สอดแนมการเมือง
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
มนุษย์-จะสูญสิ้นความดี ทันทีที่มนุษย์คนนั้นถูกความโลภยึดครองหัวใจ!
ภูมิภาคแถบบ้านเรากำลังยุ่งขิง เพราะ “พญาอินทรี”บินมาเผชิญหน้ากับ“มังกร” เพื่อแย่งยึดอำนาจและผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้
ประธานาธิปดีโอบามา ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศใหม่ เนื้อหาหลักคือ การเพิ่มสัดส่วนกองกำลังทางทะเล ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก เป็น 60% ภายในปี พ.ศ. 2563
ปัจจุบันอเมริกาวางกำลังทางทะเล 50:50 ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับแอตแลนติก โดยมีกองเรือรบประมาณ 285 ลำ
นอกจากเคลื่อนย้ายเรือรบแล้ว กลาโหมสหรัฐฯยังเพิ่มจำนวนการซ้อมรบร่วม ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ กับประเทศที่มีข้อตกลงทางทหารกับสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรที่ต่อต้านจีน ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น
ปี 2554 กองทัพสหรัฐฯได้ซ้อมรบร่วมกับกองทัพ 24 ประเทศในเอเซีย-แปซิฟิก รวม 172 ครั้ง ปีนี้และปีต่อๆ ไปจะมีการซ้อมรบเพิ่มขึ้นมากมาย
นั่นยังไม่รวมการตั้งหน่วยบินสอดแนม ทางทะเลจีนใต้และทางตะวันตกของออสเตรเลีย อีกทั้งเพิ่มฐานปฏิบัติการเรดาร์สอดแนมในแดนจิงโจ้ตอนใต้ด้วย
นี่คือ แผน“ปิดล้อมจีน”ที่อเมริกาถือเป็นปรปักษ์สำคัญที่สุดในวันนี้!
จีนนั้น..เป็นประเทศที่เจริญเติบโตเร็วมาก จนกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ได้ประเมิน อำนาจทางการทหารของจีนล่าสุดว่า กองทัพจีนจะเป็นภัยคุกคามภูมิภาคนี้และต่อสหรัฐในอนาคต จนเกิดยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนทางการทหารของสหรัฐฯ
วันนี้กองทัพจีนยังด้อยกว่าสหรัฐ จากข้อมูลเปรียบกองทัพทั้งสองฝ่าย ในปี 2010 สหรัฐฯมีกำลังทหาร 1.58 ล้านคน-จีนมี 2.0 ล้านคน สหรัฐมีเครื่องบินรบ 2,379 ลำ-จีนมี 1,320 ลำ สหรัฐฯ มีเรือดำน้ำ 71 ลำ- จีนมี 65 ลำ สหรัฐฯ มีเรือรบ 57 ลำ-จีนมี 65 ลำ สหรัฐฯ มีเรือบรรทุกเครื่องบิน11 ลำ-จีนไม่มีสักลำ สหรัฐฯ มีจรวดนิวเคลียร์ 9,400 ลูก- จีนมี 240 ลูก
ทว่า..ช่วงหลังจีนได้พัฒนากองทัพบก-เรือ-อากาศ-อวกาศ จนมีประสิทธิภาพทันสมัยขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกองทัพเรือจีนสามารถปฏิบัติการได้ไกลฝั่งมากขึ้น และมีขีดความสามารถมากขึ้น มีการเพิ่มจำนวนเรือดำน้ำ เรือพิฆาต เรือฟรีเกต และเครื่องบินรบทันสมัยยิ่งขึ้น รวมไปถึงการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินอีกหลายลำ อีกทั้งพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ทั้งยิงระยะใกล้และไกล วางระบบควบคุมบังคับการ การติดต่อสื่อสารด้วยระบบคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ฯลฯ
