ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไปแล้ว สำหรับนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มักมีปัญหาในการพูดอยู่เสมอ จากที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็น “พฤศจิกาคม” “หญ้าแพรก” “ประเทศซิดนีย์” “จังหวัดหาดใหญ่” “ประธานาธิบดีมาเลเซีย” ฯลฯ เรียกได้ว่า นายกรัฐมนตรีตายเพราะปากมาแล้วหลายครั้งหลายครา จนหลายคนเปรียบเทียบว่าเป็นผู้นำประเทศที่ชอบสอบตกภาษาไทยชั้นประถมสี่
ล่าสุด เมื่อวันเสาร์ที่ 21 ก.ค.ที่ผ่านมา ในรายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” หลังจากนายกรัฐมนตรีโชว์หน้าจ้อสดข้ามทวีปจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เพื่อกล่าวถึงการเดินทางไปติดตามสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจในยุโรปแล้ว ในช่วงที่ 2 ของรายการ นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ก็ได้ควงแขน นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ พญ.ศิราภรณ์ สวัสดิวร ผอ.สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ออกมาชี้แจงถึงสถานการณ์โรคมือเท้าปาก
โดยช่วงหนึ่ง นายวิทยา กล่าวว่านายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วง ไม่อยากให้มีการเสียชีวิตจากโรคมือเท้าปากแม้แต่รายเดียว เพราะตอนนี้ "ยังไม่มีการเสียชีวิตจากโรคดังกล่าว"
เหมือนเป็นคำสั่งกลายๆ จากนายกรัฐมนตรีถึง 3 หน่วยงานที่กำชับให้ดูแลสถานการณ์โรคมือเท้าปาก ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงมหาดไทยว่า ห้ามมีใครตายจากโรคมือเท้าปากแม้แต่รายเดียว!
การออกมาพูดแบบนี้ของ นายวิทยา เลยยิ่งกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า รัฐบาลปกปิดข้อมูลการเสียชีวิตของโรคมือเท้าปากหรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์กับคำพูด...สวนทางกันเต็มๆ!
เพราะหลังจากที่กระทรวงสาธารณสุขได้มีการตั้งเป้าไว้ว่า สถานการณ์โรคมือเท้าปากที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ อัตราการตายต้องเป็นศูนย์ และผู้ติดเชื้อต้องมีจำนวนไม่เกิน 18,000 คน ก็มีข่าวออกมาสะเทือน “หน้า” ของกระทรวงสาธารณสุข และสร้างความวิตกกังวลให้แก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้น เมื่อปรากฏข่าวเด็กหญิงวัย 2.8 ขวบ เสียชีวิตที่ รพ.นพรัตน์ราชธานี เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพ่อของเด็ก นายไกรสิทธิ์ สัญญานุรักษ์ ออกมายืนยันว่า ลูกสาวเสียชีวิตจากเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 จริง โดยอ้างว่าแพทย์เจ้าของไข้เป็นคนแจ้งผลตรวจ พร้อมกับคิดว่าแพทย์น่าจะส่งผลการตรวจไปให้กระทรวงสาธารณสุขแล้ว เพราะมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุขเข้ามาพ่นยาทำลายเชื้อโรคให้ที่บ้านด้วย
ขณะที่ “ผู้ใหญ่ในกระทรวงคุณหมอ” หลายๆ คน ก็ยังออกมายืนยันอย่างหนักแน่นว่า เด็กไม่ได้เสียชีวิตด้วยโรคมือเท้าปากแน่นอน เพราะการตรวจเบื้องต้นไม่พบประวัติต้องสงสัย และไม่มีอาการที่แสดงว่าเป็นโรคมือเท้าปาก นอกจากนี้ ยังย้ำอีกหลายรอบว่า อัตราการตาย...ยังคงเป็นศูนย์!
ทำให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความสับสนว่า เด็กหญิงรายดังกล่าวเสียชีวิตเพราะอะไรกันแน่ แต่ถ้ามองจากการกระทำของกระทรวงสาธารณสุขก็อาจเชื่อได้ว่า น่าจะตายเพราะโรคมือเท้าปากจริง เพราะเมื่อกระทรวงสาธารณสุขพูดออกตัวแรงขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงต้องมีการส่งสิ่งส่งตรวจไปยังกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อหาผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการว่า มีการพบเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคมือเท้าปากอีก พร้อมกับพูดทำนองว่า ให้รอผลสรุปที่แน่ชัดจากแล็บ และรอการแถลงผลวิเคราะห์จากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีกครั้งหนึ่ง ไม่เช่นนั้นแล้วคงสามารถสรุปผลไปได้เลยว่าเด็กเสียชีวิตเพราะอะไร ไม่ต้องมาหาสาเหตุให้วุ่นวายถึงขนาดนี้
ประเด็นสำคัญคือ หากออกมาพูดแต่แรกให้ประชาชนเข้าใจว่า “อยู่ในข่ายต้องสงสัยว่าเสียชีวิตด้วยโรคมือเท้าปาก” ก็จบ ไม่ต้องไปตีความอะไรมากมายว่าเป็นการประวิงเวลาเพื่อปกปิดข้อมูลหรือไม่
งานนี้เรียกได้ว่า นายกรัฐมนตรีตายเพราะปากอีกแล้วแท้ๆ
แม้ไม่ได้ตายเพราะปากตนเอง แต่ก็เข้าข่ายตายเพราะปากคนอื่น ที่ออกมาพูดถึงสถานการณ์จนสร้างความสับสนให้แก่ประชาชน
