xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

E เห็บหมาแกล้งบ้า?!! ตำรวจไทยแกล้งโง่?!! สื่อหลักแกล้งไม่รู้ไม่เห็น?!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์- ถือเป็นเหตุการณ์ที่เหยียบย่ำหัวใจคนไทยผู้รักสถาบันเบื้องสูงอย่างยิ่ง เมื่อ เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันบริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยคำร้องร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายล้มล้างการปกครองหรือไม่

กล่าวคือ ในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน จะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาร่วมในการบันทึกภาพ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนที่จะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก

แต่นางฐิตินันท์กลับมีท่าทีหัวเราะชอบใจ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นได้เข้าระงับเหตุ ก่อนนำตัวนางฐิตินันท์ไปสงบสติอารมณ์ที่เต้นท์อำนวยการของเจ้าหน้าที่ทันที

จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครทราบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีกับนางฐิตินันท์หรือไม่ แถมยังมีท่าทีรวบรัดอย่างผิดปกติโดยอ้างว่า นางฐิตินันท์เป็นคนวิกลจริต เนื่องจากญาติได้นำหลักฐานการรักษาอาการทางจิตมายืนยัน แต่กลับเกิดกระแสข่าวว่านางฐิตินันท์กำลังเดินทางออกนอกประเทศ ส่งผลให้ประชาชนคนไทยผู้จงรักภักดีทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาสำแดงพลังเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ นางฐิตินันท์เป็นใครมาจากไหน มีปัญหาทางสุขภาพจิตจริงหรือไม่ ถ้าจริง ทำไมถึงเป็นผู้ป่วยโรคจิตที่มีทัศนคติเชิงลบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ หรือเป็นโรคจิตเฉพาะเมื่อต้องการหลีกเลี่ยงกฎหมาย เพราะในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีปัญหาทางจิตมีหลายประเภท และหลายประเภทก็สามารถควบคุมรักษาอาการได้ มิใช่จะต้องวิกลจริตหรือบ้าซึ่งต้องควบคุมตัวเอาไว้เท่านั้น

และคำถามที่เกิดขึ้นก็คือ ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมีท่าทีต่อบุคคลที่แสดงอาการอาฆาตมาดร้ายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เช่นนี้ เพราะไม่ทราบว่าไปนั่งฝึกวิชาเข้าทรงที่ไหนมาถึงได้ออกมาฟันธงเปรี้ยงเลยว่า นางฐิตินันท์เป็นคนบ้า วิกลจริต

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของประชาชนผู้จงรักภักดีเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อ นายโชติ เนืองนันท์ คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี และประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันของชาติ จ.จันทบุรี พร้อมด้วยคณะอาจารย์ ได้ยื่นหนังสือถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขอให้ดำเนินคดี พร้อมระงับการเดินทางออกนอกประเทศต่อนางฐิตินันท์ รวมทั้งตรวจสอบและดำเนินการทางวินัยต่อ ผกก.สน.ทุ่งสองห้อง ที่อาจละเลยการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินคดีต่อนางฐิตินันท์ โดยยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาใดๆ ทั้งที่เป็นความผิดซึ่งหน้า และเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ที่ผู้ใดจะละเมิดมิได้

ขณะที่ความเคลื่อนไหวในสังคมออนไลน์ก็เป็นไปอย่างเผ็ดร้อน เรื่องนี้ได้กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดีย ซึ่งก็มีบุคคลที่มีความจงรักภักดีออกมาโพส ข้อความถึงเหตุการณ์นี้กันอย่างยกใหญ่

อาทิ Paporn Pumpai ไม่เข้าใจเวลาคนชั่วมันทำชั่วทำเลวแล้วต้องคิดว่ามันบ้าด้วย มันชั่วมันเลวโดยสันดานก้อควรที่จะให้มันได้รับโทษที่มันทำไม่ใช่หาสาเหตุว่ามันทำทำไมแล้วก้อกลายเป็นว่า มันบ้า แล้วก้อพ้นผิด โถ่ กฎหมายไทย

