xs
xsm
sm
md
lg

อาถรรพ์ของสอง 7

เผยแพร่:   โดย: ไสว บุญมา

หนังสือเรื่อง “ประชานิยม : ทางสู่ความหายนะ” เสนอว่าประชานิยมมีทั้งด้านดีและด้านชั่วร้าย เนื่องจากรัฐบาลไทยนำด้านชั่วร้ายมาใช้ตั้งแต่ในสมัยนักโทษชายหนีคุกเป็นนายกรัฐมนตรีอันเป็นในแนวที่รัฐบาลของอาร์เจนตินาและเวเนซุเอลาเคยทำมาก่อนอย่างเข้มข้นจนถึงกับพาประเทศไปสู่ความล้มละลายและล้มลุกคลุกคลาน หนังสือเล่มนั้นจึงนำเรื่องราวของประเทศทั้งสองมาเล่าและเปรียบเทียบประวัติศาสตร์ของเขากับของไทยไว้ด้วย การเปรียบเทียบนั้นพบตัวเลข 77 เป็นที่น่าสังเกตกว่าตัวอื่น ขอนำมาเล่าสำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสอ่านหนังสือดังกล่าว

ย้อนไปในสมัยต้นๆ ของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ประเทศยุโรปซึ่งเป็นหัวจักรใหญ่ในการปฏิวัตินั้นต่างพากันแสวงหาทรัพยากรไปป้อนโรงงานอุตสาหกรรมของตน กระบวนการแสวงหานั้นมีทั้งการล่าอาณานิคมและการเปิดช่องทางค้าขายแทรกด้วยการเผยแพร่วัฒนธรรมและแนวคิด อาร์เจนตินาค้าขายกับประเทศในยุโรปอย่างค่อนข้างเสรีพร้อมกับรับแนวคิดทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยไปใช้อย่างเต็มที่ด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2396 อาร์เจนตินาจึงประกาศใช้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยในรูปสาธารณรัฐตามแนวของสหรัฐอเมริกาทุกอย่างยกเว้นเพียง 2 ข้อเท่านั้น นั่นคือ ห้ามอาร์เจนตินามีทาสและบัญญัติให้ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติ

ทั้งที่มีรัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยเต็มรูปแบบ แต่การใช้แทบไม่เป็นไปตามอุดมการณ์ของกระบวนการประชาธิปไตย ย้อนไปในสมัยนั้น อาร์เจนตินาเป็นมหาอำนาจทางเกษตรกรรมที่ส่งออกผลผลิตจากพืชและสัตว์จำนวนมากเนื่องจากประเทศมีที่ราบกว้างใหญ่ไพศาลเหมาะแก่การทำไร่และเลี้ยงสัตว์ ผู้มีบทบาทสำคัญในการผลิตสินค้าดังกล่าวได้แก่เศรษฐีที่ดิน คนพวกนี้พยายามทุกวิถีทางที่จะกุมอำนาจทางการเมืองไว้เพื่อใช้สร้างผลประโยชน์ของพวกตนซึ่งเป็นคนเพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น พวกเขาใช้วิชามารต่างๆ รวมทั้งการโกงการเลือกตั้งและการทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ตำแหน่งประธานาธิบดีจึงตกอยู่ในมือของคนกลุ่มเล็กๆ นี้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถึงการเลือกตั้งปี 2459

ในการเลือกตั้งครั้งนั้น มีนักการเมืองหัวปราดเปรื่องชื่อ ฮิโปลิโต อิริโกเยน เข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี นักการเมืองคนนี้เข้าใจดีว่าถ้าเขาจะเอาชนะพวกเศรษฐีที่ดิน เขาจะต้องได้คะแนนจำนวนมากจากผู้มีรายได้ต่ำซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ในอาร์เจนตินา การจะทำเช่นนั้นได้เขาจะต้องใช้นโยบายประชานิยม เขาจึงให้คำมั่นสัญญาว่าจะทำให้คนเหล่านั้นมั่งมีและอยู่ดีกินดีขึ้นโดยรัฐบาลของเขาจะแจกของเปล่าจำนวนมากให้ ปรากฏว่าชาวอาร์เจนตินาส่วนใหญ่เทคะแนนให้เขาจริงๆ พอได้เป็นประธานาธิบดี เขาก็เริ่มใช้นโยบายที่เขาให้สัญญาไว้ แต่ในเวลาเพียงไม่นาน นโยบายแนวนั้นก็ได้รับการลอกเลียนโดยนักการเมืองอื่น