ในปี 2564-2583 จีนเชื่อว่า ขีดความสามารถกองทัพเรือจีน จะทัดเทียมกับสหรัฐฯ และรัสเซีย นั่นคือ จะสามารถปฏิบัติการทางการทหารได้ทุกแห่งในโลกใบนี้
สหรัฐฯปิดล้อมจีนด้วยการทำตัวเป็น“ตำรวจโลก” นั่นคือ หนุนให้ประเทศที่ขัดแย้งทางด้านเขตแดนที่มีทรัพยากรน้ำมันแข็งกร้าวต่อจีน เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯเข้ามาเป็น“คนกลาง”ไกล่เกลี่ย
เฮียเหลี่ยมเลยฉวยโอกาส “กอดขา”สหรัฐฯ เพราะเชื่อว่าศักยภาพกองทัพสหรัฐฯนั้นเหนือกว่าจีน โดยหวังว่า“พญาอินทรี”จะคุ้มครองรัฐบาล“ปูหนีบ” อีกทั้งช่วยเฮียเหลี่ยม-ฮุนเซนยึดบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาราบรื่น เฮียเหลี่ยมจึงสั่งรัฐบาล“ปูหนีบ“ให้ยกสนามบิน“อู่ตะเภา”เอาใจอเมริกาไงล่ะครับ
เอาล่ะ..กลับมาตามรอยเฮียเหลี่ยมฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันต่อดีกว่า...นิตยสาร Positioning ฉบับเดือนกรกฎาคม 2008 ระบุว่า นาย TE DUONG TARA ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority ได้รายงานต่อที่ประชุมอาเซียนครั้งที่ 4 ว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีปิโตรเลียม ว่า
ประเทศกัมพูชาได้มีการสำรวจแหล่งพลังงาน และได้พบแหล่งก๊าซ-น้ำมันทั้งบริเวณนอกและตามชายฝั่ง รวมทั้งทะเลสาบโตนเลใจกลางประเทศกัมพูชามากมาย และทางกัมพูชาได้ให้ต่างชาติ เข้าไปสำรวจขุดเจาะพื้นที่ นอกชาย ฝั่งในอ่าวไทยบางส่วนแล้ว เช่น เชฟรอนและปตท.สผ. บริษัทลูกของ ปตท. แม้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวยังทับซ้อนกันอยู่ แต่กัมพูชาและไทยได้มีข้อตกลงที่ลงตัวเรียบร้อยแล้ว
นัยตรงนี้คือ..แม้ไทย-กัมพูชายังไม่ได้แบ่งเขตแดน ในพื้นที่ทับซ้อนใต้ทะเลไทย-กัมพูชากันอย่างชัดเจน แต่รัฐบาล“ปูหนีบ”จงใจจะไม่สนใจเรื่องเขตแดนแล้ว หรือไม่สนใจว่าน้ำมันจะอยู่ในเขตแดนไทยมากกว่าฝั่งเขมร เพราะเฮียเหลี่ยมเร่งจะโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋า จึงใช้วิธีแบ่งน้ำมันกันคนละครึ่งไปเลยครับ
จังหวัดเกาะกง-ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งของกัมพูชา ที่มีทั้งก๊าซ-น้ำมันมหาศาล ทั้งยังอยู่ใกล้แหล่งขุดเจาะน้ำมันของบริษัทต่างๆที่ได้สัมปทานไปแล้ว ดังนั้น เฮียเหลี่ยมจึงเช่าเกาะกงจากฮุนเซน 99 ปี เพื่อใช้เป็นพื้นที่ให้บริการกับนักลงทุนธุรกิจน้ำมัน ด้วยการพัฒนาเกาะกงให้เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่
เรื่องนี้ พลเอกเตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา เป็นผู้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า
“หลังรัฐบาลทักษิณของไทยได้ให้ความช่วยเหลือกับกัมพูชา ในการสร้างถนนหมายเลข 48 ที่เชื่อมการเดินทางจากชายแดนไทย-เกาะกง ไปยังกรุงพนมเปญให้สะดวกขึ้น ทักษิณได้บอกว่า จะมาลงทุนธุรกิจพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยได้หารือกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเรียบร้อยแล้ว”