Kukkuk Jang มันไม่ได้บ้าหรอก แต่ทำพวกมัน..ตำรวจแดง..แม่งช่วยเหลือกันนะสิ , Chanokporn Yomsung โชคดีเนาะเลือกบ้าได้...เวร , Wanchart Jongmeerak บ้า แล้วทำไมทำเรื่องชั่วๆ พูดจาเป็นเรื่องเป็นราวได้เป็นวรรคเป็นเวร ,Kukkuk Jang เราคนนึงละไม่เชื่อว่าอีแก่..นี่บ้า..ที่ทำบ้านะ..เพราะตอนนี้มันดังในทางชั่ว อัปรีย์ ไปทั่วเมืองไทย และคิดว่านี่คือการช่วยเหลืออีกแบบหนึ่งของไอ้พวกหมิ่น...ทำอย่างอื่นไม่ได้นอกจากบอกว่า บ้า บ้า บ้า บ้า บ้าบ้าน...มันสิ

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่าจะไม่หมดแค่การระบายความรู้สึกต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงเท่านั้น เพราะมีประชาชนส่วนหนึ่งในโซเชียลมีเดียได้เดินทางไปที่ สน.ทุ่งสองห้อง เพื่อติดตามความคืบหน้าในคดีนางฐิตินันท์ โดยทางตำรวจได้ให้ข้อมูลบางส่วนเพียงว่า คดีเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะมีคณะทำงานดำเนินการ แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นหน่วยงานไหน พร้อมทั้งระบุว่าได้ยกเลิกหนังสือเดินทางของนางฐิตินันท์ไปแล้ว แต่ไม่สามารถแสดงหลักฐานได้ เนื่องจากทั้งหมดไม่ใช่เจ้าทุกข์

จากนั้นในเวลาไล่เลี่ยกันไม่นานนักก็ปรากฏข่าวว่า นางฐิตินันท์เตรียมเดินทางกลับประเทศนิวซีแลนด์ด้วยเที่ยวบินที่ TG 491 ในวันที่ 17 ก.ค. 55 เวลา 18.40 น. ในขณะที่ตำรวจไม่ได้มีการระงับการเดินทางออกนอกประเทศของนางฐิตินันท์แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่คดีดังกล่าวยังไม่มีการพิสูจน์ว่านางฐิตินันท์เป็นผู้วิกลจริตจริงตามที่ญาติกล่าวอ้างหรือไม่ จึงทำให้มีประชาชนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันไปที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อหยุดยั้งการเดินทางไปทางประเทศของนางฐิตินันท์ตามกระแสข่าวที่ได้รับมา

โดยในป้ายต่างๆของบุคคลเหล่านี้ก็ได้แสดงเจตนารมณ์ชัดเจน อาทิ นางคนนี้หมิ่นพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอให้ทางการจับมาลงโทษ ซึ่งมีทั้งข้อความภาษาไทยและอังกฤษ รวมไปถึงป้ายประกาศจับ อีเห็บหมา ที่สื่อไปถึงนางฐิตินันท์อีกด้วย

ทว่า ในที่สุด นางฐิตินันท์ ไม่ได้ปรากฏตัวแต่อย่างใด

ทั้งนี้ บางกระแสข่าวระบุว่า กัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลต์บินดังกล่าวได้ประกาศว่า เขาและลูกเรือจะไม่ทำการบิน หากนางฐิตินันท์ มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ ได้บอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่า นางฐิตินันท์ ไม่ได้มาเช็กอิน แต่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเมื่อแน่ใจว่า นางฐิตินันท์ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์ ประชาชนที่ไปรวมตัวดักรอนางฐิตินันท์ จึงสลายตัวในเวลาต่อมา

แหล่งข่าวระบุว่ามีเพียงสามีของนางฐิตินันท์เท่านั้นที่โดยสารไป ส่วนนางฐิตินันท์ยังไม่ได้โดยสารขึ้นเครื่อง เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองบังคับให้นางฐิตินันท์ทำเอกสาร แต่ไม่สำเร็จ ทำได้เพียงส่งสามีของนางฐิตินันท์ผ่านช่องทางวีไอพีของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ต้องบอกว่า น่าชื่นชมการแสดงพลังของกลุ่มคนดังกล่าวที่ได้เดินทางมาแสดงตัวคัดค้านการเดินทางออกนอกประเทศของนางฐิตินันท์ เนื่องจากบังเกิดความกังวลว่า นางฐิตินันท์อาจจะลอยนวลหายไปในกลีบเมฆเมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้ภายใต้การทำงานของตำรวจไทย เพราะเมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นแต่แรกแล้วก็ต้องบอกว่าแสนจะห่วยบรม ไม่เอาอ่าวมากเพียงใด