นอกจากนี้ หากมาตีความคำพูดของนายวิทยาในอีกแง่หนึ่ง ก็จะสื่อความหมายได้ว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้ทราบถึงสถานการณ์โรคมือเท้าปากในประเทศไทยเลยใช่หรือไม่ ซึ่งผิดวิสัยของคนที่มีฐานะเป็นถึงผู้นำของประเทศ
หากจะกล่าวว่า เป็นช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปเยือนประเทศเยอรมนีและฝรั่งเศส เลยทำให้ไม่ทราบสถานการณ์ดังกล่าวก็ใช่เรื่อง เพราะนั่นหมายความว่า ไม่มีการเพ็ดทูลจากเจ้ากระทรวงคุณหมอเลยใช่หรือไม่ อย่าลืมว่า การออกมาให้ข่าวให้ข้อมูลต่อสาธารณะแต่ละครั้ง มีประชาชนจำนวนมากรับฟังอยู่ และประชาชนไม่ได้โง่ ที่จะเออออไปตามข้อมูลจากปากของทางรัฐบาล และยิ่งออกมาพูดในทำนองที่ตีความได้ว่า นายกรัฐมนตรีสั่งห้ามตายเพราะโรคมือเท้าปาก เลยทำให้ประชาชนคิดไปอีกว่า การเสียชีวิตของเด็กหญิงคือการปกปิดข้อมูลของรัฐบาล
จนสุดท้าย นายวิทยา ต้องออกปากแก้ต่างแทนนายกรัฐมนตรีไปว่า ไม่ได้มีการให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนหรือผิดพลาด แต่เป็นเพราะว่าช่วงเวลานั้น อาจยังไม่มีรายงานการเสียชีวิตที่ชัดเจน นายกรัฐมนตรีเพียงแต่ออกมาย้ำให้ทั้ง 3 กระทรวง ดูแลสถานการณ์อย่างเต็มที่และใกล้ชิด
จะว่าไปก็เหมือนเป็นเหตุผลที่น่าเชื่อถือใช้ได้ และคงจะเชื่ออย่างสนิทใจไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะ นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่กล่าวว่า ผลการตรวจเชื้อบริเวณลำคอของเด็กหญิงที่เสียชีวิต และเข้าข่ายต้องสงสัยว่ามาจากโรคมือเท้าปากนั้น ทราบผลตั้งแต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ส่งผลกลับไปยังกรมควบคุมโรค และโรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี ที่ร้องขอให้ช่วยทำการตรวจเชื้อ แต่ยังไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะผู้มีหน้าที่แถลงคือเจ้าของเรื่องที่นำส่งตรวจเท่านั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีหน้าที่ในการตรวจเชื้อในห้องแล็บเพียงอย่างเดียว
นั่นหมายความว่า ผลตรวจเชื้อน่าจะทราบตั้งแต่ก่อนนายวิทยามาออกรายการแล้ว เพราะคล้อยหลังไม่กี่ชั่วโมง หมอพรเทพ ก็ได้ไปให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการ เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ว่า ผลการตรวจเชื้อในห้องปฏิบัติการของเด็กหญิงที่เสียชีวิตนั้น พบเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 จริง โดยพบจากการเพาะเชื้อที่คอ พร้อมกับชี้แจงอีกว่า ที่ตอนแรกออกมายืนยันว่าไม่ได้เสียชีวิตจากโรคมือเท้าปาก เป็นเพราะแพทย์ได้ส่งอุจจาระและน้ำไขสันหลังมาตรวจ แต่ไม่พบเชื้อ
แม้ หมอพรเทพ จะออกมาการันตีว่าพบเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 จริงในคอของเด็กหญิง แต่ก็ยังไม่คอนเฟิร์มว่าเสียชีวิตเพราะโรคมือเท้าปาก บอกเพียงว่าให้รอการยืนยันจากการประชุมคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ระบาดวิทยา และโรคติดเชื้อในเด็ก ซึ่งจะพิจารณากรณีผู้เข้าข่ายต้องสงสัยว่าเสียชีวิตเพราะโรคมือเท้าปาก ในวันอังคารที่ 24 กรกฎาคม อีกที
งานนี้เลยต้องมาลุ้นกันว่า ผลการพิจารณาของที่ประชุมจะออกมาเป็นอย่างไร หากออกมาว่าไม่ได้เสียชีวิตเพราะโรคมือเท้าปาก กระทรวงสาธารณสุขก็คงจะหน้าชื่นต่อไปว่า อัตราการตายยังเป็นศูนย์ ท่ามกลางคำครหาที่ตามมาทันทีว่าปกปิดข้อมูลต่อประชาชน
แต่หากออกมาว่าเสียชีวิตเพราะโรคมือเท้าปาก ก็จะสะท้อนว่า นายกรัฐมนตรีเป็นเพียง “หัวตอ” ที่กระทรวงสาธารณสุขไม่จำเป็นต้องรายงานข้อมูลให้ทราบ เพราะในวันที่กระทรวงสาธารณสุขแถลงผลการพิจารณาสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กหญิง นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์แบบไม่รู้ข้อมูลอยู่เลยว่า เด็กอายุ 2 ขวบที่เสียชีวิต “ยังไม่ทราบอาการแน่นอนว่าติดจากเชื้ออะไร” ทั้งๆที่ผลมันออกมาตั้งแต่ก่อนนายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับไทยแล้ว
ฉะนั้น จากการที่ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประเสริฐ ทองเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา ออกมาแถลงผลการพิจารณาสาเหตุการเสียชีวิตของเด็กหญิง โดยยืนยันว่า เสียชีวิตด้วยโรคมือเท้าปาก ซึ่งเป็นเพียงรายเดียวและรายแรกของประเทศไทยในปี 2555 นั้น คงไม่น่าจะถูกนัก เพราะยังมีเด็กหญิงอีกคนที่เสียชีวิตตามไปด้วยเหมือนกัน นั่นคือ
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่ตายเพราะโรคมือเท้า “ปาก!!”