การเปิดถนนหมายเลข 48 ครั้งนั้น มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะน้องเขยทักษิณไปร่วมด้วย
เฮียเหลี่ยมได้ดึง นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์รอดส์ในประเทศอังกฤษมา มาร่วมธุรกิจในเกาะกงด้วย เพราะอัลฟาเยดเป็นคนที่ทักษิณสนับสนุนช่วยเหลือ ให้หากินอยู่ในอ่าวไทยมานานแล้ว
โดยในเดือนธันวาคม 2542 สื่อต่างชาติอย่างน้อย 2 แห่ง คือ Asian Economic News และนิตยสาร Offshore ได้ลงข่าวพร้อมกันว่า
หลังจากโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ได้จัดตั้ง บริษัท แฮร์รอดส์ เอเนอร์ยี (Harrods Energy) ในเมืองไทยต่อมาในปี 2547 ก็ได้สิทธิสำรวจน้ำมันใน 4 แปลงขุดเจาะของอ่าวไทย คือ B2/38, B11/32,B11/38 และ B12/32 ห่างจากชายฝั่งระยอง 150 กิโลเมตร โดยมีศักยภาพในการขุดเจาะน้ำมัน วันละ 8,000 บาร์เรล
การสำรวจขุดเจาะในครั้งนั้น Harrods Energy เป็นผู้ถือหุ้น 50% ในการลงทุนสำรวจ ขณะที่ ปตท.สผ.ถือหุ้นอีก 50 % ที่เหลือ ภายหลังนิตยสาร Positioning ในเครือ“เอเอสทีวีผู้จัดการ”รายงานว่า แฮร์รอดส์ เอเนอร์ยี ได้เปลี่ยนชื่อเป็น“เพิร์ลออยล์”แล้ว
บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ จดทะเบียนในเมืองไทย เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม2541 ต่อมาในปี 2547 ได้เปลี่ยนชื่อ เป็นเพิร์ล ออยล์ โดยการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ Pearl Energy Pte. Ltd. ที่มีฐานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยบริษัทนี้ กลุ่มทุนเทมาเส็ก (Temasek)แห่งสิงคโปร์ ได้ถือหุ้นผ่านทาง Mubadala Development
เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า “กลุ่มเทมาเส็ก”มีความสัมพันธ์แนบแน่น และเป็นผู้ซื้อดาวเทียมไทยคม ในช่วงที่ทักษิณเป็นนายกฯ ของประเทศไทย!
หุ้น เพิร์ลออยล์ มีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ในทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% คือ บริษัทเพิร์ลออยล์ (สยาม) คิดเป็น มูลค่า 99.994 ล้านบาท หรือเฉลี่ยราคาหุ้นละ 1,000 บาท มีผู้ถือหุ้นอื่นเป็นชาวแคนาดา 1 คน อินโดนีเซีย 3 คน อังกฤษ 1 คน และอเมริกา 1 คน ถือหุ้นเพียงคนละ 1 หุ้นโดย”เพิร์ลออยล์ (สยาม) จดทะเบียนอยู่ในหมู่เกาะฟอกเงินชื่อดัง“บริติชเวอร์จิน”
เฮียเหลี่ยมก็ตั้งหลายบริษัทไว้ทำมาหากิน แบบไม่โปร่งใสอยู่บนเกาะฟอกเงินแห่งนี้เช่นกัน!
แหม..กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม..หน้ากระดาษหมดเสียแล้ว..ฉบับหน้าเจอกันครับ
โดย : ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
มนุษย์-จะสูญสิ้นความดี ทันทีที่มนุษย์คนนั้นถูกความโลภยึดครองหัวใจ!
