จากกรณีที่เครือข่ายรณรงค์หยุดพนันได้เข้ายื่นหนังสือถึง สมาชิกวุฒิสภา โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบและศึกษาผลกระทบจากนโยบายเพิ่มพื้นที่การพนัน โดยการออกสลากอัตโนมัติและแก้ไขพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยได้เสนอร่างพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. .... โดยมีเนื้อหาที่ว่าด้วยการอนุญาตให้หนี้การพนันที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลอาจเปิดช่องให้มีการเปิดบ่อนเสรีหรือฟอกเงินได้
นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีการออกสลากอัตโนมัติ และ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ....ให้รอบด้าน และไม่ควรนำเอาเรื่องดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคาด้วยการเพิ่มปริมาณสลาก และช่องทางการซื้อที่ง่าย และสะดวกมากขึ้น รวมทั้งการขายขาด ที่ทำให้ความเสี่ยงทั้งหมดไปอยู่ที่ผู้ค้า ซึ่งผู้ค้าทุกคนจะมีวิธีทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตนเองขาดทุน การแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคา จึงไม่เกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณสลาก
“สิ่งที่เครือข่ายรณรงค์หยุดพนันเป็นห่วงคือ การพยายามทำให้การพนันถูกกฎหมาย รวมถึงให้หนี้พนันถูกกฎหมาย การกู้หนี้ที่เกิดจากการพนันต้องมีการชดใช้ และอาจจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้เยาวชนเข้าถึงการพนันได้งายและสูงขึ้นอย่างไรก็ตามหลังจากนี้คณะกรรมมาธิการจะนำข้อเสนอของเครือข่ายไปพิจารณา จากนั้นจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการวิสามัญเพื่อปฏิรูปสลากและการพนันอื่นๆ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการที่ชัดเจนในการจัดระเบียนปัญหาดังกล่าว” นายมณเฑียร กล่าว
นายมณเฑียร กล่าวว่า ขณะนี้รายได้จากส่วนแบ่งของกองฉลากจะนำเข้าแผ่นดินสูงถึง 28 % ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งหมายถึงให้รัฐบาลเอารายได้ส่วนหนึ่งจากการขายสลากกินแบ่งฯไปบริหาร ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศ ที่เขาไม่นำเงินตรงนี้เข้าไปบริหาร ในส่วนตัวตนอยากให้รัฐบาลควรเอาเงินเหล่านี้ไปพัฒนาอย่างอื่น นำไปสร้างเสริมเยียวยาสังคมและสุขภาพของคนไทยจะดีกว่า
“ถ้ารัฐบาลจะแก้กฎหมายการพนัน ควรแก้ที่การควบคุม ไม่ใช้แก้กฎหมายโดยเปิดช่องให้เป็นการสนับสนุนการพนัน เพราะแม้แต่การออกสลากก็ถือเป็นการพนัน รวมถึงการโฆษณาบทบาทภาพลักษณ์ของกองฉลากก็ไม่ควรโฆษณา อีกทั้งรัฐบาลจะต้องเปลี่ยนแนวคิด ว่า ไม่ควรหารายได้จากการพนัน แต่ควรมองว่าสลากเป็นกิจกรรมที่จำกัดและเป็นการพนันที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดความรุนแรง”นายมณเฑียร กล่าว
นายมณเฑียร กล่าวว่า ตามแนวคิดของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังหลายสมัย ที่กล่าวว่า อย่าคิดจะจับหนูตัวเดียว โดยการเผาบ้านตัวเอง เปรียบเหมือนการคิดจะทำสลากออนไลน์ โดยหวังแค่ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สุดท้ายประเทศไทยจะเต็มไปด้วยปัญหาผลกระทบทางสังคม การพยายามดึงของมืดมาพื้นที่สว่าง จนท้ายที่สุดจะดูเหมือนส่งเสริมการพนันไปในวงกว้างมากขึ้น ฉะนั้นรัฐบาลจะต้องดึงสิ่งที่มืดออกมาพื้นที่สว่าง โดยการควบคุมมากกว่า
ด้านนายธนากร คมกฤส ผุ้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯมีข้อเสนอและขอเรียกร้องดังนี้ 1.รัฐบาลไม่ควรเพิ่มพื้นที่การพนัน เพื่อให้เยาวชนและประชาชนเข้าถึงการเล่นสลากกินแบ่งฯได้ง่ายขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเล่นการพนันมากขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย 2. ขอให้กรรมาธิการศึกษาเรื่องผลกระทบในประเด็นต่างๆทั้ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ....และหวยออนไลน์ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสังคม จริยธรรม ศีลธรรม มากกว่า จะมองเรื่องของเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