นับตั้งแต่เกิดเรื่องราว เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ว่าตัวเล็ก ตัวใหญ่ ไม่มีใครหน้าไหนออกมาประกาศยืนยันได้เลยว่าหลังจากวันที่นางฐิตินันท์ก่อเหตุย่ำยี หัวใจผู้จงรักภักดีทั้งประเทศ ตัวเป็นๆของนางฐิตินันท์ไปสถิตอยู่แห่งหนใด ไม่มีตำรวจหน้าไหนออกมาบอกว่า จะดำเนินคดีต่อนางฐิตินันท์อย่างไร ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ก็คือ พฤติกรรมของเธอเป็นความผิดซึ่งหน้า ถ้าจะว่าไปแล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็สามารถที่จะจับกุมและดำเนินคดีตามความผิดกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่กลับกลายเป็นว่า ทางตำรวจออกมาฟันธงเปรี้ยงเสียเสร็จสรรพว่า เธอวิกลจริต นี่ยังไม่นับรวมหากจะตั้งคำถามว่า หากไม่มีเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์โดยกลุ่มคนที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมของนางฐิตินันท์ ป่านนี้ตัวเธอก็อาจจะบินหายลับไปกลับสายลมแล้วก็ได้ โดยไม่มีประชาชนหน้าไหนทราบก็เป็นได้

ส่วนประวัติและความเป็นมาของนางฐิตินันท์นั้น จากการตรวจสอบพบว่า ที่อยู่ตามบัตรประชาชนของนางฐิตินันท์คือ บ้านเลขที่ 95/70 ซ.วัดเวฬุวนาราม 5แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กทม. และทำธุรกิจส่วนตัวเปิดร้านอาหารไทยอยู่ที่ประเทศนิวซีแลนด์
 

ขณะที่ในโลกโซเชียลมีเดียยังมีการตั้งข้อสังเกตอีกว่า นางฐิตินันท์ไม่น่าจะเป็นคนสติไม่ปกติ เพราะมีเฟซบุ๊คส่วนตัวซึ่งได้โพสต์ภาพตัวเองและครอบครัว ระบุสถานะว่า “ไม่เคยทำงาน เลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน ดูแลสามี สามีเป็นนายจ้าง มีความสุขที่สุด” และใช้ชีวิตอยู่ที่ Christchurch New Zealand พร้อมกับระบุชื่อเดิมว่า จินตหรา เกิดที่ อ.พล จ.ขอนแก่น แต่มาอาศัยอยู่ที่ กทม.

ที่น่าสนใจคือในเฟซบุ๊คของนางฐิตินันท์ มีการกดไลค์เพจของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเพื่อนกับ นายอดิศร เพียงเกษ และนายขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ วิสา คัญทัพด้วย นอกจากนี้ยังคลิกไลค์เพจ “รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง”

ทั้งนี้จากการตรวจสอบเพื่อนขอนางฐิตินันท์ มีจำนวนไม่น้อยที่แสดงออกชัดเจนว่าเป็นคนเสื้อแดง เช่น ผู้ที่ใช้ชื่อว่า “ที่รักจ๋า ตามหาประชาธิปไตย”ซึ่ง คลิกไลท์ เพจ ปฏิญญาหน้าศาล ร้องเดินหน้าแก้ รธน. เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ที่จะต้องเอ่ยถึงก็คงไม่พ้นสื่อกระแสหลัก ที่ไม่ได้มีการเสนอข่าวเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้เท่าใดนัก โดยข้อมูลของนางฐิตินันท์ที่พรั่งพรูออกมานั้น ก็คงต้องบอกว่า มาจากคนในโซเชียลมีเดียเสียส่วนใหญ่ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นเหตุผลที่ทำให้ข้อมูลสับสน เพราะประชาชนที่เคยเป็นแค่พลเมือง ต้องพลิกบทบาทมาเป็นผู้สื่อข่าว รายงานสถานการณ์แข่งกับเวลา แต่ก็ขาดการกลั่นกรองจนทำให้เกิดความสับสนด้วยเช่นเดียวกัน