ภูมิภาคแถบบ้านเรากำลังยุ่งขิง เพราะ “พญาอินทรี”บินมาเผชิญหน้ากับ“มังกร” เพื่อแย่งยึดอำนาจและผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้
ประธานาธิปดีโอบามา ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงระหว่างประเทศใหม่ เนื้อหาหลักคือ การเพิ่มสัดส่วนกองกำลังทางทะเล ในภูมิภาคเอเซีย-แปซิฟิก เป็น 60% ภายในปี พ.ศ. 2563
ปัจจุบันอเมริกาวางกำลังทางทะเล 50:50 ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกกับแอตแลนติก โดยมีกองเรือรบประมาณ 285 ลำ
นอกจากเคลื่อนย้ายเรือรบแล้ว กลาโหมสหรัฐฯยังเพิ่มจำนวนการซ้อมรบร่วม ทั้งทางบก-น้ำ-อากาศ กับประเทศที่มีข้อตกลงทางทหารกับสหรัฐฯ และประเทศพันธมิตรที่ต่อต้านจีน ทั้งญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และออสเตรเลีย เป็นต้น
ปี 2554 กองทัพสหรัฐฯได้ซ้อมรบร่วมกับกองทัพ 24 ประเทศในเอเซีย-แปซิฟิก รวม 172 ครั้ง ปีนี้และปีต่อๆ ไปจะมีการซ้อมรบเพิ่มขึ้นมากมาย
นั่นยังไม่รวมการตั้งหน่วยบินสอดแนม ทางทะเลจีนใต้และทางตะวันตกของออสเตรเลีย อีกทั้งเพิ่มฐานปฏิบัติการเรดาร์สอดแนมในแดนจิงโจ้ตอนใต้ด้วย
นี่คือ แผน“ปิดล้อมจีน”ที่อเมริกาถือเป็นปรปักษ์สำคัญที่สุดในวันนี้!
จีนนั้น..เป็นประเทศที่เจริญเติบโตเร็วมาก จนกระทรวงกลาโหมของสหรัฐฯ ได้ประเมิน อำนาจทางการทหารของจีนล่าสุดว่า กองทัพจีนจะเป็นภัยคุกคามภูมิภาคนี้และต่อสหรัฐในอนาคต จนเกิดยุทธศาสตร์ปิดล้อมจีนทางการทหารของสหรัฐฯ
วันนี้กองทัพจีนยังด้อยกว่าสหรัฐ จากข้อมูลเปรียบกองทัพทั้งสองฝ่าย ในปี 2010 สหรัฐฯมีกำลังทหาร 1.58 ล้านคน-จีนมี 2.0 ล้านคน สหรัฐมีเครื่องบินรบ 2,379 ลำ-จีนมี 1,320 ลำ สหรัฐฯ มีเรือดำน้ำ 71 ลำ- จีนมี 65 ลำ สหรัฐฯ มีเรือรบ 57 ลำ-จีนมี 65 ลำ สหรัฐฯ มีเรือบรรทุกเครื่องบิน11 ลำ-จีนไม่มีสักลำ สหรัฐฯ มีจรวดนิวเคลียร์ 9,400 ลูก- จีนมี 240 ลูก
ทว่า..ช่วงหลังจีนได้พัฒนากองทัพบก-เรือ-อากาศ-อวกาศ จนมีประสิทธิภาพทันสมัยขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกองทัพเรือจีนสามารถปฏิบัติการได้ไกลฝั่งมากขึ้น และมีขีดความสามารถมากขึ้น มีการเพิ่มจำนวนเรือดำน้ำ เรือพิฆาต เรือฟรีเกต และเครื่องบินรบทันสมัยยิ่งขึ้น รวมไปถึงการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินอีกหลายลำ อีกทั้งพัฒนาหัวรบนิวเคลียร์ทั้งยิงระยะใกล้และไกล วางระบบควบคุมบังคับการ การติดต่อสื่อสารด้วยระบบคอมพิวเตอร์และดาวเทียม ฯลฯ
ในปี 2564-2583 จีนเชื่อว่า ขีดความสามารถกองทัพเรือจีน จะทัดเทียมกับสหรัฐฯ และรัสเซีย นั่นคือ จะสามารถปฏิบัติการทางการทหารได้ทุกแห่งในโลกใบนี้
