ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
มีพฤติกรรมสองประการของแกนนำเสื้อแดงและรัฐบาลที่น่าสนใจในขณะนี้ พฤติกรรมแรกคือ การชูก้ามคับประเทศ เกิดขึ้นเมื่อประชาชนส่วนหนึ่งรู้ทันว่ารัฐบาลและพรรคเพื่อไทยกำลังจะนำพาประเทศไปสู่ระบอบที่คล้ายกับระบอบเผด็จการนาซี และดำเนินการขัดขวางโดยใช้กระบวนการทางกฎหมาย จนทำให้แกนนำเสื้อแดงน้อยใหญ่ออกมาแสดงอาการข่มขู่ คุกคามศาล
ส่วนประการที่สองคือ การซบแทบเท้าสหรัฐอเมริกา เริ่มมาตั้งแต่หัวหน้าใหญ่นักโทษชายหนีคุกอยากได้วีซ่าเข้าประเทศสหรัฐอเมริกา เกือบถวายอธิปไตยของไทยให้อเมริกาได้สำเร็จหากไม่มีการต่อต้านจากประชาชน และเมื่อฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐมาเยือนกัมพูชา และเรียกให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรไปพบ เธอก็ลนลานบินไปหาตามคำสั่งอย่างไม่รอช้า
การชูก้ามคับประเทศมีเจตนาข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ ของแกนนำเสื้อแดงกระทำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของประชาชนให้วินิจฉัยว่า การแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 291 ของรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยถือเป็นการล้มล้างระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 หรือไม่
พฤติกรรมการข่มขู่และโจมตีศาลรัฐธรรมนูญโดยแกนนำเสื้อแดงและคนของพรรคเพื่อไทยทำอย่างเป็นกระบวนการต่อเนื่องในทุกระดับตั้งแต่ลิ่วล้อแบบตลกคาเฟ่ จนไปถึงหัวหน้าใหญ่อาชญากรหนีคุกอย่าง นช.ทักษิณ ชินวัตรซึ่งกล่าวเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2555 ว่า “ขบวนการปล้นอำนาจกำลังเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้ชะลอไว้ไม่ให้โหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ” การกล่าวแบบนี้เป็นการแสดงอาการไม่ยอมรับกฎหมายบ้านเมืองอีกครั้งของ นช. ทักษิณ ชินวัตร มิหนำซ้ำยังพูดชี้นำยุยงประชาชนว่า “ จะปล่อยให้กระบวนการปล้นอำนาจเกิดขึ้นอีกครั้งหรือ ตกลงจะยอมรับอำนาจที่ไม่มีอำนาจหรือ” คำพูดเช่นนี้มีนัยอย่างชัดเจนในการกระตุ้นให้ประชาชนไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ
การไม่ยอมรับอำนาจศาลและกระทำตัวเป็นอันธพาลอยู่เหนือกฎหมายของ นช. ทักษิณ ชินวัตร เป็นพฤติกรรมที่เขาแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคราใดก็ตามที่ศาลตัดสินไม่เป็นคุณต่อตัวเขาและเครือญาติของเขา ครานั้นพฤติกรรมอันธพาลก็สำแดงออกมาให้ประจักษ์สายตาแก่ชาวโลก แต่หากคราใดศาลตัดสินในทางที่เป็นคุณแก่เขาและเครือญาติ ครานั้นก็จะแสดงวาจาชื่นชมศาล พฤติกรรมกลับไปกลับมาของ นช.ทักษิณ ที่มีต่อศาลนั้นเป็นสิ่งบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่อยู่ในจิตใจของเขาว่า เขาไม่ยอมรับกฎหมายบ้านเมืองและไม่ยอมรับอำนาจศาลอันเป็นอำนาจอธิปไตยที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ
เมื่อลูกพี่แสดงพฤติกรรมไว้เป็นแบบอย่างเช่นนี้แล้ว มีหรือลูกน้องจะไม่นำไปปฏิบัติตาม โดยเฉพาะสมุนผู้พยายามทำตัวเด่นเพื่อให้เข้าตาเจ้านาย อย่างผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายที่ชื่อ ก่อแก้ว พิกุลทอง บุคคลผู้นี้ประกาศศักดา ชูก้าม ชูหาง ราวกับว่าประเทศนี้เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ซึ่งที่จริงก็เป็นเช่นนั้นนับตั้งแต่มีแก๊งอันธพาลเสื้อแดงครองเมือง
ข่าวจากเว็บไซด์ผู้จัดการ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ก่อแก้ว พิกุลทอง กล่าวว่าหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการดำเนินการเพื่อล้มล้างการปกครอง พวกตนก็เตรียมพร้อมอยู่แล้ว และก็ขอให้คนเสื้อแดงร่ำลาครอบครัวเอาไว้ได้เลย เพราะจะเป็นการต่อสู้ที่แตกหักอย่างแน่นอน เพราะหากศาลวินิจฉัยเช่นนั้น ประชาชนที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และสนับสนุนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ คงจะไม่รับฟังคำตัดสินครั้งนี้ และจะดำเนินการไปสู่การจับกุมศาล หากตำรวจไม่กระทำตาม ประชาชนก็จะดำเนินการเอง ซึ่งกลุ่มอำมาตย์ก็คงจะจัดมวลชนออกมาต่อสู้เพื่อปกป้องศาล และเมื่อประชาชนสองกลุ่มขัดแย้งและปะทะกัน ทางทหารก็จะต้องออกมาเพื่อยึดอำนาจ ซึ่งคนเสื้อแดงจะต่อสู้กับทหารอย่างตาต่อตา ฟันต่อฟัน สุดท้ายความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นอย่างมากมาย ที่ตนพูดเช่นนี้ไม่ได้เป็นการข่มขู่ แต่ตนยอมรับว่าคนเสื้อแดงมีจำนวนเยอะ ซึ่งบางกลุ่มก็เห็นว่าการต่อสู้ของแกนนำที่จะชุมนุมประท้วงนั้น นานเกินไปกว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะฉะนั้นก็อาจจะก่อความรุนแรงได้
สิ่งที่ผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายกล่าวข้างต้น ก็คือการเตรียมการก่อการร้ายครั้งต่อไปโดย 1) ดื้อแพ่งไม่รับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ หากคำตัดสินของศาลไม่ถูกใจพวกตนเอง 2) ยุยงมวลชนเสื้อแดงให้ใช้อำนาจเถื่อนจับกุมตัวตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และ 3) ให้ต่อสู้ด้วยความรุนแรง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพราะการชุมนุมประท้วงไม่ได้ผล เนื่องจากใช้เวลานานเกินไป
ผมตีความว่าสัญญาณเชิงสัญลักษณ์ที่นายก่อแก้ว ประกาศต่อสังคมมีนัยถึงการเตรียมยึดอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จ โดยใช้วิธีการก่อการร้ายจับผู้คนเป็นตัวประกันและใช้ความรุนแรง ทั้งนี้จะปฏิบัติการโดยกองกำลังมวลชนเสื้อแดงและกองกำลังติดอาวุธเสื้อดำ
พฤติกรรมการใช้มวลชนและกองกำลังเถื่อนกึ่งทหารข่มขู่ คุกคามและทำร้ายผู้คนเป็นพฤติกรรมเดียวกับการที่พรรคนาซีของฮิตเลอร์ใช้กองกำลังพลพรรคพรรคนาซีหรือหน่วยเอสเอ- The Sturmabteilung (SA) ซึ่งเป็นกองกำลังมวลชนจัดตั้งกึ่งทหารจัดการกับบรรดาผู้ที่ไม่เห็นด้วยหรือมีพฤติกรรมต่อต้านพรรคนาซี ฮิตเลอร์ใช้กองกำลังเอสเอเป็นฐานในการเข้าสู่อำนาจในประเทศเยอรมัน ส่วนพรรคเพื่อไทยใช้มวลชนเสื้อแดงและกองกำลังเสื้อดำขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง
สำหรับกองกำลังมวลชนติดอาวุธของพรรคนาซีอีกหน่วยหนึ่งคือ กองกำลังพิทักษ์ผู้นำ The Schutzstaffel (SS) ซึ่งเป็นหน่วยที่เริ่มจากการพิทักษ์การประชุมของพรรคนาซีที่เมืองมิวนิค ต่อมากลายเป็นกองกำลังพิทักษ์ฮิตเลอร์ จากนั้นพัฒนาไปสู่การเป็นหน่วยรบของพรรคนาซีที่มีกำลังพลถึง 52,000 คน เป็นหน่วยที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการเข่นฆ่า กวาดล้าง ศัตรูทางการเมืองของพรรคนาซี และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
หากเปรียบไปแล้วมวลชนเสื้อแดงก็เปรียบเสมือนกองกำลังเอสเอ ส่วนกองกำลังติดอาวุธเสื้อดำก็เปรียบเสมือนกองกำลังเอสเอสของพรรคนาซี ส่วนพรรคเพื่อไทยก็กระทำการหลายประการที่คล้ายคลึงกับพรรคนาซี เช่น การใช้เสียงส่วนใหญ่ในสภาออกกฎหมาย ทำลายรัฐธรรมนูญที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้อำนาจตนเอง และเตรียมการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อกระชับอำนาจของพรรคให้เข้มแข็งขึ้น คล้ายคลึงกับที่ฮิตเลอร์เสนอร่างกฎหมายที่ให้อำนาจ (Enabling Act) โดยแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้รัฐบาลบริหารประเทศด้วยกฎหมายที่ให้อำนาจเบ็ดเสร็จเป็นเวลาสี่ปี ในการประชุมสภาไรค์ซตาก ฮิตเลอร์ใช้หน่วยเอสเอสที่ติดอาวุธล้อมรอบห้องประชุม ท้ายที่สุดกฎหมายนี้เป็นไปตามที่ฮิตเลอร์ต้องการ ทำให้รัฐบาลฮิตเลอร์มีอำนาจเด็ดขาดและเป็นอิสระจากการควบคุมของประธานาธิบดีและรัฐสภา ทั้งยังมีอำนาจในการเสนอกฎหมายแทนสภาไรค์ซตาก และมีอำนาจเต็มในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ตามความใจชอบ
การที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์กับพรรคเพื่อไทยต้องการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับอย่างแรงกล้าและแกนนำเสื้อแดงอย่างก่อแก้ว พิกุลทองประกาศแตกหักกับศาลรัฐธรรมนูญ หากการวินิจฉัยไม่ตรงกับความต้องการของพวกเขา เพราะบรรดาคนเหล่านี้ประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการใช้อำนาจรัฐเป็นระบบแบบใหม่ที่ทำให้พวกตนเองสามารถใช้อำนาจรัฐตามแต่ใจปรารถนา และเป็นอิสระจากการถูกตรวจสอบและควบคุมทั้งปวงเหมือนกับที่ฮิตเลอร์เคยทำนั่นเอง
บางคนอาจจะคิดว่าผมกล่าวเกินเลยไป แต่หากดูพฤติกรรมของ นช.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคการเมืองทุกพรรคที่เขาตั้งขึ้นมา ก็จะเห็นความคล้ายคลึงแบบแผนการรวบอำนาจที่ฮิตเลอร์เคยทำสำเร็จมาก่อนในประเทศเยอรมัน แบบแผนเหล่านั้น เช่น การไม่ยอมรับการตรวจสอบของสภาและองค์กรอิสระ ไม่เคยเข้าไปตอบกระทู้ในสภา ไม่เคยยอมให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ การบริหารแบบสั่งการไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น การใช้ความรุนแรงผ่านนโยบายปราบยาเสพติดจนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตหลายพันคน และการใช้ความรุนแรงกับชาวมุสลิมในสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จนอาจเข้าข่ายเป็นอาชญากรต่อมนุษยชาติเหมือนกับที่ฮิตเลอร์เคยกระทำต่อชาวยิว