ฉะนั้น ผู้ต้องการจะชนะการเลือกตั้งจะต้องเสนอนโยบายที่ให้ของเปล่ามากขึ้น หรือไม่ก็ต้องใช้วิชามารต่างๆ รวมทั้งการโกงการเลือกตั้งอย่างโจ่งแจ้งด้วย นักการเมืองอาร์เจนตินาใช้ทั้งสองอย่างพร้อมกัน ฉะนั้น การเลือกตั้งในปี 2471 จึงไม่มีวี่แววของการเป็นประชาธิปไตยหลงเหลืออยู่อีก ผลพวงที่ตามมาได้แก่ความแตกแยกในสังคมซึ่งร้ายแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนฝ่ายทหารทนดูนักการเมืองทำปู้ยี่ปู้ยำต่อไปไม่ไหวจึงยึดอำนาจและโยนรัฐธรรมนูญทิ้งไปในปี 2473 หรือ 77 ปีหลังจากวันที่เริ่มประกาศใช้ จากนั้นมา อาร์เจนตินาก็พัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

ชาวยุโรปเข้ามาในเมืองไทยในสมัยต้นของการปฏิวัติอุตสาหกรรมเพื่อขยายฐานทางด้านเศรษฐกิจและแนวคิดต่างๆ เช่นเดียวกับที่เข้าไปในส่วนอื่นของโลก ผลของการเข้ามาในช่วงนั้นนำไปสู่การเปิดประเทศไทยโดยการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษเมื่อปี 2398 อันเป็นวันเปิดศักราชใหม่ที่ชาวไทยเรียนรู้อะไรต่อมิอะไรจำนวนมากจากฝั่งรวมทั้งแนวคิดทางการเมืองด้วย

ในช่วงนั้น ไทยใช้การบริหารบ้านเมืองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นำโดยพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ที่ทรงมีความปรีชาสามารถสูง ไทยจึงไม่เสียเอกาช แต่ละพระองค์ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะเร่งรัดพัฒนาประเทศให้เจริญทัดเทียมกับฝรั่ง รวมทั้งการส่งคนไทยไปศึกษาหาความรู้กับฝรั่งเพื่อหวังจะให้กลับมาช่วยกันพัฒนาประเทศด้วย แต่แทนที่จะใช้ความรู้ที่เรียนมาช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองตามพระราชประสงค์ คนพวกนั้นกลับใช้กำลังยึดอำนาจจากพระองค์เมื่อปี 2475 หรือ 77 ปี หลังจากวันที่ไทยเปิดรับฝรั่งตามสนธิสัญญาเบาว์ริง

จากวันนั้นมา ย่อมเป็นที่ประจักษ์อย่างแจ้งชัดว่าเมืองไทยไม่แตกต่างกับอาร์เจนตินามากนักนอกจากการมีพระมหากษัตริย์ที่ทรงมีความปรีชาสามารถเป็นเลิศ พอมาถึงปี 2544 เมืองไทยก็ยิ่งคล้ายอาร์เจนตินาเพิ่มขึ้นอีก เมื่ออดีตนายกรัฐมนตรีหนีคุกนำนโยบายประชานิยมแบบชั่วร้ายคล้ายของอาร์เจนตินาเข้ามาใช้เพื่อมอมเมาคนไทยด้วยกัน ประชานิยมแบบชั่วร้ายนั้นเพิ่มความเข้มข้นขึ้นทุกวันพร้อมๆ กับสร้างความแตกแยกในสังคมไทยเพิ่มขึ้นไปด้วย อาร์เจนตินาล้มละลายหลายครั้ง พัฒนาแบบล้มลุกคลุกคลานและฆ่าแกงกันเป็นเบือเมื่อความแตกแยกเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นพูดกันไม่รู้เรื่อง ฉะนั้น จึงฟันธงได้ว่าอีกไม่ช้าเมืองไทยก็จะเป็นเช่นนั้นทุกประการด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น