอมมิวนิสต์โซเวียตรัสเซีย, เหมา เจ๋อตุง ผู้นำการปฏิวัติคอมมิวนิสต์จีนแดง ได้นำไปประยุกต์เป็นทฤษฏีปฏิวัติแนวทางรุนแรงด้วยกำลังอาวุธ โค่นล้มทำลายสถาบันองค์ประกอบแห่งรัฐและนายทุน แล้วสถาปนารัฐสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ขึ้นแทน)
แต่ในทางนามธรรมหรือทางจิต จะทำให้บริสุทธิ์ได้นั้น จะต้องกลั่นจิตให้สงบ และไม่ให้ติดยึดในสังขารทั้งปวง (ข้อนี้ เป็นแนวทางการปฏิวัติสังคมแนวทางสันติ เช่น พระพุทธเจ้า, พระเจ้าอโศกมหาราชภายหลังมานับถือพระพุทธศาสนาแล้ว, มหาตมะคานธี ผู้นำยุคใหม่ของอินเดีย, พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของยุคสมัยนั่นๆ)
ประเทศไทยยังไม่เคยผ่านการปฏิวัติแม้เพียงครั้งเดียวเพื่อแก้ปัญหาเหตุวิกฤตชาติ สักวันหนึ่งก็จะต้องปฏิวัติอย่างแน่นอน แต่จะปฏิวัติด้วยแนวทางลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ้งได้ทำแนวร่วมกับรัฐบาลในขณะนี้ หรือเป็นแนวทางธรรมาธิปไตยอันเป็นแนวทางของพระพุทธเจ้าและของชาวพุทธทุกคน
ทั้งนี้ จะเป็นแนวทางวัตถุรุนแรงหรือจะเลือกแนวทางสันติด้วยธรรมาธิปไตยอันเป็นชัยชนะของทุกคนและเพื่อสันติภาพโลก ก็ขึ้นอยู่กับภูมิปัญญาของผู้นำและประชาชน
3. เรื่องการสร้างระบอบการเมือง ขอย้ำว่าผู้ปกครองไทย 18 รุ่น ได้ยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตยนั้น เป็นการจัดความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง เอาหางมาเป็นหัว ส่วนหัวไม่มี หัวหายไป คือยังไม่ได้มีระบอบฯ หรือหลักการปกครอง เมื่อไม่มีหลักการปกครอง เป็นบทตั้งหรือเป็นบททั่วไปอันเป็นหลักประกันของปวงชนในแผ่นดิน ก็จะเป็นรัฐธรรมนูญที่มีแต่ด้านวิธีการปกครองเพียงด้านเดียว จึงเป็นรัฐธรรมนูญระบอบเผด็จการ และเมื่อมาใช้กับรูปการปกครองคือระบบรัฐสภาจึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา” นี่คือเหตุแห่งความพินาศของแผ่นดิน
การจัดความสัมพันธ์อย่างถูกต้องควรจะเป็นอย่างไร?
1) เจริญรอยตามพระพุทธเจ้า
เราชาวไทยส่วนใหญ่ (94.75%) นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ที่ตราตรึงประทับอยู่ในใจของชาวไทยพุทธทั้งปวงเราควรพิจารณาวิธีการขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระพุทธองค์ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้ง เช่น กฎอิทัปปัจจยตา, กฎปฏิจจสมุปบาท และอริยสัจ4ได้รู้แจ้งโลกและพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงคือตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองและทรงบัญญัติและสอนอริยสัจ4, มรรคมีองค์8, โพธิปักขิยธรรม37เป็นต้น
จนกระทั่งมีพระอรหันตสาวกมากถึง1,250 องค์ก็ยังไม่มีพระวินัยใดๆเลย สักข้อหนึ่งแสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ตรัสสอนหลักธรรมก่อนหรือหลักการก่อน (ระบอบ) ต่อมาเมื่อสาวกมากขึ้นจึงค่อยๆบัญญัติพระวินัย (ธรรมนูญ) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามข้อเท็จจริงที่สาวกได้ปฏิบัติอันไม่สมควรแก่สมณสารูป
ร่วมกันสมมติว่าถ้าพระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระวินัยก่อนพระพุทธศาสนาก็คงไม่ได้เกิดขึ้นมาในโลกเป็นแน่แท้พึงใคร่ครวญพิจารณากันดูเถิด ท่านนักการเมืองและนักวิชาการทั้งหลายก็เหมือนกับที่ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้คล้อยตามเอาแบบอย่างมิจฉาทิฐิตามๆกันมาอย่างโง่ๆด้วยการยกร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจะสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่กลับได้ระบอบเผด็จการทุกครั้งไปและเมื่อพวกเขาคิดจะพัฒนาระบอบประชาธิปไตยทั้งๆที่ความเป็นจริงระบอบประชาธิปไตยยังไม่ได้เกิดขึ้นจึงเป็นการกระชับระบอบเผด็จการให้มากขึ้นๆประชาชนก็เดือดร้อนมากขึ้นๆ จนลงๆ มากขึ้นนั่นเอง