สื่อหลักต่างๆ อย่างสื่อหนังสือพิมพ์หัวยักษ์ หรือฟรีทีวีต่างๆ มิได้อนาทรร้อนใจต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงแก่รายนี้ ไทยรัฐ มติชน หรือฟรีทีวีช่อง 3 รวมไปถึงรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ช่างขยันสรรหาประเด็นข่าวร้อนๆ มานำเสนอ กลับมิได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวมาติดตามความคืบหน้า

อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่จะต้องเกิดขึ้นก็คือนางฐิตินันท์เป็นบ้าอย่างที่ทางตำรวจกล่าวอ้างหรือไม่ ยิ่งถ้าหากจะพิจารณาตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็น่าคิดเป็นอย่างยิ่ง อาทิ นางฐิตินันท์ช่างบังเอิญเป็นบ้าได้อย่างแสนร้ายกาจ เพราะฤทธิ์ดันมาออกตรงกับวันที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะตัดสินชี้เป็นชี้ตายว่าจะยุบพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งก็นับเป็นวันหนึ่งที่เป็นวันรวมตัวของกลุ่มคนเสื้อแดงทั้งหลายอีกด้วย

และเหตุอันใดถ้าเกิดวิกลจริตจริง นางฐิตินันท์ถึงได้มีการจองตั๋วเครื่องบินไปกลับไทย-นิวซีแลนด์เสียเรียบร้อยเสร็จสรรพอย่างที่เป็นข่าวออกมาด้วย เพราะนี่ไม่ใช่วิสัยของคนบ้าที่จะเดินทางไปต่างประเทศได้สนุกสนานเหมือนคนปกติทั่วไป เพราะสายการบินก็จะมีการตรวจอย่างเข้มงวดว่า ผู้เดินทางมีประวัติการป่วยทางจิตอย่างไรด้วยหรือไม่

ทั้งนี้ นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภาแบบสรรหา อาจารย์ทางกฎหมายที่ประชาชนรู้จักอย่างแพร่หลาย ได้กล่าวว่า สำหรับข้อหาดังกล่าวนั้น เท่าที่ทราบในระยะหลังนี้เมื่อกระทำความผิดและพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาแล้วจะไม่อนุญาตให้ประกันตัว และต้องนำตัวส่งศาล เพื่อให้ศาลเป็นผู้พิจารณาในการประกันตัว ส่วนผู้ต้องหาจะอ้างว่า ในช่วงที่กระทำความผิดนั้น ไม่รู้ตัว เพราะสติฟั่นเฟือน ก็เป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์กันในทางการแพทย์ แต่ดูจากกรณีของนางฐิตินันท์ที่อ้างว่าสติไม่ดีนั้น ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะถึงขั้นเตรียมตัวที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ถือเป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความจริงอันโหดร้ายของประชาชนผู้จงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงก็คือ ตลอดเวลาที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยมีการพิสูจน์ข้อเท็จจริงเบื้องต้นว่านางฐิตินันท์ มีอาการวิกลจริตหรือไม่อย่างไร แต่กลับกลายเป็นว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียเองกลับออกมาให้ข่าวในลักษณะเป็นคุณต่อนางฐิตินันท์ เรียกว่าทำหน้าที่ได้สมกับความตั้งใจของประชาชนที่อยากจะให้มีคนแจ้งความจับตำรวจในละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในความผิดซึ่งหน้าเสียด้วยซ้ำ เพราะตำรวจทำให้ผู้คนในสังคมเต็มไปด้วยคำถาม จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนเลือกที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะคงจะทนต่อสถานะเกียร์ว่างของตำรวจต่อไปไม่ไหว

และกว่าสังคมจะรับทราบรับรู้ถึงสถานะของตัว นางฐิตินันท์ ก็ปาเข้าไปของวันที่ 18 ก.ค.เข้าไปแล้ว ทั้งที่เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 13.ก.ค.ด้วยซ้ำ โดย พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตำรวจยังคงควบคุมตัวนางฐิตินันท์ไว้ และมีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นเบื้องสูง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไว้ และไม่ได้มีการปล่อยตัวแต่อย่างใด โดยขณะนี้ได้ส่งตัวไปสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เนื่องจากต้องรอการตรวจสอบสภาพจิต อีกทั้งตำรวจได้มีการยึดหนังสือเดินทางของนางฐิตินันท์ไว้ กระแสข่าวที่ออกมาตามโชเชียลมีเดียว่ามีการปล่อยตัวและผู้ต้องหาไปยังสนามบินสุวรรณภูมิ และจะเดินทางไปยังประเทศนิวซีแลนด์นั้นจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

