**ทะเล่อทะร่า ไม่ดูตาม้าตาเรือสำหรับคิวของ “กรมสอบสวนคดีพิเศษ” หรือ ดีเอสไอ ที่เตรียมจะออกหมายเรียก “มือสไนเปอร์” ที่ปรากฏในคลิปวิดีโอ ว่า กำลังยิงใส่กลุ่มคนเสื้อแดงในวัดปทุมวนาราม เมื่อช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุม ที่สี่แยกราชประสงค์ เมื่อปี 2553 มาสืบสวนสอบสวน หวัง “ลากไส้”ไปถึงตัวบงการใหญ่
สมทบด้วยฉากบู๊จัดจ้านตามสไตล์ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ขู่ฟ่อ ล่อเป้าทันที งานนี้จะลากคอตัวบงการใหญ่ในครั้งนั้นอย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมตรี ในฐานะผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาเข้าคุก เข้าตาราง
เล่นพ่นลม คำรามเสียงแข็งผ่านจอผ่านกล้องกันเลย “เวลามีอำนาจอย่าบ้าอำนาจ ถ้าใครมีอำนาจแล้วบ้าอำนาจ เวลาหมดอำนาจ ก็เข้าคุก”
**สนุกปากกันทั้ง “เหลิม–ดีเอสไอ” แต่ที่มันเข็มขัดสั้น คาดไม่ถึงไปหน่อย ก็เพราะมันเลยเถิดไปกระแทก “ท็อปบู๊ท”เต็มๆ ชนิดไม่รู้ตัว
เพราะเจ้าคนที่ถูกหาว่าเป็น “มือสไนเปอร์” ส่องเสื้อแดง ก็พลพรรคเด็กในค่ายทหารทั้งนั้น
จากเรื่องเช็กบิลตามประสาฝ่ายค้าน–ฝ่ายรัฐบาล ที่ต้องรบรา ทำลายล้างกันทางการเมืองเป็นธรรมดา เลยเป็นเรื่องเป็นราวไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง “กองทัพ - รัฐบาล” เข้าแบบเซ่อๆ แม้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็เอาผิดเจ้าหน้าที่ หรือ “มือสไนเปอร์” ไม่ได้ เพราะหากเป็นจริงตามที่ไปกล่าวหา ก็มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เขียนไว้อย่างรัดกุมคุ้มครองการทำหน้าที่ไว้ทุกมุมอยู่แล้ว
แต่การมาจับ “ทหาร” แขวนประจานเป็น “จำเลยสังคม” กล่าวหาว่าหิ้วปืนไปยิง “คนเสื้อแดง” เป็นว่าเล่นนั่นแหละที่ “บิ๊กสีเขียว” เขารับไม่ได้
โดยเฉพาะปฏิกิริยาจากทางกองทัพที่ออกแอคชั่นทันทีที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมา และก็เป็นสัญญาณที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกนึกคิดของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ที่ส่งผ่านมายัง “พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเหนิด” โฆษกกองทัพบก โดยตรง
แต่ละถ้อยคำ แต่ละความหมายของกองทัพที่สื่อออกมาในครั้งนี้ แสดงถึงความไม่พอใจต่อท่าทีของรัฐบาลค่อนข้างชัดเจน
**และอยู่ในระดับจัดเต็มจัดหนักพอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นการเขย่าเรื่องการทำหน้าที่ของ “ดีเอสไอ” ที่นำข้อเท็จจริงในทางคดี ที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีในการพิสูจน์ความผิด หรือความบริสุทธิ์ในคดีอาญาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาพลักษณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องออกมาเปิดเผยก่อน
ซึ่งในที่นี้เข้าใจได้ไม่ยากว่า หมายถึงกองทัพที่กลุ่มคนเสื้อแดงมองเป็นปฏิปักษ์อยู่แล้ว ให้เสื่อมถอยลดลงไปอีก
“การให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว จะเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายในเรื่องการสอบสวนหรือไม่ ผู้บัญชาการทหารบก ท่านห่วงใยกำลังพล โดยเฉพาะเรื่องขวัญกำลังใจ เพราะพวกเขาทำตามหน้าที่และทำทุกอย่าง ตามกรอบกฎหมาย ที่สำคัญคือผู้ที่เกี่ยวข้องในฐานะพนักงานสอบสวนหน่วยงานของท่านก็อยู่ร่วมคณะใน ศอฉ.ด้วย และได้ร่วมกันตัดสินใจในการปฏิบัติด้วยกันทุกๆครั้ง จึงน่าจะรู้ว่า ศอฉ. ไม่ทำร้ายประชาชน และอยากจะเรียนถามไปถึงการสอบสวนคดีความต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่มีทหารบาดเจ็บ เสียชีวิต กองทัพบก ยังไม่เห็นว่าจะมีผู้รับผิดชอบออกมาพูดถึงความคืบหน้า ในคดีเหล่านี้เลย”
ตามจังหวะถ้อยแถลงของ “เสธ.ไก่อู” ถอดออกมาได้ชัดว่า จงใจล่อเป้าไปที่ ดีเอสไอ แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย มิหนำซ้ำยังเป็นการสะกิดใจ เหมือนจะส่งสัญญาณถึงใครบางคนที่กำลัง “เปลี่ยนสี” อยู่
กว่าจะรู้ตัวก็สาย พวกนกรู้อย่าง “กูรูเหลิม” ที่อ่านเกมออก ว่ารอบนี้ไม่ธรรมดา รีบจัดการส่งคนสนิท “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ วิ่งแจ้นข้ามฟากไปช่วยเคลียร์ใจให้ ในฐานะเพื่อนนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นเดียวกับ “บิ๊กตู่”
ตามนัยก็หวังจะอธิบายให้เข้าใจว่า เป้าหมายไม่ใช่กองทัพ แต่เป็นคู่หู “มาร์ค – เทือก” ที่รัฐบาลจะลากขึ้นโรงพักก็เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแผลนี้ ที่ “เฉลิม – ดีเอสไอ” ร่วมกันสร้างขึ้น จะไม่ได้สร้างความไม่พอใจให้กับกองทัพเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นคนกันเองอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่กะอักกะอ่วมไม่น้อยกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เพราะหากย้อนหลังดูตั้งแต่วันแรกที่ “รัฐบาลเพื่อไทย” เข้ามาบริหารประเทศ สิ่งหนึ่งที่ “ยิ่งลักษณ์” มักจะทำอยู่เสมอและเป็นประจำก็คือ ภารกิจการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ที่เดินเป็นเส้นขนานกันมาตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
บ่อยครั้งที่รัฐบาลพยายามจะซื้อใจกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการไม่แตะต้องโผโยกย้ายนายทหาร โดยให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แก่ผู้นำเหล่าทัพ การจัดสรรงบประมาณให้เหล่าทัพแบบฟูลออปชั่น การต่อสายตรงระหว่าง “นารีปู” กับ “บิ๊กตู่” ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบต่อเนื่อง หรือชวนกันไปอี๋อ๋อ ออกเดทตรวจน้ำตรวจทุ่ง ก็มีให้เห็นบ่อยไป
โดยเฉพาะเรื่องร้อนๆ ที่กองทัพต้องการ แต่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำหน้าที่หนุนหลังรัฐบาลไม่แฮปปี้ด้วย “นายกฯปู” ก็ยังยอมขัดใจพวกตัวเอง เพื่อมัดใจกองทัพมาแล้วไม่รู้ต่อกี่หน
