xs
xsm
sm
md
lg

ไอ้ชาติโง่ มันไม่รู้จักความถูกต้อง (5)

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ปราโมทย์ นาครทรรพ

วันนี้จะพูดถึงความไม่ถูกต้องที่ 3 คือ ความเข้าใจผิดว่าในหลวงกับอำมาตย์ร่วมมือกันขัดขวางและทำลายประชาธิปไตยที่ประชาชนสร้างขึ้น

พอลงมือเขียนก็เห็นบทความของ Joshau Kurantzick แห่ง Council on Foreign Relations (CFR) อันทรงอิทธิพลอีก คนห่าอะไรขยันสิ้นดี เจ้าหมอนี่เขียนบทความเรื่องเมืองไทยให้ CFR ถึง 87 เรื่อง สรรเสริญบารมีทักษิณเสีย 22 เรื่องไม่ใช่ 10 กว่าเรื่องดังที่ผมให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไปในตอนที่แล้ว

ฉบับ 13 สิงหาคม 2012 นี้มีชื่อว่า Thailand: Reconciliation Fails หรือไทยปรองดองล้มเหลว เปิดอ่านได้ใน http://blogs.cfr.org/asia/2012/08/13/thailand-reconciliation-fails/

เนื้อหาก็ไม่มีอะไรมาก ลอกประโยคเด็ดของฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ จากรัฐศาสตร์จุฬาฯ ว่า “ปัญหาของเมืองไทยเกิดขึ้นเพราะพวกที่ชนะเลือกตั้งครั้งแล้วครั้งเล่าถูกขัดขวางไม่ยินยอมให้ปกครอง ในขณะที่คนอื่นซึ่งเป็นผู้บงการที่แท้จริงไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้

Thailand’s problem is that those who keep winning elections are not allowed to rule, whereas others who ultimately call the shots cannot win elections.”

โอ้โฮ เล่นสำนวนแบบฝรั่ง บดบังข้อเท็จจริงว่าพรรคทักษิณได้ปกครองทุกครั้งที่ชนะเลือกตั้ง เป็น 3 รัฐบาลมาแล้ว คือ สมัคร สมชาย และกับยิ่งลักษณ์ ที่ประชาธิปัตย์แทรกมาช่วง 3 ก็เพราะพรรคร่วมรัฐบาลทรยศกันเอง เอาชนะกันด้วยโหวตในสภา ไม่มีหมาที่ไหนไปร้องว่าผู้นำทหารเอาปืนไปจ่อหัว หรือเจ้าสัวคนใดขนเงินไปซื้อช่วยอภิสิทธิ์ ซึ่งถ้าจะมีก็ไม่น่าประหลาดจนเกินไปในวัฏจักรน้ำเน่าและวงจรอุบาทว์ของไทย ที่จะหวังให้ กกต.กับศาลศักดิ์สิทธิ์เสมอไปหาได้ไม่ พรรคการเมืองของทักษิณที่อ้างว่ามีกองกำลังติดอาวุธจึงพากันเผาบ้านเผาเมืองฉิบหายวายวอด ด้วยมีเป้าหมายหลักไล่ให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ลาออกเลือกตั้งใหม่ กกต.ซึ่งมีหน้าที่เตือนและปลดพรรคการเมืองที่กระทำเช่นนั้น รัฐบาลประชาธิปัตย์ซึ่งมีหน้าที่ปรามและปราบอย่างเด็ดขาด ต่างก็เหยาะแหยะเหมือนสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง

การเลือกตั้งที่ฐิตินันท์อ้าง ฝรั่งมันไม่รู้หรอกว่าซื้อแหลกแจกแถมทั้งซื้อพรรคซื้อ ส.ส. ซื้อกรรมการและซื้อเสียง ทั้งข่มทั้งขู่ ทั้งสัญญาโกหกสารพัด ฯลฯ หาใช่ free, fair & represent ta tive election ที่จะอ้างความชอบธรรมได้เลย นานๆ จะมีข้อยกเว้น บางจังหวัดบางคนสักครั้ง

ก่อนยุคพรรคไทยรักไทยของทักษิณ ในการเลือกตั้งครั้งแรกหลัง รสช. 22 มีนาคม 2535 เกิดปรากฏการณ์ใหม่คือพรรคใหม่ชื่อพลังธรรมชนะใจชาวกรุงเทพฯท่วมท้นกวาดที่นั่งในกรุง 32 จาก 35 ที่นั่งปราบ 2 แชมเปี้ยนเก่าคือประชากรไทยและประชาธิปัตย์เหลือเพียง 2 และ 1 คือ สมัคร สุนทรเวช, ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญ และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แจ้งเกิดในพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ถึงกับพาดหัวว่า “พลังผักชนะพลังเงิน” แต่ในต่างจังหวัดพลังธรรมได้มาเพียง 9 รวมเป็น 41
ทักษิณเข้าสู่วงการเมืองหลังพฤษภาทมิฬ โดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง ยกตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังธรรมให้ฟรีๆ ทั้งที่ยังไม่มีชั่วโมงบินการเมืองมาก่อน ภายใต้การนำของทักษิณ การเลือกตั้งปี 2538 พลังธรรมลดฮวบลงมาเหลือ 23 และเลือกตั้งปี 2539 พลังธรรมเหลือ 1 เดียวคือสุดารัตน์