“ข้อมูลตามที่ปรากฏไปตามสื่อต่างๆ ทั้งการที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจละเลย ปล่อยให้บุคคลดังกล่าวกำลังจะเดินทางขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ ไม่จริงทั้งสิ้น สน.ทุ่งสองห้อง และสภ.ศาลายาเฝ้าอยู่แต่แรกตั้งแต่ก่อเหตุ พาสปอร์ตของผู้ต้องหาก็อยู่พนักงานสอบสวน ตร.ขอชี้แจงความจริง พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐานและรอผลตรวจมาประกอบต่อไป”โฆษก ตร.กล่าว

... พระเจ้าช่วยกล้วยทอด คงต้องบอกว่า ถ้าพูดจาฉะฉานเช่นนี้แล้วเสียตั้งแต่แรก ประชาชนหลายคนก็คงไม่ต้องมาเหนื่อยออกแรงคัดค้านเสียให้เวลาทำมาหากินตั้งนมนาน แต่ก็คงเพราะเห็นว่าขืนปล่อยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำงานไปเรื่อยๆ เฉื่อยๆ ดั่งที่ผ่านมา ก็คงกลัวว่าคดีนี้จะหายวับไปกับตาเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกระมังถึงได้ออกมารวมตัว แสดงพลังกันอย่างกว้างขวางอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้

และยิ่งถ้าจะกล่าวถึงในมุมตำรวจที่ตั้งข้อกล่าวหาด้วยแล้ว ก็ไม่ควรด่วนสรุปว่านาง ฐิตินันท์ เป็นคนวิกลจริต เพราะในความเป็นจริง ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตไม่จำเป็นต้องมีอาการหวาดระแวงทุกราย และผู้ป่วยที่มารักษาที่ รพ.ศรีธัญญา ก็ไม่จำเป็นต้องอาการทางจิตเฉพาะแค่คนบ้าเท่านั้น

แม้แต่แค่นอนไม่หลับ หรือมีความกังวลเรื่องใดๆ มากเกินไปก็สามารถไปปรึกษากับจิตแพทย์ได้

ที่สำคัญคือกฎหมายที่ให้งดเว้นโทษในผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตนั้น จะงดเว้นในกรณีที่มีการวินิจฉัยว่ามีอาการหวาดระแวง (paranoid delusion) เท่านั้น ถ้าไม่มีอาการแบบนี้กฎหมายไม่ยกเว้นโทษ

ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๖๕ ระบุว่าผู้ใดกระทำความผิด ในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้นแต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

กล่าวคือ มาถึงตอนนี้ นางฐิตินันท์ ก็มีสิทธิ์ที่จะถูกดำเนินคดีได้เช่นกัน หากตรวจสอบแล้วว่าไม่ได้เป็นวิกลจริตอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบออกมาฟันธง ซึ่งจะว่าไปแล้วทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีอำนาจวินิจฉัยและเป่าคดีเอง ถ้าผู้ต้องหาวิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ก็ต้องส่งเข้าโรงพยาบาลโรคจิตก่อน รักษาหายแล้วค่อยพิจารณาคดีต่อ

ดังนั้น คงต้องติดตามกันไปว่าชะตากรรมของ นางฐิตินันท์ หรือที่ประชาชนคนรักสถาบันเบื้องสูงตั้งชื่อให้ว่า "อีเห็บหมา" จะจบลงเช่นไร แต่ที่แน่ๆ หลังจากเกิดปรากฏการณ์นี้ก็ทำให้เห็นถึงอานิสงส์อย่างหนึ่งของสังคมไทยก็คือ เราได้เห็นกลุ่มคนที่พร้อมจะมาต่อสู้กับขบวนการคิดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูงและลุกขึ้นสู้ในสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกไม่ควร ไม่ได้หวังพึ่งพาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่พร้อมจะหลับหูหลับตาทำงาน บกพร่องการปฏิบัติหน้าที่ไปวันๆ ซึ่งหลังจากที่ประชาชนได้เห็นการทำหน้าที่ของตำรวจไทยในเรื่องการปกป้องสถาบันเบื้องสูงแล้ว คำว่าไว้อาลัย น่าจะเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์



กำลังโหลดความคิดเห็น