ส่วนพฤติกรรมการลนลานเข้าไปซบแทบเท้าสหรัฐอเมริกาของรัฐบาลไทย เกิดขึ้นเมื่อ นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐเรียกน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีประเทศไทยเข้าไปพบที่ประเทศกัมพูชา ในวันที่ 13 ก.ค. ในวันดังกล่าวมีการจัดการประชุมของหอการค้าอเมริกันในประเทศกัมพูชา ที่โรงแรม Le Meridien Argkor เมืองเสียมเรียบ ภายใต้หัวข้อ “Commitment to Connectivity C2C :The US - ASEAN Business Forum”
คนสำคัญที่เข้าร่วมเช่น นางฮิลลารี่ คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจชาติต่างๆในอาเซียน เช่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มาเลเซีย รัฐมนตรีต่างประเทศและการค้าประเทศบรูไน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของฟิลิปปินส์ และนายกรัฐมนตรีประเทศไทย
คนสำคัญประเทศอื่นในละแวกนี้ที่ไปร่วมงานนี้เป็นแค่ รัฐมนตรีต่างประเทศ แต่ของประเทศไทยเป็นถึงนายกรัฐมนตรี ซึ่งไปร่วมงานโดยไม่แยแสกับพิธีการทางการทูตและศักดิ์ศรีของประเทศแม้แต่น้อย มีที่ไหนผู้นำการบริหารสูงสุดของประเทศที่มีความอิสระอย่างประเทศไทย ยอมเดินทางไปพบกับรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ในประเทศกัมพูชา อย่างนี้เท่ากับว่าประเทศไทยเป็นแค่ลูกไล่ลูกน้องลูกสมุนของสหรัฐอเมริกาหรือไร เมื่อเจ้านายเรียกไปพบ ก็รีบลนลานไปหา เอาหน้าไปซบแทบเท้าเขา
ส่วนตัวแทนของภาคเอกชนที่ได้รับเชิญให้ร่วมงานมีหลายบริษัท เช่น บริษัทเชฟรอน บริษัท ดีเอชแอล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท โคคา โคล่า จำกัด บริษัท โบอิ้ง จำกัด รวมทั้งบริษัทจากประเทศไทย อย่าง อิตาเลียนไทย เดเวลลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท อมตะ คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยจะมีเวทีหารือกันในหลายหัวข้อ เช่น พลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน การลงทุนในต่างประเทศและการพัฒนาห่วงโซ่การผลิตระดับโลก โอกาสในการลงทุนในอาเซียน เป็นต้น
เห็นบริษัทเชฟรอนอยู่ในชื่อแรกๆ และมีหัวข้อเรื่องพลังงานในเวทีการพูดคุย ก็คาดการณ์ได้ว่าคงต้องมีการเจรจาเกี่ยวกับการจัดสรรพื้นที่ในอ่าวไทยที่เต็มไปด้วยก๊าซธรรมชาติและน้ำมันอย่างแน่นอนระหว่างฮิลลารี่ คลินตัน บริษัทเชฟรอน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และฮุนเซน และก็ชวนสงสัยต่อไปว่า นช.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ร่วมเจรจาด้วยหรือเปล่า
ภายในประเทศทำตัวใหญ่โตคับแผ่นดิน หาญกล้าข่มขู่ศาล หาญเผาผลาญบ้านเมือง หาญหาเรื่องทำลายประเทศ พูดอะไรตามใจปาก ทำอะไรตามใจชอบ ไม่สนใจกฎหมายและนิติรัฐ ข่มขู่คุกคามผู้คนเขาไปทั่ว คิดว่าคนอื่นเขาจะกลัวหรือไง ส่วนภายนอกประเทศทำตัวเป็นลูกสมุนของมหาอำนาจ เอาประโยชน์ของชาติ ของประชาชน ไปปรนเปรอให้รัฐบาลและบริษัทต่างชาติ เพื่อให้ตนเองและพวกพ้องได้รับประโยชน์
ขอถามหน่อยเถอะ หรือจะให้ประชาชนไทยต้องทนอยู่กันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