ตราบใดที่ระบบการเมืองไทยยังอยู่ในวังวนน้ำเน่าอันโสโครก แล้วผลักดันให้บรรดานักการเมืองชั่วช้าสามานย์ยึดกุมอำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ขณะที่ระบบราชการกลับสยบยอมแบบหมอบราบคาบแก้ว โดยเฉพาะข้าราชการผู้ใหญ่ทำตัวได้สารเลวไม่แพ้กัน ตราบนั้นอย่าหวังว่าประเทศชาติและประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข กลับมีแต่จะถูกลอยแพให้เผชิญวิกฤตระลอกแล้วระลอกเล่าที่ถาโถมเข้าหายิ่งกว่าฤดูมรสุมเสียอีก
ในส่วนของวิกฤตไฟใต้ก็เช่นกัน เวลานี้นอกจากเปลวไฟแห่งความรุนแรงจะเผาผลาญผู้คนและแผ่นดินปลายด้ามขวานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้ว สังคมไทยก็ถูกไฟใต้ลามเลียเสียจนระอุเดือดเลือดพล่านไปตามๆ กัน
ผลการประชุมเพื่อกำหนดโครงสร้าง “ศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้” ของรัฐบาลที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเป็นประธานช่วงบ่ายวันที่ 8 สิงหาคม 2555 จะถูกประกาศออกมาในรูปแบบไหน หรืออย่างไร สำหรับผมเชื่อโดยสุจริตใจว่าไม่น่าจะมีผลทำให้ไฟใต้มอดดับ หรือแม้แต่ทำให้สถานการณ์ความรุนแรงช่วงครึ่งหลังของเดือนรอมฏอนคลี่คลายลงได้
เหตุผลล่ะหรือ คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความหรอก เอาแค่ประการแรกให้มองไปที่คนนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานการประชุม ซึ่งก็คือ “ปูนิ่ม” ก็สามารถคาดการณ์ได้ทันที
อีกประการที่น่าจะทำให้สังคมไทยเห็นภาพชัดได้คือ องค์กรที่กำลังจัดตั้งขึ้นจะเรียกขานว่า ศูนย์ปฏิบัติการดับไฟใต้ หรือแม้พยายามใช้ชื่อโก้หรู ดูเท่ แบบเอาสัญลักษณ์ด้านความมั่นคงของอเมริกามาใช้ให้มีมนต์ขลังว่า เพนตากอน 2 ก็ตาม
แต่โดยข้อเท็จจริงมีที่มาจากฐานคิดตกค้างของฝ่ายกองกำลัง ซึ่งหลายปีมานี้ได้เห็นการดิ้นรนฮุบอำนาจการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนใต้ให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดมาตลอด
แล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ก่อนประชุมรื้อใหญ่โครงสร้างอำนาจไฟใต้ ฝ่ายรัฐบาล ขุนพลพรรคเพื่อไทย รวมถึงบิ๊กข้าราชการที่เกี่ยวข้องจะชักแถวออกมาพูดหว่านล้อม โดยเฉพาะนายกฯ กับ 3 รองนายกฯ และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แต่ที่ถูกสปอตไลต์จับจ้องมากที่สุดเห็นจะเป็นผู้ที่นั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ที่ฝ่ายการเมืองต้องเกรงใจ
ขอบอกตามตรง ผมพยายามตั้งใจฟังการอธิบายให้เหตุผลของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ แต่กลับพบว่านอกจากจะมากมายไปด้วยความงุนงงและสงสัยแล้ว ยังพบว่ามีความเคลือบแคลงไปในทางบิดพลิ้ว หรือสร้างเรื่อง สร้างกระแส เพื่อกลบประเด็นอันเป็นแก่นแกนสำคัญอยู่ด้วย
สำหรับปูนิ่มที่ชอบตอบสื่อแบบเอาเถิดเจ้าล่อ พูดจ้อเจรจา สามวาสองศอก เรื่องนี้เข้าใจได้ และกับบิ๊กอ๊อด-พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา บิ๊กเหลิม-ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง บิ๊กยุทธ-ยงยุทธ วิชัยดิษฐ และ บิ๊กโอ๋-พล.อ.อ.กำพล สุวรรณทัต เหล่านี้ก็มีสไตล์ในการพูดเป็นตัวเองที่พอทำเนา
แต่กลับ บิ๊กตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. การตอบคำถามสื่อเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2555 ก่อนหน้าประชุมเพียง 1 วันกลับเต็มไปด้วยท่าทีขึงขังแบบข่มขู่กลายๆ แถมยังต่อว่าและท้าให้สื่อไปทำหน้าที่ ผบ.ทบ.แทนตน ซึ่งไม่เคยปรากฏว่าจะมากมายไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน และแม้ตัวเองก็ยังรู้สึกได้จึงถึงกับหลุดปากคำอันเป็นบทสรุปว่า...