ทักษิณตัดสินใจสละเรือทิ้งพรรค เขาบอกผู้นำพรรคที่โรงแรมดุสิตหัวหินว่า หลักการของพลังธรรม คือ “ไม่ด่า-ไม่โกหก-ไม่ซื้อ” ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะคนไทยส่วนมากยังโง่และยากจน การเมืองไทยต้องหลอกและซื้อลูกเดียว ทักษิณลาออกจากพรรคพลังธรรมในวันที่ทราบผลการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 ที่พรรคความหวังใหม่ของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ชนะเฉียดฉิว ทักษิณได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในโควตาความหวังใหม่

ไม่มีใบเสร็จมีแต่คำบอกเล่าของผู้เกี่ยวข้องว่าทักษิณให้เงินพรรคความหวังใหม่ไปหาเสียงเท่าไร พรรคอื่นๆ เช่น ชาติไทย สามัคคีธรรม และพรรคอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน นี่เป็นสาเหตุให้การกินรวบควบพรรคลัก ส.ส.ไปเป็นไทยรักไทยเป็นไปได้โดยง่าย

เป็นเสียยังงี้ นักวิชาการไทยจะโก่งคอบอกว่าเมืองไทยเป็นประชาธิปไตย เพราะมีการเลือกตั้งได้อย่างไร ความจริงควรจะพูดว่า Those who keeps cheating to win elections should not be allowed to rule : ใครที่ชนะเลือกตั้งมาโดยการซื้อไม่สมควรจะให้ปกครอง

ที่ผมแสลงสุดๆ ก็คือการเล่นสำนวนว่า “whereas others who ultimately call the shots cannot win elections :ในขณะที่คนอื่นซึ่งเป็นผู้บงการที่แท้จริงไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้” คนอื่นนี้ใครๆ ก็รู้ว่าน้ำหน้าอย่างประชาธิปัตย์จะบงการใครได้ จึงมิใช่ประชาธิปัตย์หรือพรรคการเมืองใดๆ แน่ ถ้าจะหมายถึงพ่อทูนหัวของประชาธิปัตย์คือพลเอกเปรม ทำไมจึงไม่พูดตรงๆ เสียเลยว่า who ultimately call the shots cannot CONTEST elections เปลี่ยนจาก win เป็น contest คือใครที่ไม่สามารถลงเลือกตั้งได้ พูดเปิดก้นไว้อย่างนี้ฝรั่งมันก็เสียบเสียเลยว่าเป็นในหลวงกับกองทัพ

อย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง มันเป็นความเข้าใจผิด ถ้าพูดว่าบางครั้งกองทัพโง่ๆ ที่บ้าอำนาจเข้ามาบงการ ก็ยังจะพอฟังได้เป็นกรณีๆ ไป

แต่นี่มันซัดไปที่พระมหากษัตริย์ก่อน มันพิสูจน์ได้อย่างไร เอาหลักฐานมาจากไหน เรื่องซุบซิบโจมตีในหลวง ผมศึกษาวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องโกหกและเข้าใจผิดทั้งหมด คือ

1. เรื่องที่พวก 6 ตุลา บางคนผูกใจเจ็บว่าติดคุกและล้มตายเพราะในหลวงอยู่เบื้องหลัง ความจริงคือการแก้แค้นของอำนาจเก่า ซึ่งบางกลุ่มเท่านั้นถือโอกาสเข่นฆ่านักศึกษา ที่โทษกลุ่มประมาณและราชครูนั้นก็ไม่เป็นความจริงเลย ที่แท้ประชาธิปัตย์ทะเลาะกันเองและปลุกระดมมวลชน ทำให้บานปลายถูกฉวยโอกาส วันนั้นมี 3 ปฏิวัติ คือปฏิวัติสมัครกับพันเอกชายให้เสนีย์ลาออก ปฏิวัติสวมโดยพลเรือเอกสงัดยอมรับตำแหน่งหัวหน้า และปฏิวัติซ้อนโดยยังเติร์กเพื่อสยบเชิดสงัดแต่รักษาอำนาจทหารบก พวกที่เข่นฆ่านักศึกษานั้นเป็นอันธพาลทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไม่ใช่ลูกเสือชาวบ้านไทยมุง