สหรัฐฯปิดล้อมจีนด้วยการทำตัวเป็น“ตำรวจโลก” นั่นคือ หนุนให้ประเทศที่ขัดแย้งทางด้านเขตแดนที่มีทรัพยากรน้ำมันแข็งกร้าวต่อจีน เพื่อเรียกร้องให้สหรัฐฯเข้ามาเป็น“คนกลาง”ไกล่เกลี่ย
เฮียเหลี่ยมเลยฉวยโอกาส “กอดขา”สหรัฐฯ เพราะเชื่อว่าศักยภาพกองทัพสหรัฐฯนั้นเหนือกว่าจีน โดยหวังว่า“พญาอินทรี”จะคุ้มครองรัฐบาล“ปูหนีบ” อีกทั้งช่วยเฮียเหลี่ยม-ฮุนเซนยึดบ่อน้ำมันใต้ทะเลไทย-กัมพูชาราบรื่น เฮียเหลี่ยมจึงสั่งรัฐบาล“ปูหนีบ“ให้ยกสนามบิน“อู่ตะเภา”เอาใจอเมริกาไงล่ะครับ
เอาล่ะ..กลับมาตามรอยเฮียเหลี่ยมฮุบบ่อก๊าสและน้ำมันต่อดีกว่า...นิตยสาร Positioning ฉบับเดือนกรกฎาคม 2008 ระบุว่า นาย TE DUONG TARA ผู้อำนวยการ Cambodian National Petroleum Authority ได้รายงานต่อที่ประชุมอาเซียนครั้งที่ 4 ว่าด้วยเรื่องเทคโนโลยีปิโตรเลียม ว่า
ประเทศกัมพูชาได้มีการสำรวจแหล่งพลังงาน และได้พบแหล่งก๊าซ-น้ำมันทั้งบริเวณนอกและตามชายฝั่ง รวมทั้งทะเลสาบโตนเลใจกลางประเทศกัมพูชามากมาย และทางกัมพูชาได้ให้ต่างชาติ เข้าไปสำรวจขุดเจาะพื้นที่ นอกชาย ฝั่งในอ่าวไทยบางส่วนแล้ว เช่น เชฟรอนและปตท.สผ. บริษัทลูกของ ปตท. แม้บริเวณพื้นที่ดังกล่าวยังทับซ้อนกันอยู่ แต่กัมพูชาและไทยได้มีข้อตกลงที่ลงตัวเรียบร้อยแล้ว
นัยตรงนี้คือ..แม้ไทย-กัมพูชายังไม่ได้แบ่งเขตแดน ในพื้นที่ทับซ้อนใต้ทะเลไทย-กัมพูชากันอย่างชัดเจน แต่รัฐบาล“ปูหนีบ”จงใจจะไม่สนใจเรื่องเขตแดนแล้ว หรือไม่สนใจว่าน้ำมันจะอยู่ในเขตแดนไทยมากกว่าฝั่งเขมร เพราะเฮียเหลี่ยมเร่งจะโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋า จึงใช้วิธีแบ่งน้ำมันกันคนละครึ่งไปเลยครับ
จังหวัดเกาะกง-ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งของกัมพูชา ที่มีทั้งก๊าซ-น้ำมันมหาศาล ทั้งยังอยู่ใกล้แหล่งขุดเจาะน้ำมันของบริษัทต่างๆที่ได้สัมปทานไปแล้ว ดังนั้น เฮียเหลี่ยมจึงเช่าเกาะกงจากฮุนเซน 99 ปี เพื่อใช้เป็นพื้นที่ให้บริการกับนักลงทุนธุรกิจน้ำมัน ด้วยการพัฒนาเกาะกงให้เป็นเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่
เรื่องนี้ พลเอกเตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กัมพูชา เป็นผู้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า
“หลังรัฐบาลทักษิณของไทยได้ให้ความช่วยเหลือกับกัมพูชา ในการสร้างถนนหมายเลข 48 ที่เชื่อมการเดินทางจากชายแดนไทย-เกาะกง ไปยังกรุงพนมเปญให้สะดวกขึ้น ทักษิณได้บอกว่า จะมาลงทุนธุรกิจพลังงาน เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในกัมพูชา โดยได้หารือกับสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชาเรียบร้อยแล้ว”