สรุป ในเบื้องต้นควรกำหนดหลักการปกครอง หรือจุดมุ่งหมายขึ้นมาก่อน อุปมาว่า เราจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายขึ้นมาก่อน สมมติว่า จุดมุ่งหมายคือ กรุงเทพฯ ส่วนวิธีการที่จะไปให้ถึงกรุงเทพฯ เช่น เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ รถไฟ เครื่องบิน หรือจะไปทางน้ำ จะไปด้วยวิธีไหนๆ ไปถึงกรุงเทพฯ ได้ ตามกำลังความสามารถของแต่ละบุคคล จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
ส่วนการร่างรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ โดยไม่มีหลักการปกครอง มีแต่วิธีการปกครอง (กฎหมายรัฐธรรมนูญ) หมายความว่า จะไปด้วยวิธีการใดๆ ก็ไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ส่วนผู้ปกครองอาจจะไปด้วยเครื่องบิน แล้วบินไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย ไม่รู้ว่าไปลงที่ไหน น้ำมันหมดถัง ก็โหม่งโลกทุกทีไป
2) แบบอย่างจากต่างประเทศพอจะเป็นแบบอย่างเพื่อการศึกษา
- ประเทศสหรัฐอเมริกาสร้างระบอบประชาธิปไตยใช้รูปการปกครองระบบประธานาธิบดีซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชโดยใช้เวลาสร้างระบอบประมาณ14ปีจึงได้ร่างรัฐธรรมนูญเฟสเดอรัลสเตท (Federal state) เป็นผลสำเร็จ (ค.ศ. 1776-1789)
- ประเทศมาเลเซีย ผู้นำและประชาชนร่วมกันปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติและได้เอกราชจากประเทศอังกฤษปีพ. ศ. 2497การสร้างระบอบประชาธิปไตยแบบมาเลเซียใช้เวลาถึง8-9ปีได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญปีพ. ศ. 2506ประเทศก็ราบรื่นก้าวหน้ามาตลอดตามลำดับกระทั่งก้าวหน้ากว่าประเทศไทยอย่างไม่น่าเป็นไปได้ ทั้งที่เป็นประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเพราะเขาสร้างระบอบประชาธิปไตยอย่างถูกต้องและสำเร็จ นั่นเอง และมีข้อสังเกตว่า นับแต่ พ. ศ. 2506 เป็นต้นมา 49 ปีแล้ว ประเทศมาเลเซียไม่เคยมีรัฐประหาร เกิดขึ้นเลย (ดูซะ ไอ้พวกอยากร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย โง่แสบสัน)
- ประเทศลาวพรรคคอมมิวนิสต์ลาวได้รับชัยชนะในสงครามปฏิวัติในปีพ.ศ.2818 พรรคคอมมิวนิสต์ลาวได้สร้างระบอบการเมืองสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบลาวขึ้นและได้กำหนดระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมคอมมิวนิสต์แบบลาวใช้เวลาถึง16ปีได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ในปีพ. ศ. 2534มีข้อสังเกตว่า จนถึงปัจจุบันประเทศลาวยังไม่เคยมีรัฐประหาร เกิดขึ้นเลย
ผู้ปกครองไทยรุ่นแล้วรุ่นเล่าลอกเลียนแบบตะวันตก แต่ลอกเอาเฉพาะวิธีการอันเป็นเปลือกนอกคือ หมวดและมาตรา อันที่จริงระบอบหรือหลักการปกครองก็คือจุดมุ่งหมายหรือยุทธศาสตร์ ส่วนวิธีการก็คือหนทาง (มรรคา) หรือยุทธวิธี
แต่เมื่อมีแต่ด้านวิธีการ ก็เท่ากับว่า เรามีแต่หนทางหรือทางที่จะไป และไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย จึงเป็นรัฐธรรมนูญไร้ทิศทางผิดไปจากวิถีธรรมโดยสิ้นเชิง เมื่อนำมาใช้ปกครอง บริหารประเทศ จึงไร้ทิศทาง รัฐบาลไปทางหนึ่ง ประชาชน 64 ล้านคนก็ 64 ล้านจุดมุ่งหมายสับสน ลักษณะอย่างนี้ รู้ได้ชัดว่าระบอบการเมืองที่เป็นอยู่ ใครขึ้นมาบริหารประเทศก็จะไปไม่รอดอย่างแน่นอนผิดซากเช่นเดิม
“เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็ไม่มีหนทาง เมื่อไม่มีหนทาง ก็ไม่มีความก้าวหน้า อุปมา พายเรือในอ่างน้ำ”รัฐบาล ปูเสฉวน ก็ได้แต่กู้ กู้ และก็กู้มาบริหารประเทศ
นักวิชาการบางคนเป็นผู้ค้ำระบอบปัจจุบัน ทั้งที่ระบอบปัจจุบันนี้ เป็นระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภา คือเหตุแห่งการทำลายความมั่นคงของชาติ ให้ค่อยๆ ทรุดลงๆ ดุจปลวกกินบ้าน กว่าจะรู้ตัวก็ปล้นชาติไปเท่าไรแล้ว
“ธรรมาธิปไตย หลักรัฐศาสตร์ใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของไทยและโลกในอนาคต”พึงพิจารณาเถิด