“เม้งแตก”
ท่าทีตอบโต้และท้าทายสื่อมวลชนของบิ๊กตู่หลายคนอาจมองว่า เรื่องโผงผางนี่เป็นบุคลิกประจำตัวอยู่แล้ว บ้างก็ว่าคงเครียดกับงานหนักและถูกแรงกดดันทำให้เกิดอาการฟิวส์ขาด แต่ในความเห็นผมน่าจะมีอะไรที่มากกว่า และปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพียงฉากประกอบของละครในวังวนกลเกมการเมืองน้ำเน่าเท่านั้น
จากที่ได้ดูคลิปบิ๊กตู่ตอบคำถามสื่อหลายรอบ พร้อมๆ กับฟังการวิเคราะห์จากหลายคน ผมได้ข้อสรุปว่าเป็นความตั้งใจแต่งชุด ผบ.ทบ.เต็มยศและยืนบนโพเดียมอย่างสง่าผ่าเผย ในส่วนที่แสดงอารมณ์แบบไม่บันยะบันยังก็เป็นความตั้งใจด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะต้องการส่งสารบางอย่างให้สังคมรับเอาไป
การทำความเข้าใจในเรื่องนี้คงต้องย้อนไปดูที่มาที่ไปถึงวิกฤตไฟใต้ระลอกใหม่ และที่สำคัญความคิดที่จะตั้งศูนย์เพนตากอน 2 ขึ้นมาใหม่ว่ามีจุดเริ่มจากอะไร
แน่นอนว่าปัญหาไฟใต้เรื้อรังมานาน ในยุคเก่ามีความพยายามแก้ไขย้อนไปได้ถึงรัชกาลที่ 1 ต่อเนื่องมาจนคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีปี 2524 สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่ให้ใช้นโยบาย “การเมืองนำการทหาร” หลังจากนั้นสถานการณ์ต่างๆ ก็จัดว่าคลี่คลายขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในสมัยแรกที่ผู้นำมัวเมาอำนาจคิดตั้งรัฐตำรวจ กับไฟใต้อหังการถึงขั้นสั่งยุบทิ้งหน่วยงานพิเศษทั้ง “ศอ.บต.” และ “พตท.43” แล้วสั่งทหารกลับเข้ากรมกอง เพื่อให้ตำรวจขึ้นมาใหญ่และทำหน้าที่แทน การกระทำที่ทำผิดพลาดเหล่านั้นก่อให้ไฟใต้ปะทุคุโชนขึ้นระลอกใหม่เมื่อต้นปี 2547
หากเปรียบเปรยว่า ไฟใต้ระลอกใหม่ให้เกิดจากการเอาเท้าไปกวนอำนาจการบริหารราชการบนแผ่นดินชายแดนใต้ของคนที่ในเวลานี้คือ นักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร ก็น่าจะได้ภาพชัดพอสมควร
เมื่อไฟใต้ระลอกใหม่โชนเปลว รัฐตำรวจและระบอบทักษิณเอาไม่อยู่ ตำรวจกลับเป็นฝ่ายต้องถอยกลับเข้ากรมกอง แล้วให้ทหารออกมาแสดงบทบาทอีกครั้ง มีการตั้งองค์กรพิเศษใหม่ๆ ขึ้นมาดูแลมากมายภายใต้ปีกโอบกองทัพ อย่างที่ใช้ชื่อย่อยาวจนน่าพิศวงก็เช่น กอ.สสส.จชต. เป็นต้น สุดท้ายทนกระแสเรียกร้องไม่ไหวจำต้องฟื้น ศอ.บต. และ พตท. ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงคือการพลิกกลับเอานโยบาย “การทหารนำการเมือง” กลับมาใช้ แล้วทำให้กองทัพอยากยึดกุมอำนาจทั้งหมดในพื้นที่มาจนวันนี้
การเสนอตั้งศูนย์เพนตากอน 2 ก็เป็นผลตกค้างจากกองทัพเสนอปรับรื้อโครงสร้างอำนาจไฟใต้ไว้ตั้งแต่ช่วงตั้งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใหม่ๆ โดยต้องการลดอำนาจ ศอ.บต.ที่ถูกตั้งขึ้นถาวรตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ปี 2553 ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการเป็นถึง “ซี 11” ใหญ่กว่าแม่ทัพภาคที่ 4 ที่ถืออำนาจตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ
ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของการปรับรื้อโครงสร้างอำนาจไฟใต้คือ เมื่อยกเลิกกฎหมาย ศอ.บต.ไม่ได้ก็ให้ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ มันซะเลย แล้วให้ตั้ง “ศอ.บต.ส่วนหน้า” ในพื้นที่ขึ้นแทน เพื่อให้แม่ทัพภาคที่ 4 กางปีกไปคลุมได้แบบไม่กระดากใจ ทั้งในส่วนของอำนาจการบริหารจัดการ และที่สำคัญคือด้านการงบประมาณด้วย
(อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องสภาที่ปรึกษา ศอ.บต.ออกแถลงการณ์คัดค้านได้ที่ http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9550000096851)
สถานการณ์ไฟใต้ที่กำลังดุเดือดเลือดพล่านห้วงเวลานี้ จึงเหมาะมากที่จะซิกแซกตั้งศูนย์เพนตากอน 2 ขึ้นมาใหม่ และในเวลาเดียวกันก็เหมาะเหม็งที่ผู้นำกองทัพจะออกมาเล่นบท “เม้งแตก” เพื่อให้บรรลุเป้าประสงค์ในการควบคุมแผ่นดินไฟใต้ไว้ในมือได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด