“สมคิด” ชี้ น้ำมันแพงร้ายกว่า ศก.ถดถอย เตือนรัฐบาลให้ความสำคัญ อย่ามองข้ามเป็นเรื่องธรรมดา พร้อมแนะให้บริหาร ศก.แบบถึงลูกถึงคน ห่วงแนวโน้มราคาน้ำมันพุ่ง เป็นปัจจัยที่สร้างปัญหาได้แบบสาหัส
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ยุทธศาสตร์ประเทศไทยภายใต้เศรษฐกิจโลกและการก้าวสู่ AEC โดยยอมรับว่า ปัจจัยที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ ราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นปัญหามากกว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะขณะนี้มีข้อกังวลว่าอิสราเอล ขอให้สหรัฐอเมริกาสนับสนุน หากมีการโจมตีอิหร่านภายใน 8-9 เดือน เพื่อระงับไม่ให้อิหร่านผลิตนิวเคลียร์ ทำให้โลกเกิดภาวะแห่งความกลัวเรื่องสงคราม ดันราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวขึ้นแรง
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันแพงราคาสินค้าและพืชผลทางการเกษตรก็จะปรับขึ้นตาม ประกอบกับยังมีปัจจัยลบจากเศรษฐกิจโลกที่ไม่สดใสจากปัญหาหนี้ยุโรป และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีก 3-4 ปี จึงจะแก้ปัญหาได้
ดังนั้น รัฐบาลต้องบริหารเศรษฐกิจอย่างถึงลูกถึงคน ต้องคุยกับเอกชนเพื่อขอความช่วยเหลือเรื่องดูแลราคาสินค้า ต้องเอาใจใส่อย่างใกล้ชิดและช่วยเหลือภาคการส่งออกที่ได้รบผลกระทบ เป็นยุคสมัยที่ต้องการความกลมเกลียวระหว่างรัฐและเอกชน เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจขาดพลังขับเคลื่อน แต่เชื่อว่าหากทุกคนร่วมมือกันจะผ่านพ้นไปได้
นายสมคิด กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องเน้นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศมากกว่าการบริโภค เพราะการบริโภคไม่ได้มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน แต่ควรใช้งบประมาณเพื่อการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจและแข่งขันกับต่างประเทศได้ ดังนั้น รัฐบาลไม่จำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจ เพราะอัตราการขยายตัวที่ร้อยละ 3-5 ถือว่าเพียงพอแล้ว
นายสมคิด กล่าวด้วยว่ารัฐบาลและเอกชนจะต้องสร้างสรรค์ตัวเอง (Transform) ก่อนการเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ที่จะเกิดการแข่งขันอย่างเสรีจากอาเซียน +3 และอาเซียน +6 โดยผู้ประกอบการต้องเปลี่ยนการมองธุรกิจให้กว้างขึ้น เพราะการค้าของอาเซียนจะมีขนาดใหญ่มากขึ้นมีประชากรสูงถึงร้อยละ 50 ของโลก
ทั้งนี้ ภาคเอกชนต้องรวมกลุ่มคลัสเตอร์เพื่อเดินหน้าไปในอาเซียนร่วมกัน รัฐบาลต้องมีความชัดเจนในนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องการลงทุน เพราะนักลงทุนมีทางเลือกไปลงทุนในประเทศอื่น ดังนั้น รัฐบาลจะต้องสร้างความมั่นคงทั้งการเมืองและเศรษฐกิจให้เกิดความทันใจแก่นักลงทุน