เอเอฟพี - อิสราเอลเตรียมรับมือกับอิหร่านซึ่งจะกลายเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ในไม่ช้า และยอมรับว่าเหตุการณ์เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นภายใน 1 ปี หนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ส เผยวานนี้ (9)
รายงานระบุว่า อดีตนักการทูตอิสราเอล, เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง และอดีตผู้บัญชาการทหาร ร้องขอให้สถาบันเพื่อการศึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ (INSS) ศึกษาภาพจำลองสถานการณ์ในวันที่อิหร่านทดสอบอาวุธนิวเคลียร์
อิสราเอลยืนยันมาโดยตลอดว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้อิหร่านผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ ทว่าเริ่มเปลี่ยนแปลงท่าทีหลังจากที่ทราบรายงานล่าสุดจากองค์การสหประชาชาติ
ทบวงการปรมาณูระหว่างประเทศ (ไอเออีเอ) เผยวานนี้ (9) ว่า อิหร่านเริ่มเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่โรงงานแห่งใหม่ซึ่งสร้างอยู่ในภูเขาที่ระเบิดทำลายได้ยาก ทำให้โลกตะวันตกระแวงสงสัยยิ่งขึ้นว่า เตหะรานอาจซุ่มพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
จากการศึกษาสถานการณ์จำลองโดยผู้เชี่ยวชาญของไอเอ็นเอสเอส ซึ่งรวมถึงอดีตประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล และอดีตเจ้าหน้าที่ 2 คนในสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เมืองเทลอาวีฟ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไอเอ็นเอสเอสทำนายว่า หากอิหร่านทดสอบอาวุธนิวเคลียร์จะทำให้ดุลอำนาจในตะวันออกกลางเปลี่ยนไป
เมื่อถึงเวลานั้น สหรัฐฯ อาจทำข้อตกลงทางทหารกับอิสราเอล แต่จะขอมิให้อิสราเอลตอบโต้การกระทำของอิหร่าน ผู้เชี่ยวชาญระบุ
รัสเซียจะขอเป็นพันธมิตรกับสหรัฐฯ เพื่อป้องกันการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ในตะวันออกกลาง ขณะที่ซาอุดีอาระเบียน่าจะสานต่อโครงการนิวเคลียร์ของตนต่อไป รายงานดังกล่าวสรุป โดยมองจากนโยบายปัจจุบันของแต่ละประเทศ
นักวิเคราะห์จากไอเอ็นเอสเอสชี้ด้วยว่า การทดสอบอาวุธของอิหร่านในเดือนมกราคม ปี 2013 จะมีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีมะห์มูด อาห์มาดิเนจัด เสนอข้อเรียกร้องต่างๆที่เป็นการยั่วยุ เช่น ขอกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ระหว่างอิรักและอิหร่าน และโจมตีกองเรือที่ 5 ของสหรัฐฯ เป็นต้น
“ภาพจำลองสถานการณ์ชี้ให้เห็นว่าอิหร่านจะไม่ทิ้งโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ แต่จะใช้มันเป็นเครื่องต่อรองกับมหาอำนาจอื่นๆ เพื่อยกสถานะของตัวเองขึ้นมา” ส่วนหนึ่งของรายงานระบุ
ไทม์สเผยด้วยว่า ผลการศึกษาชิ้นนี้ถูกส่งไปถึงมือนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู แห่งอิสราเอลเรียบร้อยแล้ว
อิหร่านซึ่งยืนยันว่ากิจกรรมนิวเคลียร์ของตนเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในทางสันติ ย้ำว่าจะไม่หยุดเสริมสมรรถนะยูเรเนียมอย่างแน่นอน แม้องค์การสหประชาชาติจะออกมติเรียกร้องมาแล้วถึง 4 ครั้งก็ตาม
ขณะที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วไปใช้ยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะเพียง 3.5 เปอร์เซ็นต์ แต่อิหร่านอ้างว่า จำเป็นต้องใช้ยูเรเนียมเสริมสมรรถนะถึง 20 เปอร์เซ็นต์เพื่อผลิตไอโซโทปสำหรับรักษามะเร็ง