การเปิดถนนหมายเลข 48 ครั้งนั้น มีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะน้องเขยทักษิณไปร่วมด้วย
เฮียเหลี่ยมได้ดึง นายโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด เจ้าของห้างแฮร์รอดส์ในประเทศอังกฤษมา มาร่วมธุรกิจในเกาะกงด้วย เพราะอัลฟาเยดเป็นคนที่ทักษิณสนับสนุนช่วยเหลือ ให้หากินอยู่ในอ่าวไทยมานานแล้ว
โดยในเดือนธันวาคม 2542 สื่อต่างชาติอย่างน้อย 2 แห่ง คือ Asian Economic News และนิตยสาร Offshore ได้ลงข่าวพร้อมกันว่า
หลังจากโมฮัมเหม็ด อัลฟาเยด ได้จัดตั้ง บริษัท แฮร์รอดส์ เอเนอร์ยี (Harrods Energy) ในเมืองไทยต่อมาในปี 2547 ก็ได้สิทธิสำรวจน้ำมันใน 4 แปลงขุดเจาะของอ่าวไทย คือ B2/38, B11/32,B11/38 และ B12/32 ห่างจากชายฝั่งระยอง 150 กิโลเมตร โดยมีศักยภาพในการขุดเจาะน้ำมัน วันละ 8,000 บาร์เรล
การสำรวจขุดเจาะในครั้งนั้น Harrods Energy เป็นผู้ถือหุ้น 50% ในการลงทุนสำรวจ ขณะที่ ปตท.สผ.ถือหุ้นอีก 50 % ที่เหลือ ภายหลังนิตยสาร Positioning ในเครือ“เอเอสทีวีผู้จัดการ”รายงานว่า แฮร์รอดส์ เอเนอร์ยี ได้เปลี่ยนชื่อเป็น“เพิร์ลออยล์”แล้ว
บริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ จดทะเบียนในเมืองไทย เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม2541 ต่อมาในปี 2547 ได้เปลี่ยนชื่อ เป็นเพิร์ล ออยล์ โดยการเข้ามาเทคโอเวอร์ของ Pearl Energy Pte. Ltd. ที่มีฐานอยู่ในประเทศสิงคโปร์ โดยบริษัทนี้ กลุ่มทุนเทมาเส็ก (Temasek)แห่งสิงคโปร์ ได้ถือหุ้นผ่านทาง Mubadala Development
เป็นที่รู้ๆกันอยู่ว่า “กลุ่มเทมาเส็ก”มีความสัมพันธ์แนบแน่น และเป็นผู้ซื้อดาวเทียมไทยคม ในช่วงที่ทักษิณเป็นนายกฯ ของประเทศไทย!
หุ้น เพิร์ลออยล์ มีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง ในทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทนั้น ผู้ถือหุ้นใหญ่ 99.99% คือ บริษัทเพิร์ลออยล์ (สยาม) คิดเป็น มูลค่า 99.994 ล้านบาท หรือเฉลี่ยราคาหุ้นละ 1,000 บาท มีผู้ถือหุ้นอื่นเป็นชาวแคนาดา 1 คน อินโดนีเซีย 3 คน อังกฤษ 1 คน และอเมริกา 1 คน ถือหุ้นเพียงคนละ 1 หุ้นโดย”เพิร์ลออยล์ (สยาม) จดทะเบียนอยู่ในหมู่เกาะฟอกเงินชื่อดัง“บริติชเวอร์จิน”
เฮียเหลี่ยมก็ตั้งหลายบริษัทไว้ทำมาหากิน แบบไม่โปร่งใสอยู่บนเกาะฟอกเงินแห่งนี้เช่นกัน!
แหม..กำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม..หน้ากระดาษหมดเสียแล้ว..ฉบับหน้าเจอกันครับ