2. เรื่องหาว่าในหลวงหนุน คมช.ปฏิวัติขับไล่ทักษิณ ก็ไม่จริงอีก โปรดฟังยูทุบพระราชดำรัส ในหลวงตรัสกับผู้ใกล้ชิดอยู่เสมอว่าไม่ชอบปฏิวัติที่จำต้องลงพระนาม เหตุการณ์วันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นมีทหาร 2 กลุ่มชิงกันเข้าเฝ้าฯ กลุ่มทักษิณ 2 คนไปก่อน แต่ถูกจัดให้เข้าพร้อมกัน การที่องคมนตรีอยู่พร้อมวันนั้นเพราะมีการทำบุญเลี้ยงพระวันครบรอบอสัญกรรมของ ม.ล.บัว พระราชมารดาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครเผยแพร่เพราะความอ่อนแอของหน่วยราชการในราชสำนัก และของรัฐบาลที่ล้มเหลวในการประชาสัมพันธ์-ปกป้องในหลวงแท้ ทาบกับของอังกฤษไม่ได้เลย

ส่วนเรื่องที่น่าจะมีมูล(ฝอย)บ้าง ก็คือเรื่องที่ผู้ใหญ่ในกองทัพสั่งให้กำลังพลลงคะแนนให้พรรคประชาธิปัตย์ ได้ผลหรือไม่ เราก็รู้กันอยู่แล้ว ไอ้ที่มันเสียมากๆ ก็คือมีการแอบอ้างพาดพิงว่าข้างบนขอมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้

การที่ในหลวงตกเป็นเป้า ผมว่าเป็นเพราะวาทกรรมเรื่องอำมาตย์กับไพร่ที่ระบอบทักษิณยกขึ้นมาเป็นประเด็นต่อสู้ และเงินปีละ 3.3 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปีที่จ้าง3 บริษัทล็อบบี้สหรัฐฯ ให้วางแผนพากลับไปเถลิงอำนาจในเมืองไทยอีก (มิใช่ 5 พันเหรียญที่กระจอกอัมสเตอร์ดัมมาแหกตาคนไทยหรอก)

วาทกรรมการต่อสู้อำมาตย์นี้ ผมขอให้ท่านฟังยูทุบทั้งหมดที่ผมต่อท้ายบทความนี้ (ในตอนที่ 6) ฟังความทุกฝ่ายแล้ว จะเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง

ผมจะลากเส้นเชื่อมโยงการกระทำกาลเวลาและองค์บุคคลในเรื่องนี้ย้อนลงไปก่อน

1. วันที่ 13 สิงหาคม 2555 หลังจากที่การเยือนอเมริกาเริ่มต้นจากวันที่ 9 สิงหาคมที่มหานิวยอร์กไปถึงซานฟรานซิสโกและลอสแอนเจลิส ซึ่งทักษิณหมายมั่นปั้นมือจะแสดงให้อเมริกันเห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่คนไทยจะพากันมาต้อนรับเขา(เหมือนตอนไปเขมรและลาว) กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ทักษิณถูกพี่น้องไทยส่วนใหญ่ฮาป่าขับไล่เหมือนหมูเหมือนหมา Council on Foreign Relations โดย Joshau Kurlantzick จึงออกมาเล่าในบทความเรื่องเมืองไทยลำดับที่ 87 ว่าโรดโชว์ของทักษิณครั้งนี้เป็นอย่างไร และสรุปโดยตั้งชื่อบทความว่า “Thailand : Reconciliation Fails หรือ ไทยแลนด์ :การปรองดองที่ล้มเหลว”

2. ข้อสรุปนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้ว อย่างน้อยก็มีหลักฐานยืนยันว่า ในวันที่ 28 มิถุนายน 2011 เวลา 12.15 - 1.45 น. ณ ห้องประชุม Rm. H-137 ในสภาคองเกรสของอเมริกา เมื่อ Joshau Kurlantzick ไปเป็นวิทยากรร่วมกับ Joseph Yun, DAS for East Asian and Pacific Affairs, Department of State หรือรองปลัดกระทรวงอาวุโสฝ่ายเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ตามหนังสือเชิญของ Donald A. Manzullo และ Earl Blumenauer สมาชิกสภาคองเกรสพรรครีพับลิกันและเดโมแครตตามลำดับ มีผู้เข้าร่วมประมาณ 30 คน ประกอบด้วยตัวแทนจากกระทรวงการต่างประเทศ สมาชิกและเจ้าหน้าที่วิเทศสัมพันธ์ของสภาคองเกรส สื่อ อดีตนักการทูตอเมริกันที่เคยอยู่เมืองไทย สำนักคิดทางวิชาการ ตัวแทนบริษัทล็อบบี้ของทักษิณ 2 คน ตัวแทนบริษัทเชฟรอน และอื่นๆ

ข้อสรุปที่ไม่มีผู้ใดในที่ประชุมโต้แย้ง ก็คือ “เมืองไทยจะไม่มีทางออกหรือข้อตกลง (หรือปรองดอง) ตราบใดที่ในหลวงยังอยู่ : There will not be a resolution for Thailand until the King passes away and one expects to see a move to a more constitutional monarchy.หลังจากนั้น คาดว่าจะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมากขึ้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น