รอยร้าวของ “กองทัพ - รัฐบาล” ที่ผู้นำรัฐบาลพยายามใช้ความหวานเป็นตัวประสาน กลับโดน “น้ำผึ้งหยดเดียว” กระเทือนซางทำเอาปริแตกแยกร้าวกันอีกรอบ แถมอาจทอดยาวเป็นรันเวย์ให้รถถังออกมาขับเล่น หากมีเรื่องขบเกลียวแรงๆกันอีกซักหนสองหน
**งานนี้เขย่าขวัญรัฐบาลสัญชาติแม้วอีกแล้ว
สมทบด้วยฉากบู๊จัดจ้านตามสไตล์ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ที่ขู่ฟ่อ ล่อเป้าทันที งานนี้จะลากคอตัวบงการใหญ่ในครั้งนั้นอย่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมตรี ในฐานะผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มาเข้าคุก เข้าตาราง
เล่นพ่นลม คำรามเสียงแข็งผ่านจอผ่านกล้องกันเลย “เวลามีอำนาจอย่าบ้าอำนาจ ถ้าใครมีอำนาจแล้วบ้าอำนาจ เวลาหมดอำนาจ ก็เข้าคุก”
**สนุกปากกันทั้ง “เหลิม–ดีเอสไอ” แต่ที่มันเข็มขัดสั้น คาดไม่ถึงไปหน่อย ก็เพราะมันเลยเถิดไปกระแทก “ท็อปบู๊ท”เต็มๆ ชนิดไม่รู้ตัว
เพราะเจ้าคนที่ถูกหาว่าเป็น “มือสไนเปอร์” ส่องเสื้อแดง ก็พลพรรคเด็กในค่ายทหารทั้งนั้น
จากเรื่องเช็กบิลตามประสาฝ่ายค้าน–ฝ่ายรัฐบาล ที่ต้องรบรา ทำลายล้างกันทางการเมืองเป็นธรรมดา เลยเป็นเรื่องเป็นราวไปกระทบความสัมพันธ์ระหว่าง “กองทัพ - รัฐบาล” เข้าแบบเซ่อๆ แม้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็เอาผิดเจ้าหน้าที่ หรือ “มือสไนเปอร์” ไม่ได้ เพราะหากเป็นจริงตามที่ไปกล่าวหา ก็มีพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เขียนไว้อย่างรัดกุมคุ้มครองการทำหน้าที่ไว้ทุกมุมอยู่แล้ว
แต่การมาจับ “ทหาร” แขวนประจานเป็น “จำเลยสังคม” กล่าวหาว่าหิ้วปืนไปยิง “คนเสื้อแดง” เป็นว่าเล่นนั่นแหละที่ “บิ๊กสีเขียว” เขารับไม่ได้
โดยเฉพาะปฏิกิริยาจากทางกองทัพที่ออกแอคชั่นทันทีที่มีข่าวเรื่องนี้ออกมา และก็เป็นสัญญาณที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากความรู้สึกนึกคิดของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ผู้บัญชาการทหารบก ที่ส่งผ่านมายัง “พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเหนิด” โฆษกกองทัพบก โดยตรง
แต่ละถ้อยคำ แต่ละความหมายของกองทัพที่สื่อออกมาในครั้งนี้ แสดงถึงความไม่พอใจต่อท่าทีของรัฐบาลค่อนข้างชัดเจน
**และอยู่ในระดับจัดเต็มจัดหนักพอสมควร
ไม่ว่าจะเป็นการเขย่าเรื่องการทำหน้าที่ของ “ดีเอสไอ” ที่นำข้อเท็จจริงในทางคดี ที่อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ และอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีในการพิสูจน์ความผิด หรือความบริสุทธิ์ในคดีอาญาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาพลักษณ์ของบุคคลที่เกี่ยวข้องออกมาเปิดเผยก่อน
ซึ่งในที่นี้เข้าใจได้ไม่ยากว่า หมายถึงกองทัพที่กลุ่มคนเสื้อแดงมองเป็นปฏิปักษ์อยู่แล้ว ให้เสื่อมถอยลดลงไปอีก
“การให้สัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าว จะเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายในเรื่องการสอบสวนหรือไม่ ผู้บัญชาการทหารบก ท่านห่วงใยกำลังพล โดยเฉพาะเรื่องขวัญกำลังใจ เพราะพวกเขาทำตามหน้าที่และทำทุกอย่าง ตามกรอบกฎหมาย ที่สำคัญคือผู้ที่เกี่ยวข้องในฐานะพนักงานสอบสวนหน่วยงานของท่านก็อยู่ร่วมคณะใน ศอฉ.ด้วย และได้ร่วมกันตัดสินใจในการปฏิบัติด้วยกันทุกๆครั้ง จึงน่าจะรู้ว่า ศอฉ. ไม่ทำร้ายประชาชน และอยากจะเรียนถามไปถึงการสอบสวนคดีความต่างๆ โดยเฉพาะคดีที่มีทหารบาดเจ็บ เสียชีวิต กองทัพบก ยังไม่เห็นว่าจะมีผู้รับผิดชอบออกมาพูดถึงความคืบหน้า ในคดีเหล่านี้เลย”
ตามจังหวะถ้อยแถลงของ “เสธ.ไก่อู” ถอดออกมาได้ชัดว่า จงใจล่อเป้าไปที่ ดีเอสไอ แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย มิหนำซ้ำยังเป็นการสะกิดใจ เหมือนจะส่งสัญญาณถึงใครบางคนที่กำลัง “เปลี่ยนสี” อยู่
กว่าจะรู้ตัวก็สาย พวกนกรู้อย่าง “กูรูเหลิม” ที่อ่านเกมออก ว่ารอบนี้ไม่ธรรมดา รีบจัดการส่งคนสนิท “พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา” รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ วิ่งแจ้นข้ามฟากไปช่วยเคลียร์ใจให้ ในฐานะเพื่อนนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นเดียวกับ “บิ๊กตู่”
ตามนัยก็หวังจะอธิบายให้เข้าใจว่า เป้าหมายไม่ใช่กองทัพ แต่เป็นคู่หู “มาร์ค – เทือก” ที่รัฐบาลจะลากขึ้นโรงพักก็เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนแผลนี้ ที่ “เฉลิม – ดีเอสไอ” ร่วมกันสร้างขึ้น จะไม่ได้สร้างความไม่พอใจให้กับกองทัพเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นคนกันเองอย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ที่กะอักกะอ่วมไม่น้อยกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เพราะหากย้อนหลังดูตั้งแต่วันแรกที่ “รัฐบาลเพื่อไทย” เข้ามาบริหารประเทศ สิ่งหนึ่งที่ “ยิ่งลักษณ์” มักจะทำอยู่เสมอและเป็นประจำก็คือ ภารกิจการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพกับรัฐบาล ที่เดินเป็นเส้นขนานกันมาตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นต้นมา
บ่อยครั้งที่รัฐบาลพยายามจะซื้อใจกองทัพ ไม่ว่าจะเป็นการไม่แตะต้องโผโยกย้ายนายทหาร โดยให้อำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด แก่ผู้นำเหล่าทัพ การจัดสรรงบประมาณให้เหล่าทัพแบบฟูลออปชั่น การต่อสายตรงระหว่าง “นารีปู” กับ “บิ๊กตู่” ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ แบบต่อเนื่อง หรือชวนกันไปอี๋อ๋อ ออกเดทตรวจน้ำตรวจทุ่ง ก็มีให้เห็นบ่อยไป
โดยเฉพาะเรื่องร้อนๆ ที่กองทัพต้องการ แต่กลุ่มคนเสื้อแดงที่ทำหน้าที่หนุนหลังรัฐบาลไม่แฮปปี้ด้วย “นายกฯปู” ก็ยังยอมขัดใจพวกตัวเอง เพื่อมัดใจกองทัพมาแล้วไม่รู้ต่อกี่หน
รอยร้าวของ “กองทัพ - รัฐบาล” ที่ผู้นำรัฐบาลพยายามใช้ความหวานเป็นตัวประสาน กลับโดน “น้ำผึ้งหยดเดียว” กระเทือนซางทำเอาปริแตกแยกร้าวกันอีกรอบ แถมอาจทอดยาวเป็นรันเวย์ให้รถถังออกมาขับเล่น หากมีเรื่องขบเกลียวแรงๆกันอีกซักหนสองหน
**งานนี้เขย่าขวัญรัฐบาลสัญชาติแม้วอีกแล้ว