“ทุกวันนี้ประชาชนคนไทยถูกมอมเมาด้วยเรื่องต่างๆมากมาย หากรัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้มีการเข้าถึงการขายสลากกินแบ่งฯได้ง่ายขึ้น หวั่นอนาคตประเทศไทยอาจมีบ่อนเสรีเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ตนเชื่อว่า สถาบันครอบครัวจะเป็นสถาบันแรกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวอย่างแน่นอน” นายธนากร กล่าว
นายมณเฑียร บุญตัน รองประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า รัฐบาลและผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการศึกษาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากกรณีการออกสลากอัตโนมัติ และ พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ....ให้รอบด้าน และไม่ควรนำเอาเรื่องดังกล่าวมาเป็นข้ออ้างในการแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคาด้วยการเพิ่มปริมาณสลาก และช่องทางการซื้อที่ง่าย และสะดวกมากขึ้น รวมทั้งการขายขาด ที่ทำให้ความเสี่ยงทั้งหมดไปอยู่ที่ผู้ค้า ซึ่งผู้ค้าทุกคนจะมีวิธีทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตนเองขาดทุน การแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคา จึงไม่เกี่ยวกับการเพิ่มปริมาณสลาก
“สิ่งที่เครือข่ายรณรงค์หยุดพนันเป็นห่วงคือ การพยายามทำให้การพนันถูกกฎหมาย รวมถึงให้หนี้พนันถูกกฎหมาย การกู้หนี้ที่เกิดจากการพนันต้องมีการชดใช้ และอาจจะเป็นอีกหนทางหนึ่งที่ทำให้เยาวชนเข้าถึงการพนันได้งายและสูงขึ้นอย่างไรก็ตามหลังจากนี้คณะกรรมมาธิการจะนำข้อเสนอของเครือข่ายไปพิจารณา จากนั้นจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการวิสามัญเพื่อปฏิรูปสลากและการพนันอื่นๆ เพื่อกำหนดแนวทางและมาตรการที่ชัดเจนในการจัดระเบียนปัญหาดังกล่าว” นายมณเฑียร กล่าว
นายมณเฑียร กล่าวว่า ขณะนี้รายได้จากส่วนแบ่งของกองฉลากจะนำเข้าแผ่นดินสูงถึง 28 % ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.สลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งหมายถึงให้รัฐบาลเอารายได้ส่วนหนึ่งจากการขายสลากกินแบ่งฯไปบริหาร ซึ่งแตกต่างจากหลายประเทศ ที่เขาไม่นำเงินตรงนี้เข้าไปบริหาร ในส่วนตัวตนอยากให้รัฐบาลควรเอาเงินเหล่านี้ไปพัฒนาอย่างอื่น นำไปสร้างเสริมเยียวยาสังคมและสุขภาพของคนไทยจะดีกว่า
“ถ้ารัฐบาลจะแก้กฎหมายการพนัน ควรแก้ที่การควบคุม ไม่ใช้แก้กฎหมายโดยเปิดช่องให้เป็นการสนับสนุนการพนัน เพราะแม้แต่การออกสลากก็ถือเป็นการพนัน รวมถึงการโฆษณาบทบาทภาพลักษณ์ของกองฉลากก็ไม่ควรโฆษณา อีกทั้งรัฐบาลจะต้องเปลี่ยนแนวคิด ว่า ไม่ควรหารายได้จากการพนัน แต่ควรมองว่าสลากเป็นกิจกรรมที่จำกัดและเป็นการพนันที่มีแนวโน้มก่อให้เกิดความรุนแรง”นายมณเฑียร กล่าว
นายมณเฑียร กล่าวว่า ตามแนวคิดของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังหลายสมัย ที่กล่าวว่า อย่าคิดจะจับหนูตัวเดียว โดยการเผาบ้านตัวเอง เปรียบเหมือนการคิดจะทำสลากออนไลน์ โดยหวังแค่ผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ สุดท้ายประเทศไทยจะเต็มไปด้วยปัญหาผลกระทบทางสังคม การพยายามดึงของมืดมาพื้นที่สว่าง จนท้ายที่สุดจะดูเหมือนส่งเสริมการพนันไปในวงกว้างมากขึ้น ฉะนั้นรัฐบาลจะต้องดึงสิ่งที่มืดออกมาพื้นที่สว่าง โดยการควบคุมมากกว่า
ด้านนายธนากร คมกฤส ผุ้ประสานงานเครือข่ายรณรงค์หยุดพนัน กล่าวว่า ทางเครือข่ายฯมีข้อเสนอและขอเรียกร้องดังนี้ 1.รัฐบาลไม่ควรเพิ่มพื้นที่การพนัน เพื่อให้เยาวชนและประชาชนเข้าถึงการเล่นสลากกินแบ่งฯได้ง่ายขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเล่นการพนันมากขึ้น เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย 2. ขอให้กรรมาธิการศึกษาเรื่องผลกระทบในประเด็นต่างๆทั้ง พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ....และหวยออนไลน์ โดยคำนึงถึงผลกระทบทางด้านสังคม จริยธรรม ศีลธรรม มากกว่า จะมองเรื่องของเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว
“ทุกวันนี้ประชาชนคนไทยถูกมอมเมาด้วยเรื่องต่างๆมากมาย หากรัฐบาลยังมีแนวคิดที่จะส่งเสริมให้มีการเข้าถึงการขายสลากกินแบ่งฯได้ง่ายขึ้น หวั่นอนาคตประเทศไทยอาจมีบ่อนเสรีเหมือนประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ตนเชื่อว่า สถาบันครอบครัวจะเป็นสถาบันแรกที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าวอย่างแน่นอน” นายธนากร กล่าว